โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
ชมรมลึกลับอับแล้ว9/12/53
เด็กซ่าบ้านแสบ
#1
เด็กซ่าบ้านแสบ
22-08-2010 - 16:17:15

#1 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 22-08-2010 - 16:17:15 ]






แวมไพร์


ตำนานแวมไพร์มีมานานนับเป็นพันๆ ปี เรียกว่าอยู่คู่กับประวัติศาสตร์มนุษย์ก็คงจะได้ แวมไพร์มิ ได้หมายถึงผีดูดเลือดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชนชาติต่างๆ ทั่วโลกต่างก็มีแวมไพร์ในแบบฉบับของ ตัวเอง ไล่ไปตั้งแต่แวมไพร์ฝรั่งผมบลอนด์ แวมไพร์จีน แวมไพร์ญี่ปุ่น ไปจนถึงแวมไพร์มาเลเซีย แบบ ที่เรียกกันว่า เพนังกะลัง อย่างไรก็ตาม แวมไพร์ที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกัน ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะกลาย พันธุ์ และภาพลักษณ์ไปหมด ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจาก อิทธิพลของหนังสือและภาพยนตร์ ซึ่งร้อยทั้ง ร้อย ล้วนมาจากยุโรปและอเมริกาทั้งสิ้น จุดกำเนิดของตำนานแวมไพร์มาจากตะวันออกไกลครับ มัน กระจายมาโดยผ่านเส้นทางจากจีน - ธิเบต - อินเดีย - ผ่านเส้นทางที่เรียกกันว่าทางสายไหมเข้าสู่แถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตำนานนี้กระจายไปทั่วประเทศแถบทะเลดำ คาบสมุทรบอลข่าน รวมไปถึงฮังการี และดินแดนที่เราคุ้นเคยกัน …ทรานซิลวาเนีย
ปัจจุบัน แวมไพร์ในความนึกคิดของเรามักจะเป็นไปในแนวของ ปีศาจดูดเลือด, ผู้ที่ฟื้นคืนชีพจาก ความตาย, ดำรงชีวิตได้เฉพาะยามค่ำคืน สามารถกลายร่างเป็นค้างคาวได้… คุณสมบัติพวกนี้เป็นแวม ไพร์ของยุโรป และในหนังผีครับ จริงๆ แล้วแวมไพร์มีคุณสมบัติที่หลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละ พื้นที่ เรามาดูกันดีกว่าว่า แวมไพร์ของแต่ละชนชาตินั้นเป็นอย่างไร
SLAVIC VAMPIRES
ชาวสลาฟเป็นชาติที่ร่ำรวยเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์มากที่สุดในยุโรปตะวันออก ดินแดนนี้กิน พื้นที่ตั้งแต่ รัสเซีย บุลแกเรีย เซอร์เบียร์ จนกระทั่งถึงโปแลนด์ ความเชื่อพวกนี้ฝังรกรากมาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 8 แน่ะครับ แหล่งชุมนุมแวมไพร์ที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่ เมือง Magyars ซึ่งปัจจุบันเป็นพรมแดน ต่อกันระหว่างประเทศฮังการีกับโรมาเนีย คำว่าแวมไพร์ก็มาจากภาษาของพวกเขานี่แหละครับ แวมไพร์ พวกนี้จะมีเล็บมือและผมที่ทั้งยาวทั้งสกปรก มุมปากมีคราบเลือดเกรอะกรัง ไม่ชอบสุงสิงกับผู้คน วิธี การปราบแวมไพร์ของชาวสลาฟก็คือจับทำบาร์บีคิวครับ เผาทั้งเป็นเลย หรือไม่ก็พรมน้ำมนต์ที่ได้มา จากโบสถ์ใส่พวกมันก็ได้

ROMANIA
เนื่องจากโรมาเนียถูกแวดล้อมไปด้วยประเทศของชนชาติสลาฟ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าแวม ไพร์ของพวกเค้าจะกระเดียดไปทางแวมไพร์เชื้อสายสลาฟนิดๆ ภาษาพื้นเมืองของโรมาเนียนั้น เรียก แวมไพร์ว่า Strigoi ครับ อาจจะหมายถึง นกฮูกแก่ๆ หรือปีศาจก็ได้ทั้งนั้น Strigoi มีอยู่หลายประเภทด้วย กัน Strigoi ส่วนมากคือพวกผู้ใช้คาถา ซึ่งจะกลายเป็นแวมไพร์เมื่อตายแล้ว เจ้า Strigoi พวกนี้จะถอด วิญญาณออกจากร่างไปเพื่อชุมนุมกันในคืนพระจันทร์เต็มดวง หรือไม่ก็ออกตระเวนดูดเลือด ซึ่งส่วน ใหญ่จะเป็นสมาชิกในครอบครัว หรือไม่ก็เพื่อนบ้านใกล้เคียง คนที่เกิดมาโดยมีสัญญลักษณ์ของปีศาจ (มีหาง เขี้ยวงอก ขนดกรุงรัง) หรือคนที่ตายอย่างผิดธรรมชาติ หรือตายโดยที่ยังไม่ได้ทำพิธีรับศีล พวก นี้มีสิทธิจะเป็นแวมไพร์ได้ทั้งนั้น ถ้าครอบครัวไหนมีลูกเพศเดียวกันถึงเจ็ดคน คนที่เจ็ดนั่นแหละครับ แวมไพร์มาเกิด พวกผู้หญิงแถวนั้นเวลาท้องพวกเธอต้องกินเกลือครับ เพื่อป้องกันลูกที่อยู่ในครรภ์ ส่วนพวกสุดท้ายที่มีสิทธิเป็นแวมไพร์ชัวร์ๆ คือพวกที่โดนแวมไพร์กัดเอา ยังมีตำนานอีกเรื่องหนึ่งที่ เกี่ยวพันกับเรื่องของแวมไพร์อย่างใกล้ชิดครับ คิดว่าเราๆ ท่านๆ ก็คงคุ้นเคยกัน นั่นคือเรื่องราวของมนุษย์ หมาป่านั่นเอง ตำราเค้าว่าไว้ว่ามีมนุษย์พวกหนึ่ง เมื่อถึงวันดีคืนดี จะมีปฏิกิริยากับดวงจันทร์ หรือดวง อาทิตย์ จนสามารถกลายร่างเป็นหมาป่า หมาดำ หรือแม้แต่หมูได้ สิ่งกลายพันธุ์พวกนี้ศัพท์วิชาการเค้า เรียก Lycanthropy ครับ ชาวโรมาเนียมีตำนานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากมายพอๆ กับแวมไพร์เลยทีเดียว ว่ากันว่าแวมไพร์นั้นจะแหวกหลุมศพขึ้นมาบนพื้นโลกเมื่อถึงเวลาอันควร มันมีใบหน้าที่ซีดเซียว ลม หายใจเหม็นเปรี้ยว และไม่ยอมแตะต้องอาหารที่มีส่วนประกอบของกระเทียมอย่างเด็ดขาด บ้านใดที่ สงสัยว่าสมาชิกในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้วจะกลายเป็นแวมไพร์มักจะไปเปิดหลุมศพดูว่าศพยังอยู่ หรือไม่ เค้ามีเวลาในการสำรวจหลุมศพดังนี้ครับ ถ้าเป็นเด็กก็สามปีหลังการตาย ห้าปีสำหรับหนุ่มสาว และเจ็ดปีถึงจะเปิดสำหรับผู้ใหญ่ที่โตแล้ว วิธีสังหารแวมไพร์ดูจะคล้ายๆ กันทุกที่เลยครับ กล่าวคือ เมื่อ ชาวโรมาเนียพบหรือสงสัยว่าใครเป็นแวมไพร์ จะโดนจับเอากระเทียมยัดจนเต็มปากแล้วเอามาเผาไฟ หลุมศพใดที่ต้องสงสัยว่าเป็นแหล่งพำนักกายของแวมไพร์ก็จะมีการยิงกระสุนเงินทะลุฝาโลงเข้าไป ถ้า ถูกแจ็คพอทเจอแวมไพร์ โลงนั้นจะมีไฟลุกพรึ่บดูสวยงามทีเดียวเชียวครับ

GYPSIES AND VAMPIRES
สำหรับคอหนังแล้ว ยิปซีดูจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับหนังผีดูดเลือดเลยจริงๆ เรียกได้ว่าเป็น ดารารับเชิญมันทุกเรื่องไป ในตำนานก็เช่นกันครับ ยิปซีมีบทบาทกับแวมไพร์อย่างใกล้ชิด วรรณกรรม ชื่อดังของ บราม สโตเกอร์ ที่ชื่อ"แดร็คคิวล่า"นั้น ก็ได้กล่าวถึงสาวยิปซีที่คอยดูแลโลงของแดร็คคิวล่า อย่างจงรัก ในความเป็นจริง ชาวยิปซีมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียทางตอนเหนือ และอพยพย้ายถิ่นฐาน เรื่อยมาจนเข้ามาถึงยุโรปราวๆ ศตวรรษที่ 14 ไล่เลี่ยกันกับการถือกำเนิดของจอมทรราชย์ วลาด แดร็คคิว ล่าครับ ความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรมอันเร้นลับของชาวยิปซีมีอิทธิพลกับยุโรปในตอนนั้นไม่น้อย โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องวิญญาณและโลกหลังความตาย ไม่นานนัก ตำนานต่างๆ ที่เล่าขานกันมาในหมู่ ยิปซีก็ถูกผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องเล่าของยุโรปแถบโรมาเนียและตุรกี แน่นอน เรื่องเหล่านี้รวม เรื่องแวมไพร์เข้าไปด้วย บ้านเดิมของเหล่ายิปซี อินเดีย แหล่งรวมแห่งปรัชญาตะวันออก ที่นี่มีเรื่องเล่า ลือและตำนานเกี่ยวกับสิ่งที่คล้ายแวมไพร์อยู่มากมาย เป็นต้นว่าภูต(Bhuta) วิญญาณของคนที่ตายแบบ ผิดปกติชนิดวิญญาณยังสิงสู่อยู่ในร่าง ภูตเหล่านี้จะเดินท่อมๆ ไปตามถนนสายเปลี่ยวในยามค่ำคืน คอย ทำร้ายและดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร แวมไพร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอินเดียเห็นจะได้แก่ Kali หรือ เจ้าแม่กาลีนั่นเอง


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2010-12-08 11:53:44

เหน่ง
#2
22-08-2010 - 16:17:54

#2 เหน่ง  [ 22-08-2010 - 16:17:54 ]




แวมไพร์ มีจิงหรอ = =


เด็กซ่าบ้านแสบ
#3
เด็กซ่าบ้านแสบ
22-08-2010 - 16:19:50

#3 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 22-08-2010 - 16:19:50 ]






อันนั้นก็ยังพิสูญไม่ได้เพราะมีทิสดีหลายอย่าง


เด็กซ่าบ้านแสบ
#4
เด็กซ่าบ้านแสบ
22-08-2010 - 16:22:47

#4 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 22-08-2010 - 16:22:47 ]






