โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
เรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดและอาชญากรรม(ซ้ำขออภัยนะครับ)
famecd123
#1
16-09-2010 - 18:59:21

#1 famecd123  [ 16-09-2010 - 18:59:21 ]




แจ็กเดอะริปเพอร์ (อังกฤษ: Jack the Ripper) เป็นสมญาของฆาตกรต่อเนื่องที่ออกทำฆาตกรรมในย่าน "ไวท์แชเปล" ซึ่งเป็นถิ่นยากจนใกล้นครลอนดอนในช่วงครึ่งปีหลังของ ค.ศ. 1888 ชื่อสมญาได้มาจากข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ต่างๆ ที่ลงข่าวจดหมายลึกลับที่เขียนถึงสำนักข่าวกลางโดยผู้เขียนที่อ้างตนว่าเป็นฆาตกร ถึงแม้จะมีการสืบสวนและมีทฤษฎีที่น่าเชื่อถือมากมาย แต่ก็ไม่สามารถบ่งบอกโฉมหน้าที่แท้จริงของฆาตกรได้เลย
ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับฆาตกรแจ็กเดอะริปเพอร์ได้กลายเป็นขนมผสมน้ำยา ระหว่างการค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจังทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดและนิทานพื้นบ้าน การขาดหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดทำให้เกิดมีคำว่า "นักริปเพอร์วิทยา" มาใช้เรียกนักประวัติศาสตร์และนักสืบสมัครเล่นที่ศึกษาคดีอันโด่งดังนี้เพื่อกล่าวหาหรือพาดพิงถึงบุคคลต่างๆ ว่าคือตัวริปเพอร์ หนังสือพิมพ์ซึ่งมียอดขายเพิ่มสูงมากในช่วงนี้โทษว่าเป็นเพราะความล้มเหลวของตำรวจที่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ทำให้ฆาตกรฮึกเหิมได้ใจและท้าทาย เหตุการณ์จึงเกิดต่อเนื่องเรื่อยมา ในบางครั้งตำรวจมาถึงที่เหตุเกิดเพียง 2-3 นาที แต่กลับไม่ได้ตัวคนร้าย
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิงที่ออกหาเงินเป็นครั้งคราวด้วยการเป็นโสเภณี ฆาตกรรมส่วนใหญ่เกิดในที่สาธารณะหรือกึ่งสาธารณะ เหยื่อทุกรายถูกเชือดคอ หลังจากนั้นซากศพจะถูกหั่นตรงช่วงท้องและบางครั้งที่อวัยวะเพศ คาดกันว่าเหยื่อจะถูกรัดคอให้เงียบเสียงก่อนลงมือฆ่า มีหลายกรณีที่มีการตัดอวัยวะภายในออก จึงมีผู้อนุมานว่าฆาตกรอาจเป็นศัลยแพทย์หรือไม่ก็คนขายเนื้อ ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้


ปกวารสารพุกฉบับวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1889 แสดงการ์ตูนเป็นภาพของแจ็กเดอะริปเพอร์ ที่ไม่ทราบว่าเป็นใครยืนดูประกาศจับ

เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

หญิงถูกฆาตกรรมหลายรายยังที่เป็นที่ถกเถียงกันทั้งชื่อและจำนวน แต่รายที่ชี้ได้ชัดว่ากระทำโดยแจ็กเดอะริปเพอร์มีไม่มาก
[แก้]เหยื่อที่เป็นที่ยอมรับได้แน่นอน 5 ราย
เหยื่อที่เป็นที่ยอมรับทางกฎหมายว่าเป็นฝีมือของแจ็กเดอะริปเพอร์แน่นอนมี 5 ราย มีชื่อเรียกกันว่า "5 เหยื่อบัญญัติ" (Canonical five) ที่ได้จากผลสรุปของการสอบสวนจากหลายฝ่ายจากการที่ศพทั้งหมดมีลักษณะการถูกกระทำเกือบเหมือนกัน เหตุที่ทำให้เป็นที่เชื่อถือได้ในขณะนั้น มาจากความเห็นของหัวหน้าตำรวจชุดสอบสวนกลางคือ เซอร์เมลวิลล์ แมกนอเทน ที่ให้ไว้เมื่อ ค.ศ. 1894 ซึ่งเพิ่งเปิดเผยเมื่อ ค.ศ. 1959 ความจริงแมกนอเทนเข้าร่วมการสอบสวนหลังเกิดเหตุแล้ว 1 ปี โดยไม่มีนักสืบอื่นร่วม ทำให้ "นักริปเพอร์วิทยา" ต้องแยกเอาศพ 2 รายออกจากรายการเดิมที่มี 7 รายเหลือเพียง 5 ราย
การฆ่าเหยื่อบัญญัติทั้ง 5 ทำตอนกลางคืนในที่มืดในวันหยุดหรือใกล้วันสุดสัปดาห์ มีลักษณะช่วงเวลาใกล้เคียงแต่ไม่ตรงกัน เกิดในที่ที่เปลี่ยวแต่สาธารณชนเข้าถึงได้ด้วยการนัดหมาย หรือเป็นที่ที่มีคนไปในช่วงสุดสัปดาห์ มีเพียงรายเดียวที่เกิดในเขตลอนดอนและเกิดบนถนน นอกจากนี้ ลักษณะการกระทำของฆาตกรเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามความโด่งดังของการประโคมข่าว
ความยากในการบ่งชี้ว่าลักณะอย่างใดที่เป็นฝีมือของแจ็กเดอะริปเพอร์อยู่ตรงช่วงเวลาที่มีการฆาตกรรมสตรีซึ่งมากอยู่แล้วในยุคนั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ถ้าเป็นแจ็กเดอะริปเพอร์ คอเหยื่อจะถูกเชือดลึกมาก จะต้องมีการหั่นหรือสับช่วงท้องและอวัยวะเพศ มีการเชือดเอาอวัยวะภายในออกและมีการเฉือนใบหน้าด้วยมีดเป็นริ้วๆ..
[แก้]เหยื่อที่อาจใช่ฝีมือของแจ็กเดอะริปเพอร์
ยังมีบัญชีแนบท้ายรายชื่อ "5 เหยื่อบัญญัติ" ที่อาจเป็นฝีมือของแจ็กเดอะริปเพอร์อีก 13 รายโดยถือเอาความคล้ายคลึงในการเข้าจู่โจมทำร้ายหรือฆ่า แต่เหยื่อเหล่านี้มีหลักฐานการกระทำไม่ครบถ้วนและละเอียดชัดเจน
[แก้]การสืบสวน

