ยิ่งตกดึกมันก็ศึกขึ้นมาอ่านะ= ='' เอาอีกสักเรื่องละกัน แต่ง 2 ชั่วโมง ครึ่งได้ =_=
นี่เป็น...... อะไรที่ออกมาจากสองสามตอนก่อน
รู้สึกว่า ขณะที่อิกคาคุปิดความลับเรื่องบังไค แต่ก็ยังมีเร็นจิกับยูมิจิกะที่รู้
ขณะที่ทางยูมิจิกะ ไม่มีใครรู้เลย(ยกเว้นพี่หกเก้า)
ออกจะเป็นอะไรที่เจ็บปวดแปลกๆอยู่สำหรับความเป็นเพื่อนซี๊กัน
เนื้อเรื่องส่วนมากมั่วเอาเอง เพราะไม่รู้อะไรเลย แต่คิดว่ายูมิจิกะน่าจะเก่งทางวิถีมารพอสมควรอยู่
ยูมิจิกะบ้าความงามทำไมมาอยู่หน่วยสิบเอ็ด
มันต้องมีเหตุ จริงมะ จริงมะ
คิดไปคิดมาก็คิดว่าอาจจะมีปมในใจก็ได้ ใครจะไปรู้
ไงก็ช่างเหอะ
-------------
ข้าไม่อยากถูกเกลียด
ไม่อยากถูกเจ้าเกลียด ไม่อยากถูกหัวหน้าเกลียด
ถ้าต้องถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น
ให้ข้าตายเสียดีกว่า
อิกคาคุกำลังไล่ตามชายที่ชื่อซาราคิ เคมปาจิ
ผู้ชายหน้าเถื่อนที่สู้ชนะอิกคาคุแล้วตะโกนใส่หน้าหมอนั่นว่าถ้ารักการต่อสู้จริงก็อยู่ต่อแล้วฝึกให้แกร่งกว่านี้ซะ
ไอ้ลุงเถื่อนที่มีลูกแหง่หัวชมพูเกาะติดอยู่ตลอดเวลา ช่างไม่เข้ากั๊น ไม่เข้ากันจริงๆ
ก็ไม่ใช่ว่าโฉมงามอย่างข้าจะเข้ากับไอ้ล้านเลี่ยนเตียนโล่งโป๊งเหน่งใสแจ๋วแบบอิกคาคุหรอกนะ แต่ข้าก็ไปไหนมาไหนกับเขามาตั้งนานแล้ว
ถ้าเขาจะตามใครไปไหน ข้าก็จะตามเขาไปเช่นกัน
ตอนที่รู้ตัวอีกที พวกเราทั้งสองคนก็เกือบจะได้เป็นยมทูตอยู่แล้ว
ตอนที่มีดาบฟันวิญญาณอยู่ในมือนี้แล้ว
"เฮ้ ข้ารู้แล้ว" อยู่ๆอิกคาคุก็โพล่งขึ้นมา ยูมิจิกะกินข้าวอยู่ไม่ทันตั้งตัวเกือบจะสำลักก็เงยหน้ามองด้วยสายตาขุ่นๆ
"ไอ้เจ้าซาราคิ เคมปาจินั่นน่ะ มันอยู่หน่วยสิบเอ็ด ข้าได้ยินว่าเป็นหน่วยบู๊เดือด บ้าพลัง แนวหน้า เน้นรบเป็นหลัก ส่วนวิถีมารอะไรนั่นช่างมัน เหมาะกับข้าเป๊ะพอดี" อิกคาคุพ่นต่อออกมาเสียยาว ยิ่งประโยคหลังๆยิ่งมีท่าทางชอบใจ ยูมิจิกะถอนหายใจเบาๆ รู้ดีว่าเพื่อนหัวใสคนนี้สมองไม่ใสเหมือนหัวล้านข้างนอก เพราะวิชาวิถีมารนั้นแทบติดอันดับโหล่เลยทีเดียว
"ท่าทางไม่เลวนี่นา อีกไม่นานพวกเราก็จบแล้ว เจ้าก็คงอยากเข้าหน่วยสิบเอ็ดล่ะสิ" ยูมิจิกะวางตะเกียบลง ยกมือขึ้นเท้าคาง มองดูเพื่อนที่ยังไม่ยอมนั่งลง