ิสดีต้นๆที่ยังพิสูญไม่ได้คือมันมีโรคแวมไพร์คือไม่ได้เป็นแวมไพร์แต่ไม่สบายจึงเป็นโรคแวมไพร์น่ะ
 270990


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2010-08-22 16:25:28

dakah
#5
22-08-2010 - 16:33:00

#5 dakah  [ 22-08-2010 - 16:33:00 ]




ชอบแวมไพร์นะ

อยากเห็นแวมไพร์ตัวจริง


dakah
#6
22-08-2010 - 16:33:08

#6 dakah  [ 22-08-2010 - 16:33:08 ]




ชอบแวมไพร์นะ

อยากเห็นแวมไพร์ตัวจริง


Piyarut
#7
22-08-2010 - 16:53:00

#7 Piyarut  [ 22-08-2010 - 16:53:00 ]




It is a fact!


p-o-o
#8
22-08-2010 - 17:22:42

#8 p-o-o  [ 22-08-2010 - 17:22:42 ]






อยากเป็นแวมไพร์



ไม่เล่นบอร์ดนี้แล้วน้อออ
l3LacKCat
#9
22-08-2010 - 17:40:34

#9 l3LacKCat  [ 22-08-2010 - 17:40:34 ]




อยากโดนกัดคอ 55+

ถ้าแวมไพร์ตัวนั้นเป็น โรเบิร์ต แพททินสัน




เด็กซ่าบ้านแสบ
#10
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 09:51:00

#10 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 09:51:00 ]






ความรู้เรื่องเเวมไพร์อีกอย่าง




"....แวมไพร์ (Vampire) ผีชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรป ในยุคกลาง เชื่อว่าเป็นผีดิบ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยง โดยที่แวมไพร์จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันแพ้เเสงแดด แวมไพร์จะหลบซ่อนอยู่ในโลงของตนหรือในหลุมในเวลากลางวัน สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว, นกฮูก, หมาป่า, กบ, คางคก, แมลงเม่า, งูพิษ เป็นต้น สามารถกำบังกายหายตัวได้ ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก มีแรงมากเหมือนผู้ชาย 20 คน สิ่งที่จะกำราบแวมไพร์ได้คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน, น้ำมนตร์ หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด เช่น กระเทียม วิธีฆ่าแวมไพร์มีมากมาย เช่น ตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผา หรือ ตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของมัน จะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย และกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง


ชาวยุโรปในยุคกลางนั้น หวาดกลัวแวมไพร์มาก ผู้ที่สงสัยว่าเป็นแวมไพร์ จะตกอยู่ในสถานะเดียวกับ แม่มด หรือ มนุษย์หมาป่า คือ ถูกตัดสินลงโทษด้วยการเอาถึงชีวิต มีวิธีการป้องกันการรุกรานของแวมไพร์หลายวิธี เช่น บางหมู่บ้านจะโปรยเมล็ดข้าวไว้บนหลังคาบ้าน เพราะเชื่อว่าแวมไพร์จะง่วนกับการนับเมล็ดข้าวเป็นการถ่วงเวลาจนรุ่งเช้า หรือ โรยเศษขนมปังไว้ตั้งแต่สุสานให้แวมไพร์เดินเก็บเศษขนมนั้นวนเวียนไปมา หรือแม้แต่การวางไม้กางเขนหรือดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมเพื่อเป็นการพันธนาการไว้ในโลง


เรื่องราวของผีแวมไพร์ มีมากมาย ที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรม โดยวรรณกรรมที่ว่าถึงแวมไพร์ที่เก่าแก่ที่สุด มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของแวมไพร์คือ เรื่องเค้าท์แดร็กคูล่าร์ ของ บราม สโตกเกอร์ ที่โด่งดังจนมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร ละครเวที หรือแม้แต่กระทั่งภาพยนตร์การ์ตูนมากมายตราบจนปัจจุบัน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Nosferatu ในปี ค.ศ. 1922 เป็นต้น


เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องของแวมไพร์ที่สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ อาจมีที่มาจากที่ทวีปอเมริกากลาง มีค้างคาวขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ดูดเลือดสัตว์ที่ใหญ่กว่าเป็นอาหารในเวลากลางคืน ซึ่งค้าวคาวชนิดนี้ก็ได้มีการเรียกชื่อว่า แวมไพร์ เช่นกัน...."

---------------------------------------------------------------
ศพถูกขุดขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก

ในปี พ.ศ.2275 ตามบันทึกว่าเป็น แวมไพร์ ชาวเซอร์เบีย

(Serbian : แคว้นในยูโกสลาเวีย) ที่กลับมาจากหน้าที่ทางทหารในกรีก ด้วยท่าทีที่แปลกไป เขาผู้นั้น คือ อาร์โนลด์ เปาเล (Arnold Paole) เปาเล ยอมรับกับภรรยาในเวลาต่อมาว่า เขาโดน แวมไพร์ ดูดเลือดในขณะเดินทางและได้กลายเป็น แวมไพร์ ไปด้วย เปาเล ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่เพื่อนบ้านยังคงเห็นเขาวนเวียนอยู่ ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก การที่จะพิสูจน์ว่า เป็น แวมไพร์ หรือไม่นั้น ทำได้โดยตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ ศพของ เปาเล ถูกพิสูจน์และด้วยความประหลาดใจ




ขณะที่ตอกหมุดนั้น มีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย

ศพของ เปาเล ถูกเผาตามขั้นตอนของพิธีกรรมทางความเชื่อ หลายปีต่อมา ก็ยังมีกรณีของ แวมไพร์ ตัวอื่นอยู่ ซึ่งเชื่อว่า เป็นเหยื่อของ เปาเล จึงสรุปได้ว่า แวมไพร์ ถ่ายทอดได้โดยการถูกกัด

บันทึกในปี พ.ศ.2306 ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฌอง จาก รูสโซ (Jean-Jacques Rousseau) กล่าวว่า ในปีนั้นมีพยานหลายคนทั้งที่เป็นแพทย์ นักบวชและพนักงานปกครอง ได้พบเห็น แวมไพร์


เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม จนกระทั่งในต้นพุทธศตวรรษที่ 24 แวมไพร์ ก็เป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง มีทั้งสองเพศ แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยใช้กระเทียม การเป็น แวมไพร์ นั้นเป็นไปโดยไม่ได้สมัครใจและก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับปิศาจหรือเวทมนตร์ แม่มดเท่าใดนัก แวมไพร์ มักเป็นคนบาปที่ดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย ผู้บริสุทธิ์ก็เป็น แวมไพร์ ได้โดยตกเป็นเหยื่อของพวกมัน




แวมไพร์ มีจริงหรือ ?

บุคคลที่มีความแตกต่างไปจากคนอื่นและมีการตายอย่างประหลาดนั้นมักถูกเชื่อว่า จะเป็นแวมไพร์ อย่าง แน่นอน บุคคลใดที่มีลักษณะคล้าย แวมไพร์ จะถูกกีดกันจากสังคมทันที การกำจัด แวมไพร์ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็น แวมไพร์ โดยความเชื่อของ ชาวโรมัน ให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัด แวมไพร์ หรือกำจัดได้โดยวิธีเดียวกับที่ทำกับ แวมไพร์ เปาเล

ปลายพุทธศตวรรษที่ 19 นักเขียนชาว ไอริช เมื่อ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ได้แต่งนิยายเรื่อง แด็รกคูลา (Dracula) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำอีกคำหนึ่งที่แปลว่า ผีดูดเลือด แด็รกคูลา เป็นลูกชายของ แด็รกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้าย ทารุณ แด็รกคูล เป็นสมญานามที่แปลว่า ปิศาจ ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลา ก็แปลว่า ลูกชายของปิศาจ

ในนิยาย แด็รกคูลา เกิดในทรานซิลวาเนีย (Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา ทรงสร้างศัตรูมากมาย มีการตายอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นศพและไม่ได้ถูกฝังตามพิธี


จนปัจจุบันเรื่องราวของ แวมไพร์ ก็ยังคงน่าหลงใหลและน่าหวาดกลัวมีผู้คนที่เชื่อว่า แวมไพร์ มีจริง ยิ่งกว่านั้น ยังมีศูนย์วิจัย แวมไพร์ ใน นิวยอร์ก ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ แวมไพร์ ใน ยุโรป และ อเมริกา อีกด้วย


เด็กซ่าบ้านแสบ
#11
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 09:52:45

#11 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 09:52:45 ]






ผีดูดเลือด หรือ แวมไพร์ (Vampire) เป็นมนุษย์อีกรูปแบบหนึ่งที่มีพลังปิศาจ แม้ว่า ผีดูดเลือด จะอยู่ในร่างของมนุษย์ มันก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ มันคือคนที่ตายไปแล้วและลุกขึ้นมาจากโลงมีชีวิตใหม่โดยดูดเลือดเป็นอาหาร

สังคมแทบทุกสังคมรู้จัก ผีดูดเลือด ผีดูดเลือดปรากฎครั้งแรกในอาณาจักร บาบิโลเนีย ในหีบศพที่ถูกปิดมานานกว่า 4,000 ปี มีตำนานเกี่ยวกับผีดุดเลือดมากมายใน อินเดีย จีน กรีก โรมัน มาเลเซีย และไทย ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดเช่นกัน

ในประเทศมาเลเซีย เชื่อกันว่า ผู้หญิงที่เสียชีวิต ในขณะหรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด และลูกที่ตายพร้อมกันก็จะเป็นผีดูดเลือดด้วย ส่วนของไทยก็เห็นจะเป็น กระสือ หรือปอบ ที่เรารู้จักกัน ประเพณีโบราณมักมีวิธีป้องกันผีพวกนี้และบางประพณีก็สืบทอดมาถึงปัจจุบัน


ในแถบตะวันตก ผีดูดเลือด เป็นที่รู้จักกันในนามแวมไพร์ ปรากฏในอังกฤษครั้งแรก ในปี พ.ศ.2275 ตามบันทึกว่าเป็น แวมไพร์ ชาวเซอร์เบีย (Serbian : แคว้นในยูโกสลาเวีย) ที่กลับมาจากหน้าที่ทางทหารใน กรีก ด้วยท่าทีที่แปลกไป เขาผู้นั้น คือ อาร์โนลด์ เปาเล (Arnold Paole) เปาเล ยอมรับกับภรรยาในเวลาต่อมาว่า เขาโดน แวมไพร์ ดูดเลือดในขณะเดินทางและได้กลายเป็น แวมไพร์ ไปด้วย เปาเล ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่เพื่อนบ้านยังคงเห็นเขาวนเวียนอยู่ ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก การที่จะพิสูจน์ว่า เป็น แวมไพร์ หรือไม่นั้น ทำได้โดยตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ ศพของ เปาเล ถูกพิสูจน์และด้วยความประหลาดใจ