กรณีแจ็กเดอะริปเพอร์ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าในเทคนิคการสอบสวนและนิติเวชศาสตร์มากที่สุดหลังเหตุการณ์
วิธีการด้านนิติเวชสมัยใหม่ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่เป็นที่รู้จักของตำรวจนครบาลในสมัยวิกตอเรีย แนวคิดเกี่ยวกับแรงกระตุ้นหรือแรงดลใจให้ลงมือกระทำการฆ่าของฆาตกรต่อเนื่องยังไม่เป็นที่เข้าใจกันแต่อย่างใด ตำรวจในสมัยนั้นเข้าใจเพียงเพียงแรงจูงใจอาชญากรรมที่มีต้นจากความต้องการทางเพศเท่านั้น
[แก้]สื่อ

ในโลกนี้มีฆาตกรปริศนาที่ฆ่าคนโหดกว่าแจ๊คมากมายหลายรายนัก แต่ทำไมแจ๊คถึงดัง และคนอื่นถึงรู้จักแต่แจ๊ค ทั้งๆ ที่แจ๊คไม่ใช้ฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของโลก และไม่ใช้ฆาตกรปริศนาคนแรกของโลกอีก นั้นเป็นเพราะสื่อและสิ่งที่ทำให้สื่อสนใจนั่นก็คือช่วงที่แจ๊คอาละวาดเริ่มจาก 31 สิงหาคม 1888 ช่วงนั้นสก็อตแลนด์สามารถคลี่คลายคดีหมอคลิปเปนฆ่าหั่นศพเมีย องค์กรนี้จึงมีชื่อเสียงทันที พวกเขามักออกมาให้ข่าวทำนองว่าพวกตนมีทีมงานที่มีคุณภาพ มีเทคโนโลยี เวลาสืบสวนแต่ละทีต้องละเอียดยิบ ต่อให้ฆาตกรจะฆ่าใครโดยไม่ทิ้งหลักฐาน ก็ลากฆาตกรลงโทษจงได้ ดังนั้นพอเกิดคดีแจ๊คขึ้นขึ้นมา สื่อที่หมั่นไส้องค์กรตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดอยู่แล้วเริ่มยิ้มถึงความล้มเหลว ขององค์กรนี้ และก็เริ่มเดือด เมื่อตำรวจอังกฤษไร้น้ำยาปล่อยฆาตกรฆ่าคนไปหลายราย สื่อเริ่มประโคมข่าว และเริ่มกระจายข่าวไปทั่วโลก และชื่อของแจ๊คเริ่มโด่งดังต่อมาเมื่อมีจดหมายส่งมาถึงผู้สื่อข่าว
แต่ต้องยอมรับว่าฆาตกรรมแจ็กเดอะริปเพอร์มีผลต่อชีวิตแบบใหม่ของชาวอังกฤษ แม้ฆาตกรรมต่อเนื่องแจ็กเดอะริปเพอร์จะไม่ใช่กรณีแรก แต่ก็ได้ทำให้สื่อทั่วโลกแตกตื่นแพร่กระจายข่าวนี้อย่างครึกโครม การมียอดจำหน่ายสูงขึ้นมาก ประกอบกับการออกกฎหมายใหม่ลดค่าอากรแสตมป์ทำให้ราคาหนังสือพิมพ์ต่อฉบับลดลงมากจากการพิมพ์จำนวนมหาศาล ทำให้เกือบทุกคนซื้ออ่านได้ เรื่องราวลึกลับน่ากลัวที่ยังจับใครไม่ได้จึงเป็นข่าวที่เพิ่มยอดขายได้สูง หลายคนถึงกับกล่าวว่าชื่อ "แจ็กเดอะริปเพอร์" เป็นชื่อที่หนังสือพิมพ์เป็นผู้ตั้งขึ้นเอง
การแพร่หลายของข่าวที่ประโคมแบบใหม่ทำให้เกิดกรณีฆาตกรรมต่อเนื่องที่คล้ายคลึงกันที่เกิดขึ้นในระยะหลังมีรูปแบบทำนองเดียวกันเช่น "ฆาตกรรัดคอบอสตัน" (the Boston Strangler) "ขุนขวานนิวออร์ลีน" (Axeman of New Orleans) นักซุ่มยิงเบลท์เวย์" (Beltway Sniper) รวมทั้งฆาตกรรัดคอเชิงเขา" (Hillside Strangler) เป็นต้น
ต้นเหตุสำคัญที่อาจเป็นไปได้ในกรณี "แจ็กเดอะริปเพอร์" ที่ได้กล่าวถึง คือการปล่อยละเลยไม่เหลียวแลย่านคนยากจนมากในสมัยนั้นจากชนชั้นสูงผู้ดูแลบ้านเมือง ดังย่านที่เป็นที่เกิดเหตุจึงมีผู้เรียกร้องความสนใจให้บ้านเมืองเข้ามาช่วยเหลือปรับปรุงให้มีสภาพดีขึ้นบ้าง จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ เป็นผู้หนึ่งที่เขียนจดหมายเชิงประชดถึงกรณีดังกล่าวผ่านหนังสือพิมพ์
[แก้]ผู้ต้องสงสัย

มีความคืบหน้ามากในการพยายามบ่งชี้ตัวฆาตกรแจ็กเดอะริปเพอร์ว่าเป็นใคร มีการพาดพิงหรืออนุมานกันไว้หลายคน แต่ก็ไม่สามารถจะนำไปสู่การจับกุมฆาตกรที่แท้จริงในเวลานั้นได้
[แก้]ลำดับเหตุการณ์