"ใช่!! ข้าต้องเข้าหน่วยสิบเอ็ดให้ได้เลยคอยดู! เจ้าล่ะยูมิจิกะ จะเข้าด้วยกันมั้ย" เขาหันลงมาถาม
"อืม แน่นอน" ฝ่ายที่นั่งอยู่เอ่ยตอบ ริมฝีปากเผยอยิ้มพลางมองดูเครื่องแบบของตน
ชุดสีขาวฟ้านี้อีกไม่นานก็จะได้เปลี่ยนเป็นสีดำ รู้สึกพิลึกมาตั้งนาน โตป่านนี้แล้วยังมานั่งเรียน แว่บหนึ่งก็รู้สึกเหมือนเด็กโข่งอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็เอาเถอะ
ที่จริงแล้วยูมิจิกะทำได้ดีในวิชาวิถีมาร แต่เมื่ออิกคาคุมองมาก็แสร้งท่องคำร่ายมั่วๆ แกล้งยิงผิดทิศผิดทางไม่ยอมตั้งสมาธิ แล้วก็กระแอมไอ พูดว่า "เมื่อกี๊ฟลุ๊คน่ะ" ทุกครั้งไป
...ก็ข้าไม่ชอบนี่
ทำอะไรดีหรือไม่ดีก็ช่างสิ แต่ข้าไม่อยากให้อิกคาคุมองข้าเหมือนเป็นตัวประหลาด
ไอ้หมอนั่นมันบ้าบิ่น ดีแต่ต่อยตี คำร่ายอะไรกว่าจะจำได้ท่องตั้งเป็นล้านรอบ ข้าอ่านทีเดียวก็จำได้หมดแล้ว แต่แล้วทำไมล่ะ
พอทำอะไรออกมาทุกคนก็มองมา ปรบมือให้แล้วก็อู้หูอู้หากันใหญ่ อาจารย์ก็ชม แต่แล้วยังไงล่ะ ถึงหมอนั่นจะบอกว่า "โห เจ้าทำแบบนี้ก็ได้ ยอดเลย" แต่ข้าก็ไม่ชอบใจ
ถ้ายังมีกันแค่สองคนเหมือนก่อนจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ข้าจะรู้สึกอย่างนี้ไหม ข้าไม่รู้
รู้แต่ตอนนี้ข้าไม่ชอบ ข้าอยู่ข้างหลังเขามาตลอด มองดูแผ่นหลังของเขามาตลอด
...ไม่ต้องการให้เขามามองดูข้าตอนนี้ ด้วยสายตาเหมือนไม่รู้จักข้ามาก่อนอย่างนั้น...
"เฮ้ย ยูมิจิกะ เป็นอะไรไปวะ?"
"ฮะ?"
นักเรียนจบใหม่จากสถาบัญชินโอคนหนึ่งยืนเอ๋อเหม่อนิ่งอยู่จนเพื่อนต้องเข้ามาเรียกถึงตัว อาจจะเอาดาบที่เพิ่งปลดชิไคเป็นครั้งแรกเคาะแถมให้อีกด้วยถ้ายังทำท่าไม่ขาน
ยูมิจิกะทำท่าเหมือนวิญญาณออกจากร่างทั้งที่ร่างที่เหลือก็มีแต่วิญญาณ อิกคาคุที่กำลังเห่อโฮซึคิมารุจึงทนไม่ได้วิ่งเข้ามาเรียก
"อยู่ดีๆก็เหม่อไปเฉยๆ หรือโฮซึคิมารุของข้าไม่เท่ หะ?" เขาถามต่อ
"โฮซึคิมารุ.." ชายหนุ่มผมยาวก้มมองหอกยาวในมือเพื่อน พู่สีแดงสดและใบดาบคมกริบ ดูงามสง่า เหมาะสมกับเจ้าของมันยิ่งนักล่ะ "เท่สิ เหมาะกับเจ้าสุดๆเลย อิกคาคุ" ยูมิจิกะแสร้งยิ้ม เอ่ยตอบอย่างยินดีตามประสา อย่างน้อยเขาก็ตอบตามจริงที่ตนคิดนี่...