ในขณะที่ตอกหมุดนั้นมีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย ศพของ เปาเล ถูกเผาตามขั้นตอนของพิธีกรรมทางความเชื่อ หลายปีต่อมา ก็ยังมีกรณีของ แวมไพร์ ตัวอื่นอยู่ ซึ่งเชื่อว่า เป็นเหยื่อของ เปาเล จึงสรุปได้ว่า แวมไพร์ ถ่ายทอดได้โดยการถูกกัด
นี้อีกอย่างนะ


บันทึกในปี พ.ศ.2306 ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฌอง จาก รูสโซ (Jean-Jacques Rousseau) กล่าวว่า ในปีนั้นมีพยานหลายคนทั้งที่เป็นแพทย์ นักบวชและพนักงานปกครอง ได้พบเห็น แวมไพร์ เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม จนกระทั่งในต้นพุทธศตวรรษที่ 24 แวมไพร์ ก็เป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง มีทั้งสองเพศ แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยใช้กระเทียม การเป็นแวมไพร์ นั้นเป็นไปโดยไม่ได้สมัครใจและก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับปิศาจหรือเวทมนตร์ แม่มดเท่าใดนัก แวมไพร์ มักเป็นคนบาปที่ดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย ผู้บริสุทธิ์ก็เป็น แวมไพร์ ได้โดยตกเป็นเหยื่อของพวกมัน



บุคคลที่มีความแตกต่างไปจากคนอื่นและมีการตายอย่างประหลาดนั้นมักถูกเชื่อว่า จะเป็นแวมไพร์ อย่าง แน่นอน บุคคลใดที่มีลักษณะคล้าย แวมไพร์ จะถูกกีดกันจากสังคมทันที การกำจัด แวมไพร์ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็น แวมไพร์ โดยความเชื่อของ ชาวโรมัน ให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัด แวมไพร์ หรือกำจัดได้โดยวิธีเดียวกับที่ทำกับ แวมไพร์ เปาเล


ปลายพุทะศตวรรษที่ 19 นักเขียนชาว ไอริช เมื่อ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ได้แต่งนิยายเรื่อง แดรกคูลา (Dracula) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำอีกคำหนึ่งที่แปลว่า ผีดูดเลือด แดรกคูลา เป็นลูกชายของ แดรกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้าย ทารุณ แดรกคูล เป็นสมญานามที่แปลว่า ปิศาจ ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลา ก็แปลว่า ลูกชายของปิศาจ

ในนิยาย แดรกคูลา เกิดในทรานซิลวาเนีย (Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา ทรงสร้างศัตรูมากมาย มีการตายอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นศพและไม่ได้ถูกฝังตามพิธี จนปัจจุบันเรื่องราวของ แวมไพร์ ก็ยังคงน่าหลงใหลและน่าหวาดกลัวมีผู้คนที่เชื่อว่า แวมไพร์ มีจริง ยิ่งกว่านั้น ยังมีศูนย์วิจัย แวมไพร์ ใน นิวยอร์ก ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ แวมไพร์ ใน ยุโรป และ อเมริกา อีกด้วย




เด็กซ่าบ้านแสบ
#12
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 09:53:42

#12 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 09:53:42 ]






 272161


เด็กซ่าบ้านแสบ
#13
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 09:54:17

#13 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 09:54:17 ]






 272162


เด็กซ่าบ้านแสบ
#14
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 09:55:58

#14 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 09:55:58 ]






แดร๊กคูร่า มีจริง !





เหมือนกับนวนิยายและภาพยนต์สยองขวัญ “แดร๊กคูร่า” แต่นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆเมื่อปี พ.ศ. 2532 นี่เอง ชาวนาโปแลนด์อ้างว่าได้ร่วมมือกันสังหารผีดิบ ดูดเลือดหรือที่เรียกกันว่า Vampire ที่ได้สร้างความหวาดกลัวหวั่นไหวให้แก่ประชาชนใน คราเคาว์ เมืองเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของประเทศโปแลนด์มาเป็นเวลากว่า 600 ปีแล้ว และสิ่งที่น่าทึ่งก็คือ นักพยาธิวิทยาชั้นนำของโปแลนด์ได้แถลงว่า สิ่งที่ชาวนาอ้างนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะจากการตรวจวิเคราะห์เนื้อเยื่อของผู้ตาย ที่โดนชาวนารุมฆ่านั้น พบว่าเค้าเกิดมาอย่างน้อยก็ในปี ค.ศ. 1389 หรือ พ.ศ. 1932 นั้นเอง !


“ผมแทบไม่เชื่อเลยว่า ผีดิบดูดเลือดหรือ Vampire จะมีอยู่จริง และมีอยู่ถึงทุกวันนี้” ดร. แอนโทนี่ รูช แถลงกับนักข่าว “ถ้าดูรูปร่างภายนอกของคนตายแล้ว จะดูเหมือนคนอายุ 50 ปีเท่านั้น แต่เมื่อตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดตามหลักวิชาการแล้วพบว่า เขาได้เกิดมาหลายศตวรรษแล้ว” “ผมกล้ากล่าวได้ว่า เมื่อตอนที่พวกชาวนาสังหารเขานั้น เขามีอายุระหว่าง 600 – 650 ปี ผมพบศพครั้งแรกก็คิดว่าเขาเป็นคนธรรมดาแต่แล้วก็ตกตะลึง เมื่อสภาพเนื้อเยื่อของเขา เขาไม่ใช่คนธรรมดาเสียแล้ว” ดร.แอนโทนี่กล่าย้ำ และเอาตำแหน่งหน้าที่เขาเป็นประกันในสิ่งที่เขาเห็น และแถลงออกมา “ชาวนาได้เอาไม้ตอกปักตรงหัวใจของเขาด้วย เพื่อเป็นการล้างอาถรรพ์และตามคำแนะนำของคนโบราณเพื่อไม่ให้ผีดิบฟื้นคืนชีพอีก” นักพยาธิวิทยาชั้นนำของโปแลนด์ กล่าวถึงการสภาพศพครั้งแรกที่เขาพบ


การสังหารผีดิบดูดเลือดครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2532 ภายหลัง 3 วันที่ โรมานา ปาสลอว์สกี้ เด็กสาววัยรุ่นอายุ 16 ปี ถูกข่มขืนอย่างทารุณ ถูกดูดเลือดและถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมบนถนนสายหนึ่งในมิสแลนไนซ์ ใกล้ๆ กับ คราเคาว์ ชาวบ้านแถบนั้น พากันสงสัยว่าจะต้องเป็นฝีมือของ บรอนิสลว์ ฟารอน และชาวนานับสิบพากันโกรธแค้น ลุกฮือขึ้นจะฆ่าเขาให้ได้เพื่อเป็นการแก้แค้น “ฟารอนได้สังหารคนมา 20 ศพแล้ว นับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง นอกจากนี้ เขายังทำร้ายและดูดเลือดคนมากกว่า 50 คน” เซสลอว์ เจโลเนค ชาวนาคนหนึ่งกล่าวแก่นักข่าว “ พวกเราทุกคนรู้ว่าเขาเป็นผีดิบดูดเลือด ทุก ๆ คนรู้ว่าเขาเป็นฆาตกร แต่ตำรวจก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้ โดยพวกตำรวจบอกว่าไม่มีหลักฐานที่จะเล่นงานเขา “ ตามความจริงผู้คนได้รับเรื่องราวของฟารอนไม่มากนัก เพียงแต่รู้ว่าเขาเป็นคนร่ำรวย เก็บตัวอยู่ตามลำพังในประสาทเก่า และชอบแต่งชุดดำเป็นประจำ เรื่องราวของเขาคล้ายกับนวนิยาย เรื่องสยองขวัญ “แดร๊กคูร่า” หลายอย่าง จึงเชื่อว่า ฟารอนคือผีดิบดูดเลือดตัวจริงที่สร้างอาณาจักรแห่งความหวาดกลัวมากว่า 600 ปีแล้ว และที่น่าแปลกยิ่งขึ้น นักพยาธิวิทยาชั้นนำกลับย้ำยืนยันหลังจากการตายของเขาว่า ฟารอนเกิดมานานหลายร้อยปีแล้ว โดยดูจากเนื้อเยื่อ


ในคืนวันที่ 5 เมษายน 2532 ชาวนาได้รวมกำลังกัน รวมทั้ง เจโลเนค ด้วยได้ลักลอบเข้าไปในประสาทน่ากลัวและวังเวงของฟารอนท่ามกลางความมืดมิด ทุกคนตัวเย็นยะเยือกขนลุก เพราะไม่รุ้ว่าจะเผชิญกับอะไรในวินาที่ข้างหน้าบ้าง บริเวณประสาทมีแต่ความเงียบสงัดราวกับเข้าไปในป่าช้า แต่ด้วยความคั่งแค้นทำให้ทุกคนระงับความกลัวได้บ้าง การที่จะบุกเข้าไปในประสาทซึ่งสร้างมาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 14 ย่อมจะทำไม่ได้แน่ พวกชาวนาซึ่งได้เตรียมแผนการมาอย่างดีแล้ว จึงพากันขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าไปในหน้าต่างประสาทหลายบานที่เปิดอยู่ ทันใดนั้นเองฟารอนวิ่งสำลักควันหนีออกมานอกประสาท พวกชาวนาจึงรุมเขาจนหมอบ แล้วเอาไม้ตอกหัวใจเขา หลังจากที่ชาวนาสังหารเขาเพราะพึ่งกฏหมายไม่ได้ จึงนำศพฟารอนไปยังสถานีตำรวจ และก็เป็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่งที่ชาวนาไม่โดนข้อหาฆาตกรรม โดยเจ้าหน้าที่บอกว่า คดีนี้ปิดแล้ว


“แสดงว่าพวกเราทำถูกแล้ว และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ไม่อยูในฐานะที่จะพูดหรือจัดการกับพวกเราอย่างไรได้” เจโลเนค ที่มีส่วนร่วมกำจัด ฟารอนกล่าว “แต่อย่างไร ผมก็รับประกันได้เลยว่า ต่อไปนี้พวกเราจะมีความสุข และไม่ต้องหวาดระแวงกันแล้ว เมื่อปีศาจร้ายตัวนี้ได้ตายไป” นี่เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่เกิดขึ้นแล้วในโลกยุคเทคโนโลยี่ก้าวล้ำและยังไม่รุ้ว่าผีดีบดูดเลือดอย่างเช่น บรอนิสลอว์ ฟารอน แห่งโปแลนด์ จะมีหลงเหลืออยู่ในโลกจนกึงทุกวันนี้หรือเปล่า........../หนังสือ ชุมนุมปีศาจระดับโลก



เด็กซ่าบ้านแสบ
#15
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 10:02:36

#15 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 10:02:36 ]






คราวนี้ จะเกี่ยวกับความเชื่อ และเรื่องเล่าของ คนที่เจอ...หรอได้พิสูจ กับเรื่องนี้ ครับ...
จะดูว่าคราวนี้จามีคนสนใจ ป่าวน้า...