· 31 สิงหาคม ค.ศ.1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายแรก
· 8 กันยายน ค.ศ.1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สอง
· 25 กันยายน ค.ศ.1888 จดหมายส่งถึงสำนักงานเซ็นทรัล ลงนาม “แจ๊คค เดอะ ริปเปอร์”
· 30 กันยายน ค.ศ.1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สามกับสี่ในเวลาไล่เลี่ยกัน
· 1 ตุลาคม ค.ศ.1888 ไปรษณีย์บัตร์ “แจ๊คจอมซ่าส์”ถึงสำนักข่าวเดิม
· 16 ตุลาคม ค.ศ.1888 พัสดุลงชื่อ “จากนรก” ส่งไตครึ่งซีก ไปให้จอร์ชประธานคระกรรมการป้องกันภัยไวท์แซพเพล
· 9 พฤศจิกายน ค.ศ.1888 เหยื่อรายที่ห้าคาดว่าเป็นรายสุดท้าย
· 31 ธันวาคม ค.ศ.1888 พบศพมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแจ๊คจมน้ำตาย สันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
· ค.ศ.1890 อารอน โคสมินสกี้ ผู้ส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตและเสียชีวิตในปี ค.ศ.1919
· ค.ศ.1892 ปิดคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ โดยหาผู้กำระทำความผิดไม่เจอ
· ค.ศ.1894 เซอร์เมลวิลล์ แมคนักห์เต็นเขียนบันทึกร่ายยาวแบบลับๆ ว่า เขาสงสัยมองตากู จอห์น ดรูอิทท์
· ค.ศ.1901 มีการสันนิษฐานว่าจดหมายและพัสดุที่ส่งมาเป็นของปลอมทำขึ้นโดยฝีมือของนักข่าว
· ค.ศ.2006 สก็อตแลนด์ยาร์ดเปิดเผยโฉมหน้า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่
[แก้]สก็อตแลนด์ยาร์ดเปิดเผยโฉมหน้าแจ็กเดอะริปเพอร์

แม้คดีของแจ๊คจะจบลงมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1892 นานแล้ว แต่ใช่ว่าหลายๆ คนจะหยุดการสอบสวน เพราะยังมีผู้สนใจซึ่งเรียกตนเองว่า “นักริปเปอร์วิทยา” และผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมรวมไปถึง สก็อตแลนด์ยาร์ดที่ล้มเหลวยังคงสืบสวนคดีไม่รู้จักหยุดหย่อน แต่จากการสืบสวนของโดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ สอวนสัน สารวัตรใหญ่ประจำหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรม สก็อตแลนด์ยาร์ด มีพยานคนหนึ่งนะครับที่เห็นแจ๊คแบบจังๆ อยู่แล้วไม่ได้ถูกฆ่าตาย น่าจะเป็นวิลเลียม สมิธ ตำรวจสายตรวจเมื่อ 120 ปีก่อน
ในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1888 สมิธเห็นชายหญิงคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย และอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมาผู้หญิงคนที่พบก็กลายเป็นศพที่ 3 ของแจ๊ค โดยชายที่สิธเห็นนั้น สูงราวๆ 5 ฟุต 7 นิ้ว ไว้หนวดเรียวเล็ก ผิวคล้ำ ซึ่งสอดคล้องกับคอมพิวเตอร์ประมวลผลในปัจจุบันที่วิเคราะห์โดยทางเจ้าหน้าที่ของสก็อตแลนด์ยาร์ด ส่วนเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับตัวแจ๊ค ก็มีคนออกมาเสนอความเห็นอีกเช่นกัน โดยนายคิม รอสโม ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิประเทศบอกว่าเขาใช้เทคนิคอย่างหนึ่ง นำสถานที่เกิดเหตุแต่ละครั้งบวกกับรายงานที่มีพยานพบเห็นมาประเมินว่า ฆาตกรน่าจะอยู่ที่ไหน ผลออกมาคือ ฆาตกรรายนี้น่าจะพักอาศัยในอาณาเขตไม่เกิน 1 ตารางไมล์จากสถานที่เกิดเหตุ และมีการวิเคราะห์พันธงอีกว่า ฆาตกรนี้อยู่บนถนนฟลาวเวอร์ หรือถนนดีน ซึ่งห่างจุดเกิดเหตุแต่ละครั้งราวๆ ไม่เกิน 100 หลา และสองถนนนี้เอง ตำรวจเมื่อ 120 ปีก่อนก็เคยเคาะประตูบ้านสอบถามเรื่องราวและตามล่าผู้ต้องสงสัยมาแล้ว แต่ต้องกลับบ้านมือเปล่าไปเพราะไม่ได้อะไรสักอย่างและเมื่อหน้าฆาตกรบวกกับที่อยู่แล้วผลคือเราได้ชื่อตัวฆาตกรครับ
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม มีการเปิดเผยหลักฐานชิ้นสำคัญที่ถูกปกปิดหลายปี นั้นคือบันทึกส่วนตัวของโดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ สอวนสัน สารวัตรใหญ่ประจำหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรม สก็อตแลนด์ยาร์ดผู้รับผิดชอบคดีนี้นับตั้งแต่วันเกิดเหตุทายาทของสวอนสันตัดสินใจมอบบันทึกนี้ให้พิพิธภัณฑ์อาชญากรรมของสก็อตแลนด์ยาร์ด โดยบันทึกนี้เขียนด้วยมือของสวอนสันเองหลักจากเกษียณอายุราชการ แล้ว แต่ยังกังวลและคาใจคดีนี้ไม่ลงเลยเขียนบันทึกนี้ไว้เพื่อเพื่อให้คนรุ่นหลัง ได้อ่านเพื่อหาความจริงต่อไปซึ่งในนั้นเขาบอกชื่อฆาตกรที่เขาคิดว่าเป็น “แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์” อีกด้วย
บันทึกนี้ระบุว่าฆาตกรคนนั้นชื่อ อารอน โคสมินสกี้ เป็นช่างตัดผมชาวยิวที่อาศัยในเขตไวท์แซฟเพลย่านที่เกิดเหตุนั้นเอง สำหรับนาย อารอน โคสมินสกี้ นี้มีการชี้ตัวอย่างลับๆ ของพยานคนหนึ่งที่อ้างว่าเห็นตัวฆาตกร แต่พยานคนนี้ไม่ยอมร่วมมือกับราชการเท่าไหร่เพราะไม่อยากชื่อว่าเป็นคนทรยศ เพื่อนร่วมเชื้อชาติเดียวกันอย่างไรก็ตาม ในการร่วมมือแบบไม่เปิดเผยนั้น ตำรวจพาพยานไปชี้ตัว โดยนายโคสมินสกี้ไปรวมกับคนอื่นๆ ซึ่งพยานสามารถชี้ตัวได้ถูกต้อง หลักจากนั้นตำรวจก็จับตามองโคสมินสกี้ตลอด แต่ตอนนั้นนายนั้นดันเกิดอาการโรคจิตกำเริบ จนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลรักษาอาการ งานนี้หลานของสวอนสัน คือเนวิลล์ สวอนสัน บอกว่าคุณปู่มั่นใจเลยว่านายโคสมินสกี้เป็นฆาตกรแน่นอน แต่มีเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถจับกุมเขาได้
ความเห็นของสวอนสันนั้นก็สอดคล้องกับเจ้านายเขาเหมือนกัน คือเซอร์โรเบิร์ต แอนเดอร์สัน เขาก็เขียนบันทึกเหมือนกันว่า สงสัยนายโคสมินสกี้เหมือนกัน อันที่จริงชื่อของโคสมินสกี้ไม่ใช้เพิ่งจะโผล่ออกมา แต่เป็นชื่อต้นๆ ที่เคยถูกอ้างมาก่อนโดยเจ้าหน้าที่เซอร์เมลวิลล์ แม็กนักห์ แต่เขาเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับสองเพราะเขาสนใจนายมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ ว่าน่าจะเป็นแจ๊คมากกว่าแต่โคสมินสกี้จะเป็นแจ๊ค หรือไม่นั้นไม่มีใครตอบได้ เพราะตอนนี้เจ้าตัวลาโลกไปนานแล้วจะเชิญมาสอบปากคำคงต้องขึ้นคนทรงเจ้าแหละ แถมแม้มีการเปิดเผยเรื่องมากขึ้น แต่ปริศนาก็คือปริศนา เพราะมีคนบางคนนำเสนอว่าบางที่แจ๊คนั้นไม่ได้มีคนเดียว แต่มันมีสองคนขึ้นไปดำเนินการต่างหาก
นายเทรเวอร์ แมริออต อดีตนายตำรวจอังกฤษทุ่มเทเวลากว่า 10 ปี ในการศึกษาสำนวนคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ และประกาศว่า “ไม่มีทางเลยที่ฆาตกรผู้นี้จะทำงานได้โดยลำพังเพียงคนเดียว”เขาว่าจำนวนเหยื่อของแจ๊คนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่ามีกี่รายกันแน่ บางคนบอกว่ามีกว่า 10 ราย แต่เท่าที่นักริปเปอร์วิทยาทั้งหลายลงความเห็นว่าแท้จริงมีเหยื่อแค่ 5 รายเท่านั้นโดยนับจากรายแรกตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคม ค.ศ.1888
แต่สิ่งที่แมริออตสะดุดใจมากคือ เหยื่อรายที่ 3 และ 4 เพราะเกิดเหตุในคืนเดียวแต่สถานที่กันซึ่งมีระยะห่างกันเพียง 12 นาที ทำให้มีการคาดว่าน่าจะมีการแยกกันลงมือเพราะในเวลาที่น้อยขนาดนี้ ไม่น่าจะมีใครว่องไวพอขนาดทำงานได้ 2 ศพ ในเวลาไล่เลี่ยงขนาดนี้ บางทีโคสมินสกี้อาจร่วมมือกับใครคนหนึ่งหรืออาจเป็นองค์กร สมาคม หรือใครสักคนที่มีอิทธิยิ่งใหญ่ในอังกฤษ เขาอาจได้ค่าจ้างร่วมมือกันฆ่าโสเภณีทั้ง 5 โดยมีวัตถุประสงค์บางอย่างซึ่งเราก็ไม่ทราบได้
จนกระทั้งเวลาผ่านไป 120 ปี ปลายปี ค.ศ. 2006 สก็อตแลนด์ยาร์ดก็เปิดเผยโฉมหน้าของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ในที่สุด
[แก้]แจ็กเดอะริปเพอร์ในวัฒนธรรมสมัยใหม่