...ถ้าข้าได้ดาบอย่างนั้นบ้างก็ดีน่ะสิ...
"ฮ่า!! ใช่มั้ย โฮซึคิมารุของข้านี่ล่ะสุดยอด คอยดูนะ ข้าจะต้องปลดปล่อยสวัสดิกะให้ได้ภายในเร็ววันนี้ล่ะ!" อิกคาคุควง"โฮซึคิมารุ"อย่างคึกคะนอง แล้วก็ยกมันชูขึ้นฟ้าประกาศก้อง ก่อนที่จะลดมือลง ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
"แล้วดาบของเจ้าล่ะ ยูมิจิกะ หน้าตาเป็นยังไงมั่ง" แค่จบคำ อีกฝ่ายถึงกับสะอึกทันที จนต้องเอียงคอมองให้แน่ใจว่ายังไม่ได้ชักกระตุกขึ้นมากะทันหัน
"ข้า..เอ้อ ......" ยูมิจิกะหลบตา แต่ก็แสดงท่าว่าไม่รู้จะไปมองที่ไหนดี มีพิรุธอย่างเห็นได้ชัดนัก "ข้ายังไม่ได้ยินเสียงเจ้านั่นเลยน่ะ ทำยังไงก็คุยไม่รู้เรื่องซักที ชื่อฟังย๊ากยาก" เขาพูดเร็วพรืดหลังจากอ้ำอึ้งอยู่นาน หันมายิ้มเจื่อนๆบอกไม่ถูกกับคู่หูเสียอย่างนั้น
"จริงน่ะ? ไม่น่าเชื่อ" อิกคาคุเบิกตาทำหน้าไม่เชื่อ
"จริงน่ะสิ ข้านี่ไม่ไหว..." เขาพูด แล้วคอก็ก้มตก ดวงตาสีม่วงหลุบลง "ข้าจะไปลองอีกทีละกันนะ"
ยูมิจิกะพูดเท่านั้นก็หันหลังวิ่งไปเฉยๆ ดูไปดูมาก็เหมือนนางเอกการ์ตูนที่วิ่งหนีไปจากพระเอกเสียอย่างนั้น ถ้าร้องไห้น้ำตาเป็นประกายด้วยจะยิ่งใช่นัก แต่อันที่จริง พริบตาก่อนที่เขาจะหันหลังไป อิกคาคุก็คิดว่าเห็น้ำใสๆเอ่อขึ้นมาอยู่ในตาอีกฝ่ายเหมือนกัน
"เป็นอะไรของมันน่ะ.."
...ข้ารู้ตั้งนานแล้ว...
หน่วยสิบเอ็ดเป็นหน่วยบ้าพลังดีเดือด หน่วยที่คนทั้งหน่วยเป็นแบบอิกคาคุที่ดีแต่บ้าการต่อสู้ ต่อให้ออกไปตายโง่ๆก็เอา
แต่ความรู้สึกที่อยากจะต่อสู้ ความทะนงในตนเองที่จะต้องสู้จนตัวตาย และสู้ด้วยตนเองแต่ผู้เดียวนั้น
มันก็เป็นความงดงามอย่างหนึ่งกระมัง
เป็นความงดงามของหน่วยสิบเอ็ด(ที่สมาชิกส่วนมากหน้าตาดูไม่ได้) เป็นความงดงามของอิกคาคุ
เป็นสิ่งที่ข้านับถือ
เพราะงั้น
...ข้ามันน่ารังเกียจนัก...