ผีดูดเลือด หรือ แวมไพร์ (Vampire) เป็นมนุษย์อีกรูปแบบหนึ่งที่มีพลังปิศาจ แม้ว่า ผีดูดเลือด จะอยู่ในร่างของมนุษย์ มันก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ มันคือคนที่ตายไปแล้วและลุกขึ้นมาจากโลงมีชีวิตใหม่โดยดูดเลือดเป็นอาหาร สังคมแทบทุกสังคมรู้จัก ผีดูดเลือด ผีดูดเลือดปรากฎครั้งแรกในอาณาจักร บาบิโลเนีย ในหีบศพที่ถูกปิดมานานกว่า 4,000 ปี มีตำนานเกี่ยวกับผีดุดเลือดมากมายใน อินเดีย จีน กรีก โรมัน มาเลเซีย และไทย ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดเช่นกัน



ในประเทศมาเลเซีย เชื่อกันว่า ผู้หญิงที่เสียชีวิต ในขณะ หรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด และลูกที่ตายพร้อมกันก็จะเป็นผีดูดเลือดด้วย ส่วนของไทยก็เห็นจะเป็น กระสือ หรือปอบ ที่เรารู้จักกัน ประเพณีโบราณมักมีวิธีป้องกันผีพวกนี้และบางประพณีก็สืบทอดมาถึงปัจจุบัน ในแถบตะวันตก ผีดูดเลือด เป็นที่รู้จักกันในนามแวมไพร์ ปรากฏในอังกฤษครั้งแรก

ศพถูกขุด ขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก

ในปี พ.ศ.2275 ตามบันทึกว่าเป็น แวมไพร์ ชาวเซอร์เบีย (Serbian : แคว้นในยูโกสลาเวีย) ที่กลับมาจากหน้าที่ทางทหารใน กรีก ด้วยท่าทีที่แปลกไป เขาผู้นั้น คือ อาร์โนลด์ เปาเล (Arnold Paole) เปาเล ยอมรับกับภรรยาในเวลาต่อมาว่า เขาโดน แวมไพร์ ดูดเลือดในขณะเดินทางและได้กลายเป็น แวมไพร์ ไปด้วย เปาเล ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่เพื่อนบ้านยังคงเห็นเขาวนเวียนอยู่ ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก การที่จะพิสูจน์ว่า เป็น แวมไพร์ หรือไม่นั้น ทำได้โดยตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ ศพของ เปาเล ถูกพิสูจน์และด้วยความประหลาดใจ


ขณะที่ตอก หมุดนั้นมีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย

ในขณะที่ตอกหมุดนั้นมีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย ศพของ เปาเล ถูกเผาตามขั้นตอนของพิธีกรรมทางความเชื่อ หลายปีต่อมา ก็ยังมีกรณีของ แวมไพร์ ตัวอื่นอยู่ ซึ่งเชื่อว่า เป็นเหยื่อของ เปาเล จึงสรุปได้ว่า แวมไพร์ ถ่ายทอดได้โดยการถูกกัด


บันทึกในปี พ.ศ.2306 ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฌอง จาก รูสโซ (Jean-Jacques Rousseau) กล่าวว่า ในปีนั้นมีพยานหลายคนทั้งที่เป็นแพทย์ นักบวชและพนักงานปกครอง ได้พบเห็น แวมไพร์ เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม จนกระทั่งในต้นพุทธศตวรรษที่ 24 แวมไพร์ ก็เป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง มีทั้งสองเพศ แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยใช้กระเทียม การเป็น แวมไพร์ นั้นเป็นไปโดยไม่ได้สมัครใจและก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับปิศาจหรือเวทมนตร์ แม่มดเท่าใดนัก แวมไพร์ มักเป็นคนบาปที่ดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย ผู้บริสุทธิ์ก็เป็น แวมไพร์ ได้โดยตกเป็นเหยื่อของพวกมัน


แวมไพร์ มีจริงหรือ ?

บุคคลที่มีความแตกต่างไปจากคนอื่นและมีการตายอย่างประหลาดนั้นมักถูกเชื่อ ว่า จะเป็นแวมไพร์ อย่าง แน่นอน บุคคลใดที่มีลักษณะคล้าย แวมไพร์ จะถูกกีดกันจากสังคมทันที การกำจัด แวมไพร์ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็น แวมไพร์ โดยความเชื่อของ ชาวโรมัน ให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัด แวมไพร์ หรือกำจัดได้โดยวิธีเดียวกับที่ทำกับ แวมไพร์ เปาเล


ปลายพุทะศตวรรษที่ 19 นักเขียนชาว ไอริช เมื่อ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ได้แต่งนิยายเรื่อง แดรกคูลา (Dracula) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำอีกคำหนึ่งที่แปลว่า ผีดูดเลือด แดรกคูลา เป็นลูกชายของ แดรกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้าย ทารุณ แดรกคูล เป็นสมญานามที่แปลว่า ปิศาจ ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลา ก็แปลว่า ลูกชายของปิศาจ

ในนิยาย แดรกคูลา เกิดในทรานซิลวาเนีย (Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา ทรงสร้างศัตรูมากมาย มีการตายอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นศพและไม่ได้ถูกฝังตามพิธี จนปัจจุบันเรื่องราวของ แวมไพร์


ก็ยังคงน่าหลงใหลและน่าหวาดกลัวมีผู้คนที่เชื่อว่า แวมไพร์ มีจริง ยิ่งกว่านั้น ยังมีศูนย์วิจัย แวมไพร์ ใน นิวยอร์ก ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ แวมไพร์ ใน ยุโรป และ อเมริกา อีกด้วย

จบแร้ว --* จามีคนสนใจอีก เป่าน้า...


เด็กซ่าบ้านแสบ
#16
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 10:14:58

#16 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 10:14:58 ]






โรค Nemo mutation หรือเรียกเป็นทางการว่า Porphyria หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า โรคแวมไพร์ อาการอาจเบา-แรงขึ้น แตกต่างมากและน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละคนไป

สาเหตุหลักๆที่ทำให้ถูกเรียกว่าโรคแวมไพร์

* ผิว หนังจะเกิดอาการแพ้แสง จะเกิดเป็นแผลพุพองขึ้นหากอยู่ในแสงแดดเพียงแค่เวลาไ ม่กี่วินาที ทำให้ผู้ป่วยกลัวแสง และออกจากบ้านเฉพาะเวลากลางคืน
* ในผู้ป่วยบางรายอวัยวะส่วนยื่นเป็นระยางยื่น เช่นจมูก นิ้วมือนิ้วเท้า จะเกิดเป็นแผลเรื้อรัง จนหลุดขาดออกจากร่างกาย
* ริมฝีปากจะเกิดอาการดึงรั้ง จนมองเห็นฟันชัดเจน
* การรักษาทำได้การถ่ายเลือด ให้เลือด ในสมัยโบราณอาจใช้การให้ดื่มเลือด
* กระเทียม มีการเคมีบางตัวที่ใช้รักษาโรคโพรพีเรีย แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่าผู้ป่วยบางคนกลัวกระเทียม (คาดว่าเป็นอาการทางจิตต่อเนื่องน่ะ)
* ดวง ตาจะเรืองแสงกว่าบุคคลทั่วไป และใช้สายตาได้ดีในเวลากลางคืน (อาจเป็นเพราะ ปรับตัวสายตาชินกับความมืดแล้ว เนื่องจาก ไปไหนตอนกลางวันไม่ได้)


นอกจากนี้ยังมีการค้นพบผู้ป่วยที่เป็นโรค Nemo mutation จะมีเขี้ยวแหลมเหมือนแวมไพร์ บางรายอาจจะมีฟันทั่วไปด้วย ในบางรายอาจไม่มีฟันเลย มีแต่เขี้ยว 4ซีก

แต่ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักอายุไม่ยาว ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตช่วงอายุประมาณ 10ขวบขึ้นไป จึงทำให้พบได้ยากมาก ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยโรคแวมไพร์ มีอาการแทรกซ้อนของโรคแล้วล่ะก็ ไม่แปลกใจเลย หากผู้คนในยุโรปสมัยโบราณจะคิดว่า คนเหล่านี้เป็นปีศาจ

สำหรับ โรคแวมไพร์นี้ มีออกมาเป็นหนังสือซึ่งเขียนจากชีวิตจริงของผู้หญิงที่ ป่วยเป็นโรคแวมไพร์
แดร็กคูล่าร์เป็นชื่อแวมไพร์ครับคล้ายชื่อคนนะครับ
เหมือนกับถามว่าคน กับนาย ก. ต่างกันตรงไหนนั่นแระ
แถมเกล็ดความรู้เรื่องแวมไพร์นะ