มีการนำกรณีหรือชื่อของ "แจ็กเดอะริปเพอร์" มาสร้างเป็นนวนิยายหลายเรื่อง ตั้งเป็นชื่อวงดนตรีบ้าง ชื่อเพลงบ้างทั้งโดยตรงและใช้ชื่อสถานที่ที่มีการอ้างอิงแพร่หลายในข่าวที่เป็นที่รู้จักบ้าง เช่น พิงค์ดอท บอบ ไดลาน จูดาส พรีสท์และสกรีมมิง ลอร์ด ซัทช์ ต่างร้องและอัดเพลงจำหน่ายในชื่อ แจ็กเดอะริปเพอร์
มีหลายบริษัทที่เอาแจ็กเดอะริปเพอร์มาทำตุ๊กตาและของเล่นขาย จนบางครั้งได้รับการประท้วงจากสังคม ในปี พ.ศ. 2549 วารสารประวัติศาสตร์ บีบีซี. ลงคะแนนเสียงโดยผู้อ่านให้กรณี "แจ็กเดอะริปเพอร์" เป็นประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายที่สุดของอังกฤษ
ถึงปัจจุบันมีหนังสือที่ไม่ใช่นวนิยายเกี่ยวกับแจ็กเดอะริปเพอร์มากถึง 150 เล่มทำให้แจ็กเดอะริปเพอร์เป็นคดีฆาดกรรมจริงที่มีผู้นำไปเขียนมากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่แล้ว แม้ขณะนี้ก็ยังมีวารสารเกี่ยวกับแจ็กเดอะริปเพอร์ตีพิมพ์จำหน่ายพร้อมกัน 6 ฉบับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
Credit: http://th.wikipedia.org/


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2010-09-16 19:05:30

famecd123
#2
16-09-2010 - 19:03:22

#2 famecd123  [ 16-09-2010 - 19:03:22 ]




ฆาตกรล่องหน
สมญา: ฆาตกรล่องหน
ภูตล่องหนแห่งเท็กซาร์คานา
ฆาตกรใต้เงาจันทร์
การก่อการ
เสียหาย: ตาย 5 คน
บาดเจ็บ 3 คน
เริ่มก่อการ: 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2489
เลิกก่อการ: 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2489
ที่เกิดเหตุ: สหรัฐอเมริกา เขตมหานครเท็กซาร์คานา (รัฐอาร์คันซอ และรัฐเท็กซัส)