แต่ไอ้หน่วยบ้านั่นดันแอบมีกฎลับๆที่ฝังอยู่ในระดับจิตสำนึกของคนทั้งหน่วย
"ดาบฟันวิญญาณที่ดีก็ต้องเป็นสายต่อสู้โดยตรงเท่านั้น ยิ่งพลังมากยิ่งดี"
ตรงกับของอิกคาคุเผงๆ
แต่ตรงข้ามกับของข้าแบบสุดเหว
ข้ารู้ตั้งนานแล้ว ก่อนอิกคาคุเสียอีก ว่าไอ้เจ้ารูริอิโระคุจากุมันเป็นยังไง
"เอาล่ะ ครบแล้วใช่ไหม" เจ้าหน้าที่ที่มาคุมการคัดเลือกนักเรียนใหม่เข้าหน่วยพิทักษ์ถามครั้งสุดท้ายพอเป็นพิธี แต่กลับมีเสียงตอบขึ้นมา
"ขาดไปคนหนึ่ง ใครที่ไม่ได้มา ได้แจ้งไว้ก่อนไหม?" เจ้าหน้าที่อีกคนหันไปถามกับกลุ่มยมทูตบรรจุใหม่ที่มองหน้ากันเลิกลั่ก ตอนนั้นเองที่ประกายแสงสะท้อนบางอย่าง ดึงความสนใจเจ้าหน้าที่ทั้งสองไปยังมือของใครคนหนึ่งที่ชูขึ้นมาเหนือแสงสะท้อนนั้น
"อายาเซงาว่า ยูมิจิกะไม่อยู่ครับ" หลังชื่อที่ยาวจนน่าจะขี้เกียจจำ เจ้าหน้าที่สองคนก็เห็นยมทูตหนุ่มศรีษะเตียนโล่งใสแจ๋วผู้ตอบก้าวออกมาข้างหน้า
"หมอนั่นท่าทางดูแปลกๆไป เขาสนิทกับข้า เดี๋ยวข้าจะไปตามมา" ว่าจบก็ไม่ฟังเสียงนกเสียงกาอะไรจากใครอีก ออกวิ่งไปปล่อยให้เพื่อนร่วมรุ่นต้องอธิบายกับเจ้าหน้าที่เอาเอง ท่ามกลางสายตาไม่ค่อยเข้าใจของเหล่าหัวหน้าหน่วย
...ฟูจิคุจากุ...
"ว่าไงนะ" เสียงก้องสะท้อนในใจเอ่ยตอบมา "เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ"
ยูมิจิกะกัดฟันแน่น ตอบเสียงในใจด้วยน้ำเสียงเย็นชาขุ่นเคือง
"ฟูจิ ข้าเรียกเจ้าว่าฟูจิคุจากุ"
"ข้าเกลียดสีนั่น อย่ามาเรียกข้าอย่างนี้" เสียงนั้นตอบมา
"ข้าก็เกลียด เกลียดเจ้าด้วย" เขาตอบมันกลับไป แย้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
"คอยดูเถอะ แล้วเจ้าจะเสียใจ ข้าจะไม่แสดงพลังของข้าหรอก" สิ้นคำนั้นแล้วเสียงก็เงียบไป ดาบยาวธรรมดาๆแปลงเปลี่ยนรูปเป็นดาบโค้ง
...ข้าเกลียดเจ้า ไม่ต้องเสนอหน้าอวดร่างนั่นให้ข้าเห็นอีกเลยก็ดี ไอ้นกยูงหลงตัว...
...ไอ้ดาบอัปลักษณ์
เหมือนกับตัวข้า...