CAES I
แวมไพร์ เรื่องจริงหรืออิงนิยาย
ตำนานแวมไพร์มีมานานนับเป็นพันๆปี เรียกว่าอยู่คู่กับประวัติศาสตร์มนุษย์ก็คงจะได้ แวมไพร์มิได้หมายถึงผีดูดเลือดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชนชาติต่างๆทั่วโลกต่างก็มีแวมไพร์ในแบบฉบับของตัวเอง ไล่ไปตั้งแต่แวมไพร์ฝรั่งผมบลอนด์ แวมไพร์จีน แวมไพร์ญี่ปุ่น ไปจนถึงแวมไพร์มาเลเซีย แบบที่เรียกกันว่า เพนังกะลัง
อย่างไรก็ตาม แวมไพร์ที่เราๆท่านๆคุ้นเคยกัน ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะกลายพันธ์ และภาพลักษณ์ไปหมด ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจาก อิทธิพลของหนังสือและภาพยนต์ ซึ่งร้อยทั้งร้อย ล้วนมาจากยุโรปและอเมริกาทั้งสิ้น จุดกำเนิดของตำนานแวมไพร์มาจากตะวันออกไกลครับ มันกระจายมาโดยผ่านเส้นทางจากจีน - ธิเบต - อินเดีย - ผ่านเส้นทางที่เรียกกันว่าทางสายไหมเข้าสู่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตำนานนี้กระจายไปทั่วประเทศแถบทะเลดำ คาบสมุทรบอลข่าน รวมไปถึงฮังการี่ และดินแดนที่เราคุ้นเคยกัน …ทรานซิลวาเนีย
ปัจจุบัน แวมไพร์ในความนึกคิดของเรามักจะเป็นไปในแนวของ ปีศาจดูดเลือด, ผู้ที่ฟื้นคืนชีพจากความตาย, ดำรงชีวิตได้เฉพาะยามค่ำคืน สามารถกลายร่างเป็นค้างคาวได้… คุณสมบัติพวกนี้เป็นแวมไพร์ของยุโรป และในหนังผีครับ จริงๆแล้วแวมไพร์มีคุณสมบัติที่หลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เรามาดูกันดีกว่าว่า แวมไพร์ของแต่ละชนชาตินั้นเป็นอย่างไร
SLAVIC VAMPIRES
ชาวสลาฟเป็นชาติที่ร่ำรวยเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์มากที่สุดในยุโรปตะวันออก ดินแดนนี้กินพื้นที่ตั้งแต่ รัสเซีย บุลแกเรีย เซอร์เบียร์ จนกระทั่งถึงโปแลนด์ ความเชื่อพวกนี้ฝังรกรากมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 แน่ะครับ แหล่งชุมนุมแวมไพร์ที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่ เมือง Magyars ซึ่งปัจจุบันเป็นพรมแดนต่อกันระหว่างประเทศฮังการีกับโรมาเนีย คำว่าแวมไพร์ก็มาจากภาษาของพวกเขานี่แหละครับ แวมไพร์พวกนี้จะมีเล็บมือและผมที่ทั้งยาวทั้งสกปรก มุมปากมีคราบเลือดเกรอะกรัง ไม่ชอบสุงสิงกับผู้คน วิธีการปราบแวมไพร์ของชาวสลาฟก็คือจับทำบาร์บีคิวครับ เผาทั้งเป็นเลย หรือไม่ก็พรมน้ำมนต์ที่ได้มาจากโบสถ์ใส่พวกมันก็ได้
ROMANIA
เนื่องจากโรมาเนียถูกแวดล้อมไปด้วยประเทศของชนชาติสลาฟ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าแวมไพร์ของพวกเค้าจะกระเดียดไปทางแวมไพร์เชื่อสายสลาฟนิดๆ ภาษาพื้นเมืองของโรมาเนียนั้น เรียกแวมไพร์ว่า Strigoi ครับ อาจจะหมายถึง นกฮูกแก่ๆ หรือปีศาจก็ได้ทั้งนั้น Strigoi มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน Strigoi ส่วนมากคือพวกผู้ใช้คาถา ซึ่งจะกลายเป็นแวมไพร์เมื่อตายแล้ว เจ้า Strigoi พวกนี้จะถอดวิญญาณออกจากร่างไปเพื่อชุมนุมกันในคืนพระจันทร์เต็มดวง หรือไม่ก็ออกตระเวนดูดเลือด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกในครอบครัว หรือไม่ก็เพื่อนบ้านใกล้เคียง
คนที่เกิดมาโดยมีสัญญลักษณ์ของปีศาจ (มีหาง เขี้ยวงอก ขนดกรุงรัง) หรือคนที่ตายอย่างผิดธรรมชาติ หรือตายโดยที่ยังไม่ได้ทำพิธีรับศีล พวกนี้มีสิทธิจะเป็นแวมไพร์ได้ทั้งนั้น ถ้าครอบครัวไหนมีลูกเพศเดียวกันถึงเจ็ดคน คนที่เจ็ดนั่นแหละครับ แวมไพร์มาเกิด พวกผู้หญิงแถวนั้นเวลาท้องพวกเธอต้องกินเกลือครับ เพื่อป้องกันลูกที่อยู่ในครรภ์ ส่วนพวกสุดท้ายที่มีสิทธิเป็นแวมไพร์ชัวร์ๆ คือพวกที่โดนแวมไพร์กัดเอา

CASE II
ตำนานแวมไพร์ : ราชาแห่งผีดูดเลือด
ผีดูดเลือด หรือ แวมไพร์ (Vampire) เป็นมนุษย์อีกรูปแบบหนึ่งที่มีพลังปิศาจ แม้ว่า ผีดูดเลือด จะอยู่ในร่างของมนุษย์ มันก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ มันคือคนที่ตายไปแล้วและลุกขึ้นมาจากโลงมีชีวิตใหม่โดยดูดเลือดเป็นอาหาร
สังคมแทบทุกสังคมรู้จัก ผีดูดเลือด ผีดูดเลือดปรากฎครั้งแรกในอาณาจักร บาบิโลเนีย ในหีบศพที่ถูกปิดมานานกว่า 4,000 ปี มีตำนานเกี่ยวกับผีดุดเลือดมากมายใน อินเดีย จีน กรีก โรมัน มาเลเซีย และไทย ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดเช่นกัน
ในประเทศมาเลเซีย เชื่อกันว่า ผู้หญิงที่เสียชีวิต ในขณะหรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด และลูกที่ตายพร้อมกันก็จะเป็นผีดูดเลือดด้วย ส่วนของไทยก็เห็นจะเป็น กระสือ หรือปอบ ที่เรารู้จักกัน ประเพณีโบราณมักมีวิธีป้องกันผีพวกนี้และบางประพณีก็สืบทอดมาถึงปัจจุบัน
ในแถบตะวันตก ผีดูดเลือด เป็นที่รู้จักกันในนามแวมไพร์ ปรากฏในอังกฤษครั้งแรก ในปี พ.ศ.2275 ตามบันทึกว่าเป็น แวมไพร์ ชาวเซอร์เบีย (Serbian : แคว้นในยูโกสลาเวีย) ที่กลับมาจากหน้าที่ทางทหารใน กรีก ด้วยท่าทีที่แปลกไป เขาผู้นั้น คือ อาร์โนลด์ เปาเล (Arnold Paole) เปาเล ยอมรับกับภรรยาในเวลาต่อมาว่า เขาโดน แวมไพร์ ดูดเลือดในขณะเดินทางและได้กลายเป็น แวมไพร์ ไปด้วย เปาเล ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่เพื่อนบ้านยังคงเห็นเขาวนเวียนอยู่ ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก การที่จะพิสูจน์ว่า เป็น แวมไพร์ หรือไม่นั้น ทำได้โดยตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ ศพของ เปาเล ถูกพิสูจน์และด้วยความประหลาดใจ
ในขณะที่ตอกหมุดนั้นมีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย ศพของ เปาเล ถูกเผาตามขั้นตอนของพิธีกรรมทางความเชื่อ หลายปีต่อมา ก็ยังมีกรณีของ แวมไพร์ ตัวอื่นอยู่ ซึ่งเชื่อว่า เป็นเหยื่อของ เปาเล จึงสรุปได้ว่า แวมไพร์ ถ่ายทอดได้โดยการถูกกัด
บันทึกในปี พ.ศ.2306 ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฌอง จาก รูสโซ (Jean-Jacques Rousseau) กล่าวว่า ในปีนั้นมีพยานหลายคนทั้งที่เป็นแพทย์ นักบวชและพนักงานปกครอง ได้พบเห็น แวมไพร์ เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม จนกระทั่งในต้นพุทธศตวรรษที่ 24 แวมไพร์ ก็เป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง มีทั้งสองเพศ แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยใช้กระเทียม การเป็นแวมไพร์ นั้นเป็นไปโดยไม่ได้สมัครใจและก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับปิศาจหรือเวทมนตร์ แม่มดเท่าใดนัก แวมไพร์ มักเป็นคนบาปที่ดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย ผู้บริสุทธิ์ก็เป็น แวมไพร์ ได้โดยตกเป็นเหยื่อของพวกมัน
บุคคลที่มีความแตกต่างไปจากคนอื่นและมีการตายอย่างประหลาดนั้นมักถูกเชื่อว่า จะเป็นแวมไพร์ อย่าง แน่นอน บุคคลใดที่มีลักษณะคล้าย แวมไพร์ จะถูกกีดกันจากสังคมทันที การกำจัด แวมไพร์ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็น แวมไพร์ โดยความเชื่อของ ชาวโรมัน ให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัด แวมไพร์ หรือกำจัดได้โดยวิธีเดียวกับที่ทำกับ แวมไพร์ เปาเล
ปลายพุทะศตวรรษที่ 19 นักเขียนชาว ไอริช เมื่อ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ได้แต่งนิยายเรื่อง แดรกคูลา (Dracula) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำอีกคำหนึ่งที่แปลว่า ผีดูดเลือด แดรกคูลา เป็นลูกชายของ แดรกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้าย ทารุณ แดรกคูล เป็นสมญานามที่แปลว่า ปิศาจ ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลา ก็แปลว่า ลูกชายของปิศาจ
ในนิยาย แดรกคูลา เกิดในทรานซิลวาเนีย (Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา ทรงสร้างศัตรูมากมาย มีการตายอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นศพและไม่ได้ถูกฝังตามพิธี จนปัจจุบันเรื่องราวของ แวมไพร์ ก็ยังคงน่าหลงใหลและน่าหวาดกลัวมีผู้คนที่เชื่อว่า แวมไพร์ มีจริง ยิ่งกว่านั้น ยังมีศูนย์วิจัย แวมไพร์ ใน นิวยอร์ก ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ แวมไพร์ ใน ยุโรป และ อเมริกา อีกด้วย

หาได้ 2 อันเอง เฮ้อ


เด็กซ่าบ้านแสบ
#17
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 10:56:48

#17 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 10:56:48 ]






ไม่มีใครเข้ามาเลยหรอเนี่ยครับ


เด็กซ่าบ้านแสบ
#18
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 11:03:27

#18 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 11:03:27 ]






แวมไพร์ อาจเป็นผีที่มีสเน่ห์ที่สุดในโลกจริงๆอย่างที่คุณว่า
แต่ผมว่า ผีไทยๆนี่แหละ เป็นผีที่มีวัฒนธรรมไม่ด้อยไปกว่าผีชาติไหนๆ ทั้งประวัติความเป็นมา การแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ สำเนียงการพูดจาไพเราะโหยหวล สถานที่อยู่อาศัยสงบเยื่อกเย็นวังวิเวกและอั้บชื้น และความสามารถในการหลอกคนของผีแต่ละตน ยังมีสไตล์การหลอกที่แตกต่างกัน ย่อมเป็นตัวเลือกให้คนที่ต้องการถูกหลอกได้เลือกหามาใช้งานกัน

ยกตัวอย่างความมีอารยะของผีไทยกันหน่อย

เช่น ผีฝรั่งมี แดร๊กคิวล่า ไทยก็มี กระหัง ซึ่งมีภูมิปัญญาไทยแท้ๆ ใช้กระด้งเป็นปีก ใช้สากตำข้าวเป็นหางเสือ เวลาไม่มีคนให้กิน ก็เอาสากไปตำข้าว เอากระด้งมาฝลัดข้าวได้ ได้ข้าวไปหุงหากันกิน เป็นไง คลาสสิกมั๊ยล่ะ