ฆาตกรล่องหน (อังกฤษ: Phantom Killer) ภูตล่องหนแห่งเท็กซาร์คานา (อังกฤษ: Texarkana Phantom) หรือ ฆาตกรใต้เงาจันทร์ (อังกฤษ: Moonlight Killer) เป็นสมญาที่ตั้งให้แก่ฆาตกรต่อเนื่องนิรนามรายหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าเขาได้ฆ่าคนจำนวนหนึ่งในเขตมหานครเท็กซาร์คานา (อังกฤษ: Texarkana metropolitan area) สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) สำหรับสมญา "ฆาตกรใต้เงาจันทร์" นั้นมีที่มาจากการที่ฆาตกรรายนี้มักปฏิบัติการฆ่าในคืนวันเพ็ญ

การก่อการ

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) ขณะที่ จิมมี ฮอลลิส (อังกฤษ: Jimmy Hollis) ชายวัยยี่สิบสี่ปี และแมรี ชีน ลาเรย์ (อังกฤษ: Mary Jeanne Larey) เพื่อนสาววัยสิบเก้าปีของจิมมี กำลังกระจู๋กระจี๋กันสองต่อสองบนรถที่จอดบนถนนนอกเขตมหานครเท็กซาร์คานา ปรากฏชายนายหนึ่งพร้อมปืนพกจู่โจมเข้าหาและบังคับให้ทั้งสองลงจากรถ ก่อนเอาปืนหวดศีรษะจิมมีจนสลบ และลวนลามแมรี ก่อนหลบหนีไปเมื่อเห็นแสงไฟจากรถคันหนึ่งที่กำลังแล่นเข้ามาในบริเวณ คู่รักทั้งสองให้ปากคำว่า ชายที่เข้ามาทำร้ายนั้นมีความสูงของร่างกายประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร (หกฟุต) และสวมหมวกไอ้โม่ง
ต่อมาในยามเย็นของวันที่ 23 มีนาคม ปีเดียวกันนั้น ริชาร์ด กริฟฟิน (อังกฤษ: Richard Griffin) ชายวัยยี่สิบเก้าปี และพอลลี แอน มัวร์ (อังกฤษ: Polly Ann Moore) เพื่อนสาววัยสิบเจ็ดปีของริชาร์ด ขับรถยนต์ออกไปกระหนุงกระหนิงกันตามแถบชนบท และเช้าวันพรุ่งก็ถูกพบเป็นศพพร้อมกันในรถยนต์ซึ่งหยุดอยู่บนถนนชานเมืองเท็กซาร์คานา โบวีเคาน์ตี (อังกฤษ: Bowie County) รัฐเท็กซัส ส่วนหนึ่งของเขตมหานครเท็กซาร์คานา คู่รักทั้งสองถูกปืนลูกโม่ขนาดจุดสามสองยิงเข้าด้านหลังศีรษะ มีการพบรอยเลือดซ่านกระเซ็นบนพื้นห่างจากที่รถยนต์จอดไปหกเมตร หนึ่งกิโลเมตร (ยี่สิบฟุต) เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าพวกเขาทั้งสองถูกฆ่านอกรถและถูกจับยัดกลับเข้าไปใหม่
ครั้นค่ำวันที่ 13 เมษายน ปีนั้น พอล มาร์ทิน (อังกฤษ: Paul Martin) ชายวัยสิบเจ็บปี และเบตที โจ บุกเคอร์ (อังกฤษ: Betty Jo Booker) เพื่อนสาววัยสิบห้าปีของพอล ขับรถยนต์ไปเที่ยวกันที่สวนสาธารณะสปริงเลก (อังกฤษ: Spring Lake Park) เมืองเท็กซาร์คานา โบวีเคาน์ตี รัฐเท็กซัส พอเช้าวันพรุ่ง ทั้งสองถูกพบเป็นศพในสวนนั้น โดยร่างของพอลอยู่ห่างจากรถยนต์ไปราวสองกิโลเมตร (หนึ่งจุดห้าไมล์) ส่วนร่างของเบตทีกองอยู่ริมขอนไม้ห่างจากรถยนต์ไปราวสองกิโลเมตร ห้าสิบเซนติเมตร (สองไมล์) คู่รักทั้งสองถูกปืนยืงจนพรุน เจ้าหน้าที่ได้กระสุนปืนลูกโม่ขนาดจุดสามสองเป็นจำนวนมากจากศพ หนังสือพิมพ์เท็กซาร์คานากาแซต (อังกฤษ: Texarkana Gazette) พาดหัวข่าวใหญ่โตขนานนามฆาตกรว่า "ภูตล่องหน" (อังกฤษ: the Phantom)
ในช่วงนี้ ราษฎรชาวเขตมหานครเท็กซาร์คานาต่างประหวั่นพรั่นพรึงกันถ้วนหน้า บ้านเรือนหลายบ้านจัดหาปืนผาหน้าไม้มาประจำไว้ บ้างก็ปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้แข็งแกร่งขึ้น และบ้างก็ไม่กล้าออกไปนอกเคหสถานในยามวิกาลอีก ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านตรวจเพิ่มขึ้นในถนนเปลี่ยวและย่านที่คู่รักมักไปกระจู๋กระจี๋กัน กับทั้งยังเตรียมรับมือหากฆาตกรจะเปลี่ยนแผนการฆาตกรรมด้วย
ลุวันที่ 4 พฤษภาคม ปีนั้น ปรากฏชายผู้หนึ่งบุกเข้าไปในบ้านนาหลังหนึ่งห่างจากมิลเลอร์เคาน์ตี (อังกฤษ: Miller County) รัฐอาร์คันซอ ในเขตมหานครเท็กซาร์คานา ไปเกือบยี่สิบกิโลเมตร (สิบสองไมล์) เขาหยุดอยู่ภายนอกบ้านและใช้ปืนยิงผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นเข้าไปต้องชายวัยสามสิบหกปีนาม เวอร์จิล สตากส์ (อังกฤษ: Virgil Starks) ถึงแก่ความตายทันที ฝ่ายเคที สตากส์ (อังกฤษ: Katy Starks) ภรรยาวัยสามสิบห้าปีของเวอร์จิล อยู่บนห้องนอนได้ยินเสียงกระจกแตกก็ลงมาดู ถูกชายไม่ประสงค์ดีรายนั้นยิงซ้ำสองนัดต้องใบหน้าและปากของเคที นางพยายามควบคุมสติอารมณ์วิ่งหนีออกจากบ้านไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน ชายผู้นั้นจึงเข้าไปตามตัวถึงในบ้านแต่ไม่พบเนื่องจากเคทีได้ออกไปแล้ว ทิ้งแต่รอยเท้าเปื้อนโคลนไว้บนพื้น ครั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุคนร้ายก็จากไปแล้ว จากการทดสอบทางยุทโธปกรณ์พบว่ากระสุนที่ได้จากศพของเวอร์จิลหาใช่กระสุนปืนลูกโม่ขนาดจุดสามสองไม่ แต่เป็นกระสุนปืนพกกึ่งอัตโนมัติขนาดจุดสองสอง อย่างไรก็ดี เชื่อกันว่าฆาตกรในคราวนี้เป็นคนเดียวกับคราวก่อน ๆ
ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ชายผู้หนึ่งถูกพบเป็นศพบนรางรถไฟทางตอนเหนือของเมืองเท็กซาร์คานา โบวีเคาน์ตี รัฐเท็กซัส ซึ่งสื่อมวลชนบางสำนักว่าเป็นศพของ เอิร์ล แม็กสแป็ดเดน (อังกฤษ: Earl McSpadden) โดยรายงานว่าเอิร์ลคือฆาตกรที่ได้รับสมญาว่า "ภูตล่องหน" และเขาฆ่าตัวตายในวันนั้น อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพรายงานในวันถัดมาว่า เอิร์ลถูกอาวุธมีคมแทงจนตาย ก่อนศพของเขาจะถูกลากมาวางบนรางรถไฟ ทำให้เชื่อกันอีกว่าเอิร์ลก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายอีกรายหนึ่งในกรณีฆาตกรรมต่อเนื่องครั้งนี้