ข้ารู้สึกไม่ดีในวันคัดเลือกเข้าบรรจุหน่วยพิทักษ์เพราะข้ากลัวหนักหนา จนไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงหลบออกมา
แล้วก็มายืนอยู่บนหน้าผาที่ไหนก็ไม่รู้เสียอย่างนั้น ถ้าโชคดีคนเขาคงออกมาตามไม่ถูก โชคร้ายข้าก็คงหาทางกลับไม่เจอเหมือนกัน
แต่ก็ดี..ช่างมัน ยังไม่อยากกลับสักหน่อยนี่
"ยูมิจิกะ" เสียงคุ้นหูดังขึ้นข้างหลัง ไม่ต้องหันไปก็บอกได้ว่าเป็นอิกคาคุที่ออกมาตามหา
เดินมั่วๆยังอุตส่าตามเจอได้ยังไงก็ไม่รู้
"ทำอะไรของเจ้า หลงทางหรือไง"
"อือ" ข้าตอบโดยไม่หันกลับไปมอง
"ข้ออ้างฟังไม่ขึ้นน่า เจ้ากลัวได้อยู่หน่วยที่ไม่ชอบรึไง อย่าบ้าไปหน่อยเลย ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวพอดีได้กลายเป็นเด็กโข่งจริงๆนั่งเรียนซ้ำชั้น ไม่ก็โดนจับโยนไปหน่วยสี่เข้าหรอก" อิกคาคุว่า แต่นั่นทำให้ข้ายิ่งรู้สึกแย่
จากนั้น ข้าเองก็นึกไม่ออกว่าข้าทำลังไปทำไม ตัวข้าคิดอยู่แต่ว่าข้าเกลียดตัวเองหนักหนา
...อัปลักษณ์เหลือเกิน อายาเซงาว่า ยูมิจิกะ...
ผมดำยาวไว้มาตลอด ที่สู้อุตส่าดูแลทั้งที่เวลาไม่ค่อยมีขาดหมดในดาบเดียว ที่เหลืออยู่นั้นยาวเพียงแค่คอ ที่เหลือก็ทิ้งตัวลงนิ่งเหมือนหมดเรี่ยวแรงอยู่ในกำมือ
อิกคาคุยืนอึ้งอยู่ แค่อึดใจหลังจากที่เขาออกปากเรียก ยูมิจิกะก็ยกดาบใบโค้งแปลกตาที่น่าจะเป็นดาบฟันวิญญาณของตนขึ้น มืออีกข้างรวบเส้นผมทั้งหมดเข้าด้วยกัน สอดดาบเข้าหลังคอแล้วตวัดวูบเดียว
"เฮ้ย! ยูมิจิกะ!" เขาเรียก รีบตรงเข้ารั้งไหล่อีกฝ่ายให้หันมา ตอนนั้นเองจึงรู้สึกได้ว่าไหล่ทั้งคู่ของเพื่อนสั่นเทา เส้นผมในกำมือค่อยๆไหลร่วงลงไปกองอยู่บนพื้นช้าๆ
อิกคาคุเริ่มมีอาการพูดไม่ออก เขาอยากพูดอะไรซักอย่างแล้วพายูมิจิกะกลับไปคัดตัวต่อให้เสร็จเรื่องเสียที แต่..
"..ข้าขอล่ะ..อิกคาคุ" ยูมิจิกะพูดเสียงสั่นแผ่วเบา
"อย่าถามอะไรเลย"
...ข้าจะบอกเจ้าอย่างหนึ่ง ยูมิจิกะ...
...เจ้ามันขี้ขลาดนัก...
...หากเขาเป็นเพื่อนเจ้าจริง ไม่ว่าเจ้าหรือข้าจะเป็นอย่างไร...
...เขาก็ยังเป็นเพื่อนเจ้าอยู่ดี...
...เชื่อข้าไหมเล่า...
"เชื่อสิ แต่ข้ายังไม่พร้อม"
ก็เท่านั้นเอง
"ไม่มีใครเห็น?" ยมทูตเอ่ยทวนคำของอารันคาร์ ท่ามกลางหมู่หนามดำมืดของโรซาบลังก้า
"ไม่หลงเหลืออยู่ในดวงตาของผู้ใด.." เขาทวนเบาๆอีกคำหนึ่งที่ถูกเอ่ยว่ามา
หากมีเวลาอีกสักครู่คงจะแย้มแสยะยิ้มเย้ยไปอีกสักที แต่ไม่เป็นไร
"ขอบใจ"
...ไว้วันหลัง ข้าพร้อมเมื่อไหร่ จะอวดดาบฟันวิญญาณจริงๆของข้าให้เจ้าดู อิกคาคุ...