เอ้า...เกริ่นซะนาน เข้าเรื่องกันดีกว่า ที่ถามว่า "ยังมีแวมไพร์ที่เดินได้ ดื่มได้อยู่มั้ยในทุกวันนี้" ส่วนตัวผมแล้ว ผมว่าไม่มีแล้วนะ คงสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ตอนกลางคืนออกไปจับคนดูดเลือด ก็คงทนแสงสีเสียงยามราตรีไม่ได้แสบตาแสบหูน่าดู ถ้าฟลุ๊คจับคนได้ ดูดเลือดไปก็เจอแต่ "แอลกอฮอล" ดูดเลือดไปแวมไพร์คงเมาปีนไปเกี่ยวสายไฟโดนไฟดูดตาย บางคนก็ไขมันในเลือดสูง ดูดไปไม่นานความดันขึ้นเส้นเลือดในสมองแตกตายเสียชาติแวมใพร์อีก บางคนน้ำตาลในเลือดสูงอีก(อันนี้ดีหน่อย เลือดคงหวานดี 555+)ดูดไปก็เบาหวานรับทาน ดูดเลือดอีกต่อไปไม่ได้หันมาดูดน้ำมะเขือเทศเป็นแวมไพร์แอ๊บแบ๊วโดนเด็กแนวรุม กะ... ตื้บ... เละตุ้มเป๊ะ (ขออภัยครับที่ใช้คำไม่สุภาพ)

สรุป
แวมไพร์ (ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนมีจริงหรือเป็นแค่เพียงนิยาย) ปัจจุบันนี้ ไม่มีแล้วครับ เพราะคงจะทนอยู่ร่วมกันเราๆท่านๆไม่ได้หรอกครับ ตอนนี้คนเราดุกว่าผีซะอีก เหอๆๆๆแวมไพร์ (Vampire) ผีชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรป ในยุคกลาง เชื่อว่าเป็นผีดิบ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์

ผีดูดเลือดหรือแวมไพร์ ( Vampire) เป็นมนุษย์อีกรูปแบบที่มีพลังปีศาจ แม้ว่าผีดูดเลือดจะอยู่ในร่างมนุษย์ แต่ก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ เพราะผีดูดเลือดนั้นมาจากคนที่ตายไปแล้วและลุกขึ้นมาจากโลง มีชีวิตใหม่ โดยทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยง โดยที่แวมไพร์จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันแพ้เเสงแดด แวมไพร์จะหลบซ่อนอยู่ในโลงของตนหรือในหลุมในเวลากลางวัน สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว, นกฮูก, หมาป่า, กบ, คางคก, แมลงเม่า, งูพิษ เป็นต้น สามารถกำบังกายหายตัวได้ ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก มีแรงมากเหมือนผู้ชาย 20 คน สิ่งที่จะกำราบแวมไพร์ได้คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน, น้ำมนตร์ หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด เช่น กระเทียม วิธีฆ่าแวมไพร์มีมากมาย เช่น ตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผา หรือ ตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของมัน จะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย และกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง
ชาวยุโรปในยุคกลางนั้น หวาดกลัวแวมไพร์มาก ผู้ที่สงสัยว่าเป็นแวมไพร์ จะตกอยู่ในสถานะเดียวกับแม่มด หรือ มนุษย์หมาป่า คือ ถูกตัดสินลงโทษด้วยการเอาถึงชีวิต มีวิธีการป้องกันการรุกรานของแวมไพร์หลายวิธี เช่น บางหมู่บ้านจะโปรยเมล็ดข้าวไว้บนหลังคาบ้าน เพราะเชื่อว่าแวมไพร์จะง่วนกับการนับเมล็ดข้าวเป็นการถ่วงเวลาจนรุ่งเช้า หรือ โรยเศษขนมปังไว้ตั้งแต่สุสานให้แวมไพร์เดินเก็บเศษขนมนั้นวนเวียนไปมา หรือแม้แต่การวางไม้กางเขนหรือดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมเพื่อเป็น การพันธนาการไว้ในโลง
เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องของแวมไพร์ที่สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ อาจมีที่มาจากที่ทวีปอเมริกากลาง มีค้างคาวขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ดูดเลือดสัตว์ที่ใหญ่กว่าเป็นอาหารในเวลากลางคืน ซึ่งค้าวคาวชนิดนี้ก็ได้มีการเรียกชื่อว่า แวมไพร์ เช่นกัน
ผีดูดเลือดปรากฏขึ้นครั้งแรกในอาณาจักร บาบิโลเนีย ใน!บศพที่ถูกปิดมานานกว่า 4,000 ปี มีตำนานเกี่ยวกับผีดูดเลือดมากมายในอินเดีย จีน กรีก โรมัน มาเลเซีย และไทยก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับ ผีดูดเลือดเช่นกัน

ในประเทศมาเลเซีย เชื่อกันว่า ผู้หญิงที่เสียชีวิต ในขณะหรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด และลูกที่ตายพร้อมกันก็จะเป็นผีดูดเลือดด้วย ส่วนของไทย จะรู้จักในนามของกระสือ ปอบ กระหัง ฯลฯ ประเพณีโบราณ มักมีวิธีป้องกันผีพวกนี้ และบางประเพณีก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

ในแถบตะวันตก ผีดูดเลือด เป็นที่รู้จักกันในนาม "แวมไพร์ " ปรากฏในอังกฤษครั้งแรก ในปี พ.ศ.2275 ตามบันทึกว่าเป็น แวมไพร์ชาวเซอร์เบีย (เป็นแคว้นๆหนึ่งอยู่ในประเทศยูโกสลาเวีย) ที่กลับมาจากหน้าที่ทางทหารในกรีก ด้วยท่าทีที่แปลกไป เขาผู้นั้น คืออาร์โนล เปาเล(Arnold Paole) เปาเลยอมรับกับภรรยาในเวลาต่อมาว่า เขาโดนแวมไพร์ดูดเลือดในขณะเดินทางและได้กลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย เปาเลประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่เพื่อนบ้านยังคงเห็นเขาวนเวียนอยู่ ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาและพบว่ามีรอยเลือดที่ปาก

การที่จะพิสูจน์ว่า เป็นแวมไพร์หรือไม่นั้น ทำได้โดยตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ ศพของเปาเล ถูกพิสูจน์ น่าประหลาดใจ ในขณะที่ตอกหมุดนั้น มีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย

ศพของเปาเลถูกเผาตามขั้นตอนพิธีกรรมทางความเชื่อ หลายปีต่อมา ก็ยังมีกรณีของแวมไพร์ตัวอื่นอยู่ ซึ่งเชื่อว่า เป็นเหยื่อของเปาเล จึงสรุปได้ว่า แวมไพร์ถ่ายทอดได้โดยการถูกกัด
บันทึกในปี พ.ศ. 2306 ของนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ ฌอง จาก รูสโซ (Jean-Jacques Rousseau) ในปีนั้น มีพยานหลายคน ทั้งที่เป็นแพทย์ นักบวชและพนักงานปกครอง ได้พบเห็นแวมไพร์ เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม
จนกระทั่งในต้นพุทธศตวรรษที่ 24 แวมไพร์ก็เป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง มีทั้งสองเพศ แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักจะออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยใช้กระเทียม แวมไพร์เป็นคนบาปที่ดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย บุคคลที่มีความแตกต่างจากคนอื่นและตายอย่างประหลาดมักจะถูกเชื่อว่า เป็นแวมไพร์ หลังจากนั้นเขาก็จะถูกกีดกันออกจากสังคม
การกำจัดแวมไพร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่ แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็นแวมไพร์ โดยความเชื่อของชาวโรมัน ให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัดแวมไพร์หรือตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ
ปลายศตวรรษที่ 19 นักเขียนชาวไอริช ชื่อ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ได้แต่งนิยายเรื่อง แดรกคูลา (Dracula) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำอีกคำหนึ่งซึ่งแปลว่า ผีดูดเลือด แดรกคูลา เป็นลูกชายของแดรกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้ายทารุณ แดรกคูลเป็นสมญานามที่แปลว่า ปิศาจ ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลา ก็แปลว่า ลูกชายของปีศาจ
นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร ละครเวที หรือแม้แต่กระทั่งภาพยนตร์การ์ตูนมากมายตราบจนปัจจุบัน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Nosferatu ในปี ค.ศ. 1922 เป็นต้น
ในนิยาย แดรกคูลาเกิดในทรานซิลวาเนีย(Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา ทรงสร้างศัตรูมากมาย มีการตายอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบศพและไม่ได้ฝังศพตามประเพณี
แม้สโตกเกอร์จะไม่ได้กล่าวในนิยายของเขาว่า แดรกคูลา ที่เขาอธิบายมีความละม้ายคล้ายคลึงกับแวมไพร์อย่างเหลือเกิน เช่น มีพลังผิดมนุษย์ ไม่มีเงา แปลงร่างได้ กลัวกระเทียม กลัวไม้กางเขนและกระแสน้ำไหล ไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้ถ้าไม่ได้รับเชิญ และต้องนอนในโลงศพเท่านั้น

ปัจจุบัน "แวมไพร์" ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าหลงไหลและน่าสะพึงกลัว มีผู้คนที่เชื่อว่า แวมไพร์ มีจริง ยิ่งกว่านั้น ยังมีศูนย์วิจัยแวมไพร์ในนิวยอร์ก ที่ศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับเกี่ยวกับ "แวมไพร์" ในยุโรปและอเมริกาอีกด้วย



เด็กซ่าบ้านแสบ
#19
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 11:07:41

#19 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 11:07:41 ]






แวมไพร์ เรื่องจริงหรืออิงนิยาย
ตำนานแวมไพร์ที่มีมานานนับพันๆปีเรียกว่าอยู่คู่กับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็คงจะได้ แวมไพร์มิได้หมายถึงผีดูดเลือดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชนชาติเผ่าพันต่างๆทั่วโลกก็มีแวมไพร์ในฉบับของตัวเอง ไล่ไปตั้งแต่แวมไพร์ฝรั่งผมบลอนด์ แวมไพร์จีน แวมไพร์ญี่ปุ่น ไปจนถึงแวมไพร์มาเลเซีย ที่เรียกกันว่า เพนังกะลัง อย่างไรก็ตาม แวมไพร์ที่เราๆท่านๆคุ้นเคยกันในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะกลายพันธุ์ และภาพลักษณ์ไปหมด ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก หนังและภาพยนต์ ซึ่งร้อยทั้งร้อยมาจากยุโรปอเมริกาทั้งสิ้น จุดกำเนิดของแวมไพร์มาจากตะวันออกไกล กระจายมาโดยผ่านเส้นทางจากจีน ธิเบต อินเดีย เข้าสู่แถบทะเลเมดิเตอเรเนี่ยน ตำนานนี้กระจายไปทั่วแถบทะเลดำ คาบสมุทรบอนข่าน รวมไปถึงฮังการี และดินแดนที่เราคุ้นเคย ทรานซิลเวเนีย ปัจจุบันแวมไพร์ในความคิดของเรามักเป็นไปในแนวของผีดูดเลือด ผู้ที่ฟื้นจากความตาย ดำรงชีวิตได้เฉพาะยามค่ำคืน สามารถกลายร่างเป็นค้างคาวได้ คุณสมบัติของพวกนี้เป็นแวมไพรืของพวกยุโรป และในหนังผีดิบจริงๆแล้ว พวกแวมไพร์มีคุณสมบัติที่หลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ มาดูกันดีกว่า ว่าแวมไพร์แต่ละชนชาติเป็นอย่างไร