ผู้ต้องสงสัยรายใหญ่

ชายวัยยี่สิบเก้าปีนาม ยูเอล สวินนีย์ (อังกฤษ: Youell Swinney) ซึ่งเป็นขโมยรถ และมีประวัติเคยทำของปลอม โจรกรรม และทำร้ายร่างกาย ถูกจับกุมตัวในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) ที่เขตมหานครเท็กซาร์คานา พร้อมด้วยภรรยาของเขา ภรรยาของยูเอลแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าสามีของตนคือฆาตกรที่ได้รับสมญาว่า "ภูตล่องหน" และเธอก็ได้ร่วมก่อการพร้อมกับสามีทุกครั้งด้วย แต่ปากคำที่นางให้การเกี่ยวกับฆาตกรรมนั้นมีข้อพิรุธเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงเติมแต่งไปเรื่อย ๆ จนที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจลงความเห็นว่านางเป็นพยานที่รับฟังมิได้ ฝ่ายยูแอลนั้นถูกสอบปากคำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองเมืองเท็กซาร์คานา โบวีเคาน์ตี รัฐเท็กซัส แล้วยังถูกสอบอีกที่นครลิตเทิลรอก (อังกฤษ: Little Rock) รัฐอาร์คันซอ และในปีถัดมา เขาถูกศาลพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานขโมยรถยนต์และกระทำความผิดหลายกรรมหลายวาระ
กระทั่ง พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) ยูแอลขออุทธรณ์คดีของเขา โดยอ้างว่าเขาควรได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระเสีย เพราะในการพิจารณาคดีของเขาเมื่อ พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) นั้นไม่มีการจัดหาทนายความมาให้เขา ซึ่งศาลพิพากษาให้ปล่อยตัวเขาใน พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) เมื่อพิสูจน์พบว่าเขาไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา และยูแอลถึงแก่ชีวิตใน พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994)
นับว่ายูแอล สวินนีย์ เป็นผู้ต้องสงสัยรายใหญ่รายเดียวสำหรับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยฆาตกรล่องหน แต่คดีดังกล่าวก็ยังมิได้ข้อสรุปมาจนบัดนี้
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

ในหนังสือ "เคอร์รอเบอเรทิงเอวิเดินซ์" (อังกฤษ: Corroborating Evidence) เล่มสอง เขียนโดยวิลเลียม ที. ราสมูสเซน (อังกฤษ: William T. Rasmussen) และวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) ได้นำเสนอความคล้ายกันระหว่างกรณีของฆาตกรล่องหนในเขตมหานครเท็กซาร์คานา กับกรณีของนักฆ่าจักรราศีในรัฐแคลิฟอร์เนีย
ใน พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) บริษัทอแมริกันอินเทอร์แนเชินนัลพิกเชอส์ (อังกฤษ: American International Pictures) จัดสร้างภาพยนตร์เรื่อง "เดอะทาวน์แดตเดรดเดดซันดาวน์" (อังกฤษ: The Town That Dreaded Sundown) เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ฆาตกรรมครั้งนี้
เพลง "เท็กซาร์คานามูนไลต์" (อังกฤษ: Texarkana Moonlight) ของวงดนตรี "เดอะแบดดีเทกทีฟส์" (อังกฤษ: the Bad Detectives) มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ฆาตกรรมครั้งนี้

Credit: http://th.wikipedia.org


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2010-09-16 19:04:05

famecd123
#3
16-09-2010 - 19:11:36

#3 famecd123  [ 16-09-2010 - 19:11:36 ]




5 เหตุผลวิทยาศาสตร์ที่สามารถทำให้ซอมบี้เกิดขึ้นจริง

พูดถึงซอมบี้ คุณคิดถึงอะไร และอะไรที่ทำให้ซอมบี้เป็นสิ่งที่คนอื่นต่างหวาดกลัวๆ ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงแค่จินตนาการ
เรากลัวซอมบี้ก็เพราะสักวันสักวันหนึ่งถ้าเราเป็นซอมบี้สูญเสียอารมณ์ ความคิด และองค์ประกอบต่างๆของมนุษย์ หรือเรากลัวซอมบี้ที่พุ่งเข้ามาขย้ำคอหอยและกัดกินร่างเราอย่างเจ็บปวด หรือคนในครอบครัวเรากลายเป็นซอมบี้และเราจำเป็นต้องฆ่าเพื่ออยู่รอด หรือรัฐบาลใจร้ายใส่บึ้มระเบิดเมืองของเราจนพังทลายเพียงเพราะเราเป็นซอมบี้ ฯลฯ
แน่นอนในโลกแห่งความจริงเราก็นึกแต่ว่าซอมบี้เกิดจากเวทมนต์ของวูดู แต่ ถึงอย่างไรก็มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งๆ มาบอกว่า เอ้ยๆ ซอมบี้ที่อาการเหมือนคนติดยา ไม่มีสติ และทำอันตรายต่อผู้คนนะใช่เปล่า มีสิ มีเหตุผลที่ทำให้เราเป็นซอมบี้ได้นะ มีๆ สามารถอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ด้วยนะจะบอกให้
และนี้คือ 5 เส้นทางของมันที่ซอมบี้สามารถเกิดได้โดยวิทยาศาสตร์

อันดับ 5 ปรสิตสมอง(Brain Parasites)



http://www.oknation.net/blog/print.php?id=314035

ใครเคยดูการ์ตูนเรื่องปรสิตของอาจารย์นาโอกิ หรือไบโอ 4 อาจโอ้ๆ เยสนั้นแหละ
ความจริงเรื่องราวของปรสิตที่ซอนไซถึงสมองและสามารถควบคุมจิตใจ,บงการให้เรา ทำตามคำสั่งของมันได้นั้นมีอยู่จริง อีกทั้งไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือไกลตัวแต่อย่างใด มีให้เห็นใกล้ๆ ตัวมาแล้ว เช่น Sacculina Carcini เป็นหอยเพรียงตระกูลหนึ่งที่ตัวเมียสามารถเจาะกระดองปูแล้วเปลี่ยนให้ปูเป็น ซอมบี้และทำตามคำสั่งมัน โดยปูจะมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ปรสิตเพียงอย่างเดียวกิจวัตรเหลือแค่กินและ กินเพื่อป้อนอาหารทั้งหมดให้กับปรสิต หรือจะเป็นพยาธิชื่อ Dicrocoelium dendriticum ที่สามารถบงการมดงานได้ เป็นต้น

ส่วนปรสิตที่สามารถควบคุมสมองของคนนั้นก็มีและอยู่ใกล้ๆ ตัวเรานี้เอง เรียกว่า Toxoplasma Gondii มันเป็นปรสิตตัวเล็กๆ นี้สามารถบงการหนูได้ และมันจะบงการบังคับให้หนูให้แมวฆ่าเพื่อให้มันกระโดดข้ามไปอาศัยในลำไส้ของ แมวและแพร่พันธุ์ผ่านอุจจาระ นอกจากนี้มันสามารถบงการสัตว์อื่นๆ ได้ รวมถึงคน!! ใช่ มันบงการคนได้!
คนที่จะโดนปรสิตซอนไซสมองและควบคุมส่วนมากมักเป็นสตรีตั้งครรภ์หรือพวกที่มี ภูมิคุ้นกันโรคต่ำ และเมื่อเจ้าแมลงนี้ซอนไซสมองสุภาพสตรีจะติดเชื้อโดยผลคือทำให้เฉลียวฉลาด ขึ้น แต่อารมณ์จะแปรปรวนชอบแสดงออกทางความรักแนว Sexy naughty y แต่ผู้ชายนั้นตรงกันข้ามกันคือโง่ลง ขี้ระแวง ขี้หึง บ้า แต่ขณะเดียวกันก็ซื่อสัตย์มากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆ ตามมา เช่นซึมลง อ่อนแรงแขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่ง ปวดศีรษะ ชัก และหมดสติ คลื่นไส้(อาการเหมือนซอมบี้ไหมล่ะ)
อาจเป็นเรื่องขำๆ แต่จากสถิตพบว่าพลเมืองเกือบครึ่งโลกจากประเทศ 39 ประเทศถูกแมลงชนิดนี้ควบคุมแล้ว(ของไทยประมาณ 12%) ซึ่งผู้ชายติดมากที่สุดและแสดงอาการขี้หึงและอารมณ์ร้อนขึ้น(เช่นขับรถห่วย แตก, การศึกษาต่ำ, ป่าเถื่อน, จลาจล ฯลฯ)แล้วคุณคือหนึ่งในเหยื่อของมันหรือเปล่า?

อันดับ 4 พิษ (Neurotoxins)



(Neurotoxins เป็นพิษที่พบมากที่สุดในงูกลุ่มElapidae เช่นงูเห่า)
เคยมีการตรวจสอบส่วนผสมยาทำซอมบี้มาแล้ว ซึ่งน่าสนใจคือมันมีส่วนผสมของพิษค่อนข้างเยอะ ซึ่งพิษเหล่านี้ก็มี”Belladonna” (เป็นพืชมีพิษมีดอกสีแดงรูปร่างคล้ายระฆัง ) , “แอปเปิ้ลหนาม” (thorn apple), พิษงู พิษแมงมุมยักษ์ ฟูโกะ (ปลาปักเป้าญี่ปุ่น) และสารพิษที่มีอยู่ในสัตว์เลื้อยคลาน แมลงหลาย ๆ ขา เช่น ตะขาบ กิ้งกือ ซึ่งสารพวกนี้จะทำให้เกิดอาการหลอน ประสาทหยุดทำงาน ส่งผลให้ตายชั่วระยะเวลาหนึ่งถ้าใช้ปริมาณที่ถูกต้อง



แล้วคนตายแล้วฟื้นกลายเป็นทาสของหมอผีได้อย่างไร? ข้อนี้อธิบายได้ว่า เชื่อว่าคนตายยาพิษที่หมอผีให้กินนั้นจริงๆ แล้วไม่ตาย และคนตายจะนำมาฟื้นคืนชีพด้วยการนำรักษาด้วยยาถอนพิษ จากนั้นหมอผีจะให้กินยาอีกชนิดหนึ่ง เรียกกันว่า “แตงกวาซอมบี้” (zombie cucumbers) ซึ่งมีส่วนผสมของสารพวกโปรตีนอัลคาลอยด์ สารพวกนี้คนที่กินเข้าไปจะเกิดความจำเสื่อม และถ้าโดนเข้าไปมาก ๆ จะทำให้กลายเป็นคนไร้ความนึกคิด จดจำอะไรไม่ได้ เพราะเซลล์สมองและประสาทบางส่วนถูกทำลาย ..และนั่นหมายถึง ซอมบี้ ศพคืนชีพ ทาสผู้ซื่อสัตย์
เรื่องราวที่เห็นได้ว่าซอมบี้เกิดจากยาสั่งคือเรื่องของคลาอุส นารุคิส(Clairvius Narcisse) เขาเคย เสียชีวิตมาแล้ว ด้วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคไต ในโรงพยาบาลอัลเบอร์โต ชูไบร่า แห่งเฮติ บันทึกบอกไว้ว่าเขาเสียชีวิตลงเมื่อ 2 พฤษภาคม ใน1962 เวลา 1.45 น. และแพทย์สองคนได้ยืนยันแล้วว่าเขาตายจริงๆ……แต่แล้วในปี 18 ปีต่อมา ผู้คนในหมู่บ้านเวสเทเรบ้านเกิดของคลาอุส ต่างแตกตื่น เมื่อพบคลาอุส นารุคิส ออกมาเดินเพ่งพาน เขาเล่าว่าฟื้นขึ้นมาจากความตายและถูกนำตัวไปกระท่อม เพื่อใช้ทำงานร่วมกับซอมบี้ตัวอื่นทำไร่อ้อย และเมื่อความจำของเขากลับคืนมา จนจำได้ว่าเขาคือใคร เขาจึงเดินทางกลับบ้านเกิดและ มีการยืนยันว่าเขาคือคลาอุส นารุคิสจริงๆ