Slavic vampire

ชาวสลาฟ เป็นชาวที่ร่ำรวยเรื่องที่เกี่ยวกับแวมไพร์มากที่สุดในยุโรปตะวันออก ดินแดนที่กินพื้นที่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 แหล่งชุมนุมแวมไพรืที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ในเมือง Magyars ซึ่งปัจจุบันเป็นพรมแดนที่เชื่องต่อระหว่าง ฮังการี กับประเทศโรมาเนีย แวมไพร์พวกนี้จะมีเล็บมือยาวสกปรก มุมปากมีคราบเลือดเกรอะกรัง ไม่ชอบสุงสิงกับผู้คน วิธีการปราบแวมไพร์ของชาวสลาฟคือการจับเผาทั้งเป็น หรือไม่ก็พรมน้ำมนต์ที่ได้จากโบสถ์ใส่พวกมันก็ย่อมได้ เนื่องจากโรมาเนียถูกล้อมไปด้วยชนชาติสลาฟ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าแวมไพร์ของพวกเค้าจะกระเดียดไปทางเชื้อสายสลาฟนิดๆภาษาพื้นเมืองของโรมาเนียนั้นจะเรียกแวมไพร์ว่า strigoi อาจจะหมายถึงนกฮูกแก่ๆหรือ ปิศาจก็ได้ทั้งนั้น Strigoi มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน strigoi ส่วนมากคือพวกใช้คาถา ซึ่งจะกลายเป็นแวมไพร์เมื่อตายแล้ว เจ้า strigoi พวกนี้จะถอดวิญญาณออกจากร่าง เพื่อไปชุมนุมกันในคืนที่จันทรืเต็มดวง หรือไม่ก็เที่ยวออกตระเวนดูเลือดคน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วนั้น เหยื่อผู้เคาระร้ายมักจะเป็นคนในครอบครัว หรือไม่ก็เพื่อนบ้านไกล้เคียง อย่างไรก็ตาม คนที่เกิดมาโดยมาสัญลักษณ์ของปิศาจ( มีหาง เขี้ยวงอก ขนรุงรัง) หรืออาจจะเป็นคนที่เสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติ หรือเสียชีวิตโดยไม่ได้ผ่านพิธีรับศีล พวกนี้มีสิทธิ์จะเป็นแวมไพร์ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าครอบครัวไหนมีลูกเพศเดียวกันถึงเจ็ดคน คนที่เจ็ดนั้นแหละแวมไพร์มาเกิด พวกผู้หญิงแถมนั้นเวลาท้องมักจะกินเกลือเพื่อป้องกันลูกที่อยู่ในครรภ์ ส่วนพวกสุดท้ายที่มีสิทธิ์เป็นแวมไพร์ชัวร์ๆก็คือพวกที่โดนแวมไพร์กัดเอา

ยังมีตำนานอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับแวมไพร์อย่างไกล้ชิด คิดว่าเราๆท่านๆก็คงคุ้นเคยกันนั้นคือเรื่องของ มนุษย์หมาป่านั้นเอง ตำราเค้าว่าไว้ว่ามีมนุษย์พวกหนึ่ง เมื่อถึงวันดีคืนดีจะมีปฏิกิริยากับดวงจันทร์ หรือดวงอาทิตย์จนสามารถกรายร่างเป็นหมาป่า หมาดำ หรือแม้กระทั้งหมูก็ได้.....

สิ่งกลายพันธ์พวกนี้ศัพท์วิชาการเรียกว่า Lycanthropy ชาวโรมาเนียมีตำนานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากมายพอๆกับแวมไพร์ทีเดียว ว่ากันว่า แวมไพร์นั้นจะแหวกหลุมศพขึ้นมา มันมีใบหน้าซีดเซียว ลมหายใจเหม็นเปรี้ยว และไม่ยอมแตะต้องอาหารที่มีส่วนประกอบของกระเทียมอย่างเด็ดขาด บ้านใดที่สงสัยว่ามีสมาชิกเป็นแวมไพร์มักจะไปเปิดหลุมศพดูว่ายังอยู่หรือไม่ เค้ามีเวลาในการสำรวจหลุมศพดังนี้....

ถ้าเป็นเด็กสามปีหลังการตาย ห้าปีสำหรับหนุ่มสาว และเจ็ดปีสำหรับผู้ใหญ่ที่โตแล้ว

วิธีสังหารแวมไพร์ดูจะคล้ายๆกนทุกคนกล่าวคือ เมื่อชาวโรมาเนียสงสัยว่าใครเป็นแวมไพร์ ก็จะมีการยิงกระสุนเงินทะลุฝาโลงเข้าไป ถ้าแจคพอร์ตเป็นแวมไพร์ โลงนันจะมีไฟลุกพรึบและเสียงกรีดร้องโหยหวน.....


เด็กซ่าบ้านแสบ
#20
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 11:10:59

#20 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 11:10:59 ]






ตำนานแวมไพร์กับเรื่องราวความเป็นมาของแวมไพร์จากแหล่งต่างๆทั่วโลก
แวมไพร์ เรื่องจริงหรืออิงนิยาย

ตำนานแวมไพร์มีมานานนับเป็นพันๆปี เรียกว่าอยู่คู่กับประวัติศาสตร์มนุษย์ก็คงจะได้

แวมไพร์มิได้หมายถึงผีดูดเลือดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชนชาติต่างๆทั่วโลกต่างก็มีแวมไพร์ในแบบฉบับของตัวเอง ไล่ไปตั้งแต่แวมไพร์ฝรั่งผมบลอนด์ แวมไพร์จีน แวมไพร์ญี่ปุ่น ไปจนถึงแวมไพร์มาเลเซีย แบบที่เรียกกันว่า เพนังกะลัง

อย่างไรก็ตาม แวมไพร์ที่เราๆท่านๆคุ้นเคยกัน ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะกลายพันธ์ และภาพลักษณ์ไปหมด ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจาก อิทธิพลของหนังสือและภาพยนต์ ซึ่งร้อยทั้งร้อย ล้วนมาจากยุโรปและอเมริกาทั้งสิ้น จุดกำเนิดของตำนานแวมไพร์มาจากตะวันออกไกลครับ มันกระจายมาโดยผ่านเส้นทางจากจีน - ธิเบต - อินเดีย - ผ่านเส้นทางที่เรียกกันว่าทางสายไหมเข้าสู่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตำนานนี้กระจายไปทั่วประเทศแถบทะเลดำ คาบสมุทรบอลข่าน รวมไปถึงฮังการี่ และดินแดนที่เราคุ้นเคยกัน ทรานซิลวาเนีย

ปัจจุบัน แวมไพร์ในความนึกคิดของเรามักจะเป็นไปในแนวของ ปีศาจดูดเลือด, ผู้ที่ฟื้นคืนชีพจากความตาย, ดำรงชีวิตได้เฉพาะยามค่ำคืน สามารถกลายร่างเป็นค้างคาวได้ คุณสมบัติพวกนี้เป็นแวมไพร์ของยุโรป และในหนังผีครับ จริงๆแล้วแวมไพร์มีคุณสมบัติที่หลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เรามาดูกันดีกว่าว่า แวมไพร์ของแต่ละชนชาตินั้นเป็นอย่างไร

SLAVIC VAMPIRES

ชาวสลาฟเป็นชาติที่ร่ำรวยเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์มากที่สุดในยุโรปตะวันออก ดินแดนนี้กินพื้นที่ตั้งแต่ รัสเซีย บุลแกเรีย เซอร์เบียร์ จนกระทั่งถึงโปแลนด์ ความเชื่อพวกนี้ฝังรกรากมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 แน่ะ แหล่งชุมนุมแวมไพร์ที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่ เมือง Magyars ซึ่งปัจจุบันเป็นพรมแดนต่อกันระหว่างประเทศฮังการีกับโรมาเนีย คำว่าแวมไพร์ก็มาจากภาษาของพวกเขานี่แหละครับ แวมไพร์พวกนี้จะมีเล็บมือและผมที่ทั้งยาวทั้งสกปรก มุมปากมีคราบเลือดเกรอะกรัง ไม่ชอบสุงสิงกับผู้คน วิธีการปราบแวมไพร์ของชาวสลาฟก็คือจับทำบาร์บีคิวครับ เผาทั้งเป็นเลย หรือไม่ก็พรมน้ำมนต์ที่ได้มาจากโบสถ์ใส่พวกมันก็ได้


ROMANIA

เนื่องจากโรมาเนียถูกแวดล้อมไปด้วยประเทศของชนชาติสลาฟ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าแวมไพร์ของพวกเค้าจะกระเดียดไปทางแวมไพร์เชื่อสายสลาฟนิดๆ ภาษาพื้นเมืองของโรมาเนียนั้น เรียกแวมไพร์ว่า Strigoi ครับ อาจจะหมายถึง นกฮูกแก่ๆ หรือปีศาจก็ได้ทั้งนั้น Strigoi มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน Strigoi ส่วนมากคือพวกผู้ใช้คาถา ซึ่งจะกลายเป็นแวมไพร์เมื่อตายแล้ว เจ้า Strigoi พวกนี้จะถอดวิญญาณออกจากร่างไปเพื่อชุมนุมกันในคืนพระจันทร์เต็มดวง หรือไม่ก็ออกตระเวนดูดเลือด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกในครอบครัว หรือไม่ก็เพื่อนบ้านใกล้เคียง
คนที่เกิดมาโดยมีสัญญลักษณ์ของปีศาจ (มีหาง เขี้ยวงอก ขนดกรุงรัง) หรือคนที่ตายอย่างผิดธรรมชาติ หรือตายโดยที่ยังไม่ได้ทำพิธีรับศีล พวกนี้มีสิทธิจะเป็นแวมไพร์ได้ทั้งนั้น ถ้าครอบครัวไหนมีลูกเพศเดียวกันถึงเจ็ดคน คนที่เจ็ดนั่นแหละครับ แวมไพร์มาเกิด พวกผู้หญิงแถวนั้นเวลาท้องพวกเธอต้องกินเกลือครับ เพื่อป้องกันลูกที่อยู่ในครรภ์ ส่วนพวกสุดท้ายที่มีสิทธิเป็นแวมไพร์ชัวร์ๆ คือพวกที่โดนแวมไพร์กัดเอา

แวมไพร์ เรื่องจริงหรืออิงนิยาย

ยังมีตำนานอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวพันกับเรื่องของแวมไพร์อย่างใกล้ชิดครับ คิดว่าเราๆท่านๆก็คงคุ้นเคยกัน นั่นคือเรื่องราวของมนุษย์หมาป่านั่นเอง ตำราเค้าว่าไว้ว่ามีมนุษย์พวกหนึ่ง เมื่อถึงวันดีคืนดี จะมีปฏิกิริยากับดวงจันทร์ หรือดวงอาทิตย์ จนสามารถกลายร่างเป็นหมาป่า หมาดำ หรือแม้แต่หมูได้(อันนี้ไม่เคยได้ยินแฮะ^^)สิ่งกลายพันธ์พวกนี้ศัพท์วิชาการเค้าเรียกLycanthropy ชาวโรมาเนียมีตำนานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากมายพอๆกับแวมไพร์เลยทีเดียว

ว่ากันว่าแวมไพร์นั้นจะแหวกหลุมศพขึ้นมาบนพื้นโลกเมื่อถึงเวลาอันควร มันมีใบหน้าที่ซีดเซียว ลมหายใจเหม็นเปรี้ยว และไม่ยอมแตะต้องอาหารที่มีส่วนประกอบของกระเทียมอย่างเด็ดขาด บ้านใดที่สงสัยว่าสมาชิกในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้วจะกลายเป็นแวมไพร์มักจะไปเปิดหลุมศพดูว่าศพยังอยู่หรือไม่ เค้ามีเวลาในการสำรวจหลุมศพดังนี้คะ ถ้าเป็นเด็กก็สามปีหลังการตาย ห้าปีสำหรับหนุ่มสาว และเจ็ดปีถึงจะเปิดสำหรับผู้ใหญ่ที่โตแล้ว

วิธีสังหารแวมไพร์ดูจะคล้ายๆกันทุกที่เลยคะ กล่าวคือ เมื่อชาวโรมาเนียพบหรือสงสัยว่าใครเป็นแวมไพร์ จะโดนจับเอากระเทียมยัดจนเต็มปากแล้วเอามาเผาไฟ หลุมศพใดที่ต้องสงสัยว่าเป็นแหล่งพำนักกายของแวมไพร์ก็จะมีการยิงกระสุนเงินทะลุฝาโลงเข้าไป ถ้าถุกแจ็คพอทเจอแวมไพร์ โลงนั้นจะมีไฟลุกพรึ่บดูสวยงามทีเดียวเชียวคะ(ฟังดูเว่อร์ๆ)

GYPSIES AND VAMPIRES

สำหรับคอหนังแล้ว ยิปซีดูจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับหนังผีดูดเลือดเลยจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นดารารับเชิญมันทุกเรื่องไป ในตำนานก็เช่นกันครับ ยิปซีมีบทบาทกับแวมไพร์อย่างใกล้ชิด วรรณกรรมชื่อดังของ บราม สโตเกอร์ ที่ชื่อ"แดร็คคิวล่า"นั้น ก็ได้กล่าวถึงสาวยิปซีที่คอยดูแลโลงของแดร็คคิวล่าอย่างจงรัก

ในความเป็นจริง ชาวยิปซีมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียทางตอนเหนือ และอพยพย้ายถิ่นฐานเรื่อยมาจนเข้ามาถึงยุโรปราวๆศตวรรษที่ 14 ไล่เลี่ยกันกับการถือกำเนิดของจอมทรราชย์ วลาด แดร็คคิวล่า ความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรมอันเร้นลับของชาวยิปซีมีอิทธิพลกับยุโรปในตอนนั้นไม่น้อย โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องวิญญาณและโลกหลังความตาย ไม่นานนัก ตำนานต่างๆที่เล่าขานกันมาในหมู่ยิปซีก็ถูกผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องเล่าของยุโรปแถบโรมาเนียและตุรกี แน่นอน เรื่องเหล่านี้รวมเรื่องแวมไพร์เข้าไปด้วย


บ้านเดิมของเหล่ายิปซี อินเดีย แหล่งรวมแห่งปรัชญาตะวันออก ที่นี่มีเรื่องเล่าลือและตำนานเกี่ยวกับสิ่งที่คล้ายแวมไพร์อยู่มากมาย เป็นต้นว่าภูต(Bhuta) วิญญานของคนที่ตายแบบผิดปกติชนิดวิญญาณยังสิงสู่อยู่ในร่าง ภูตเหล่านี้จะเดินท่อมๆไปตามถนนสายเปลี่ยวในยามค่ำคืน คอยทำร้ายและดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร

แวมไพร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอินเดียเห็นจะได้แก่ Kali หรือเจ้าแม่กาลีนั่นเอง นางนับเป็นภาคหนึ่งของพระแม่ทุรคา กาลีมีรูปร่างที่ดุร้าย สวมสายสังวาลย์ที่ทำจากหัวกะโหลก เจ้าแม่กาลีนี้เองที่เป็นต้นกำเนิดเรื่องราวของยิปซีแวมไพร์ เพราะความเชื่อและศรัทธาในตัวพระนางยังติดอยู่กับขาวยิปซีแม้ว่าพวกเขาจะข้ามน้ำข้ามทะเลย้ายรกรากมานับร้อยๆปีแล้วก็ตาม นามของกาลีจะเปลี่ยนไปตามการเรียกของยิปซีแต่ละสาย แวมไพร์ของชาวยิปซีมีอยู่ตัวหนึ่งชื่อมุลโล มีพฤติกรรมที่น่าสนใจเอามากๆ อันว่าเจ้ามุลโลนี้ส่วนมากจะเป็นประเภทผีล้างแค้น กลับมาจากความตายเพื่อทวงหนี้จากศัตรูคู่แค้นด้วยการสูบเลือดเป็นอาหาร แวมไพร์ที่เป็นผู้หญิงยิ่งน่ากลัวใหญ่เลยคะ แวมไพร์พวกนี้สามารถมีชิวิตอย่างคนธรรมดาและดำรงชีพด้วยการกินเรี่ยวแรงสามีจนทำให้พวกเขากระปลกกระเปลี้ย แวมไพร์ของยิปซีนั้นไม่ได้มีแค่คนตายเท่านั้น สัตว์เลี้ยงหรือผักผลไม้ก็เป็นแวมไพร์ได้ทั้งนั้น ฟักทองและแตงกวาที่ถูกทิ้งไว้ในบ้านนานๆโดยไม่มีใครกินนี่ก็ด้วย วันดีคืนดีมันจะเคลื่อนไหวได้เอง ส่งเสียงอึกทึกและมีเลือดหยดไหลออกมาเป็นทางดูน่าสยดสยองมาก

ค้างคาว

หลายครั้งหลายคราวที่มีการพาดพิงถึงแวมไพร์ สมาชิกกิตมศักดิ์ที่มักจะโดนลากเข้ามามีเอี่ยวด้วยก็คือค้างคาว ไม่มีพยายหลักฐานใดๆมาพิสูจน์ได้ว่าแวมไพร์กับค้างคาวเกี่ยวข้องกันยังไง แต่กระนั้นตำนานของแวมไพร์และค้างคาวก็ยังมีคู่กันแบบแยกไม่ออกเหมือนกาแฟกับคอฟฟี่เมทนั่นเชียว


ตำนานของค้างคาวมีมากมายกระจัดกระจายไปทุกซีกโลก ในแอฟริกาใต้ มีเรื่องเล่าของคามาโซตซ์ เจ้าแห่งค้างคาวที่อาศัยในถ้ำยักษ์ใต้พิภพ ในยุโรปเองค้างคาวและนกเค้าแมวมักจะถูกโยงใยเข้ากับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติอยู่บ่อยๆ นั่นคงเป็นเพราะเสียงของมันฟังดูน่ากลัวและพบเห็นได้เฉพาะตอนกลางคืน มนุษย์เรากลัวความมืดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนี่คะ เลยจับเอานกเค้าแมวและค้างคาวเหมารวมเข้าไปกับผู้ที่ชอบหลบเร้นในความมืด(ก็ผะ-อี๋ น่ะแหละ)ซะเลย


อีกสาเหตุหนึ่งที่ค้างคาวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับตำนานแวมไพร์น่าจะมาจากพฤติกรรมของมัน มีค้างคาวอยู่สามสปีชี่ส์ที่ดูดเลือดของสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร ถิ่นฐานของพวกมันอยู่ในทวีปแอฟริกาครับ เจ้าค้างคาวพวกนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับทหารสเปนในยุคล่าอาณานิคมเป็นอย่างมาก เมื่อกลับมาถึงยุโรป ตำนานของค้างคาวดูดเลือดยิ่งถูกเติมสีใส่ไข่ให้น่าฟังโดยเหล่ากลาสี ค้างคาวเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของแวมไพร์ไปด้วยประการฉะนี้ แถมนับว่าความเชื่อนี้ก็มีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งนักเขียนใหญ่อย่าง แบรม สโตเกอร์ กับ มัลคอม ไรห์เมอร์ก็ยังเอากับเขาด้วยเลยนี่

โรคตื่นแวมไพร์ในศตวรรษที่ 18

ตำนานแวมไพร์เป็นที่คุ้นเคยกับซีกโลกต่างๆมานมนาน แต่เชื่อมั๊ยคะว่าอังกฤษเพิ่งรู้จักแวมไพร์เอาเมื่อศตวรรษที่ 18 นี้เอง ช่วงนั้นโรคกลัวแวมไพร์ระบาดหนักในยุโรปตะวันออกลามมาถึงอังกฤษ ชาวบ้านชาวช่องกลัวกันมาก ขนาดเดินไปไหนมาไหนยังต้องมีพวงกระเทียมแขวนคอไปด้วย มีการโต้เถียงกันระหว่างกลุ่มผู้นำว่าเรื่องนี้เป็นไปได้จริงหรือไม่ และควรใช้นโยบายใดทำให้บ้านเมื่องสงบลง สมัยนั้นการสื่สารยังไม่เจริญนัก แต่ก็น่าแปลกที่ข่าวลือกระจายข้ามประเทศอย่างรวดเร็ว บางเรื่องก็เป็นตลกร้ายที่เหลือเชื่อเอามากๆ เช่นกองทัพแวมไพร์บุกเข้าพระราชวังในฮังการีเล่นงานจนทหารและคนในวังเป็นแวมไพร์กันหมด แม้แต่ข่าวที่ว่าพระราชวังเครมลินเต็มไปด้วยแวมไพร์ก็ยังมีออกมา ของแถมที่มากับข่าวลือก็คือการออกล่าแวมไพร์ มีคนถูกย่างสดไม่เว้นแต่ละวันในข้อหาเป็นแวมไพร์ หลายรายถูกทรมานอย่างทารุณก่อนเอาลิ่มตอกอก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวแวมไพร์ของชาวยุโรปได้เป็นอย่างดี


ไม่ว่าแวมไพร์จะมีจริงหรือไม่ก็ตาม เจ้าสิ่งนี้ถือเป็นตัวเสนียดขนานแท้เพราะแม้แต่ตำนานของมันก็ยังสร้างจุดด่างในประวัติศาสตร์เอาไว้มากมาย ถึงยังงั้นก็เถอะคะ ยังมีคนบางจำพวกที่พฤตกรรมโหดร้าย สังหารผลาญชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน นับว่าน่ารังเกียจกว่าแวมไพร์ซะอีก เรื่องของแวมไพร์ยังมีอีกเป็นกระบุง ว่างๆจะหามาเล่าสู่กันฟั



ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