อันดับ 3 เชื้อโรคแห่งความโกรธเกรี้ยว (The Virus)



http://www.dld.go.th/inform/survei/bse2_1.html

เรื่องราวของไวรัสกลายประเด็นในหนังที่ชอบมาเล่นมากที่สุด เช่น หนังเรื่อง 28 Days Later ไวรัสที่ระบาดในมนุษย์จนกลายเป็นซอมบี้ที่เหมือนคนบ้าที่ไม่ได้รับการเยียว ยาจิตใจ มันจะที่ฆ่าคนไร้เหตุผลมันจะโจมตีคุณข้างหลัง กัดกินสมอง โอ้ ……….ดูๆ ไปก็เหมือนเชื้อบนโลกเรานี้แหละ
โรคที่ใกล้เคียงไม่สิเหมือนเลยก็ว่าได้กับไวรัสซอมบี้คือ โรควัวบ้า Bovine Spongiform Encephalopathy (BSE) เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับวัว เริ่มระบาดในประเทศอังกฤษเมื่อปี 1986 และสามารถเกินขึ้นในคนได้โดยเรียกโรคนี้อีกชื่อหนึ่งว่าสมองฝ่อ คนที่ติดโรคนี้มันคล้ายๆ ซอมบี้มาก คือ อาการจะเริ่มแรกจะเบื่ออาหาร ความจำเสื่อมเช่นจำชื่อญาติสนิทไม่ได้ จำเบอร์โทรไม่ได้ พฤติกรรมเปลี่ยนไปเช่นการเปลี่ยนแปลงท่าเดินเซไปเซมาแยกตัวออกจากสังคม มีอาการประสาทหลอน, เครียดโกรธง่าย, มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น(มือสั่น ทรงตัวไม่ได้ หกล้มบ่อย) และเมื่อปล่อยโรคนี้ไว้นานๆ เข้าผู้ป่วยจะ ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหว ตาบอด กล้ามเนื้ออ่อนแรง โคม่า และเสียชีวิตในหนึ่งปี



อีกโรคชนิดหนึ่งที่ใกล้เคียงกับไวรัสซอมบี้ก็คือ “โรคพิษสุนัขบ้า”ที่ทำให้สัตว์เลี้ยงของคุณบ้าคลั่งและหันมาทำร้ายคุณได้
แม้โรควัวบ้าจะหายาก(แม้บางทีไม่หายากตามที่เราคิด) ประมาณ 1/1000000 คน แต่มันก็ทำให้ประเทศยุโรปและอเมริกาคลั่งมาแล้ว ถึงขั้นไม่กินเนื้อวัวและฆ่าวัวตายไปหลายพันตัวเพียงเพราะเจอวัวตัวเดียวติด โรคชนิดนี้(เหมือนกรณีไข้หวัดไก่บ้านเรา) อีกทั้งยังเป็นโรคที่ผู้ก่อการร้ายนิยมมาใช้บ่อยๆ(ใส่ในจดหมายไง) ดังนั้นเราจะพูดเต็มปากเต็มคำหรือเปล่าละว่าคนธรรมดานั้นน่ากลัวกว่าซอมบี้ เสียอีก

อันดับ 2 การเกิดใหม่ของเซลล์ประสาท (Neurogenesis)



http://www.thaigoodview.com/node/773

การเกิดใหม่ของเซลล์ประสาท(Neurogenesis) เป็นกระบวนการที่เซลล์ต้นกำเนิดประสาทแบ่งตัว เจริญพัฒนา เดินทางไปยังบริเวณที่จำเพาะ และเกิดไซแนปส์กับวงจรประสาทเดิม และสามารถทำหน้าที่เซล์ประสาทที่สมบูรณ์ได้ มีปัจจัยหลายอย่างที่ควบคุมกระบวนการดังกล่าวทั้งในระดับยีน เซลล์ พฤติกรรม และสิ่งแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่
มันเริ่มมาจากเรื่องของไมค์ ไก่ไร้หัว (Mike the headless Chicken)มีอีกกรณีคือ มี ไก่ในต่างประเทศที่โดนตัดหัวขาดกระเด็น แต่ตัวมันกลับยังไม่ตายเพราะเลือดมันแห้งเร็วแถมอยู่ได้อีกหลายวัน….อัน เนื่องมาจากตอนขวานจามใส่หัวไก่นั้นขวานไม่ได้ตัดเส้นประสาทสำคัญของไก่ไป ด้วย แล้วเส้นประสาทเหล่านั้นก็ประสานขึ้นมาใหม่จนไก่มีชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้อง มีสมอง เพราะตัวของมันคือสมอง ซึ่งได้รับโปรแกรมให้หายใจ เคลื่อนไหวได้ตามปกติ(เพียงแต่มองไม่เห็นเฉยๆ) นอกจากนี้บางทีไร้หัวและมีชีวิตอยู่ได้นั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เหมือนในกรณีของ นักโทษโดนประหารโดยตัดคอขาด แต่เขายังมีชีวิตอยู่โดยเอามือมาจับที่หัวที่หายไปและคลำไปทาง ผนังเป็นลอยมือที่เปื้อนเลือด ไปได้อีกหลายเมตรก่อนที่จะตายลง….



เรื่องราวการคืนชีพคนที่ตายแล้วให้กับมีชีวิตนั้นยังเป็นเรื่องราวท้าทายของ มนุษย์ทุกยุคทุกสมัย นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์การวิจัยกู้ชีพซาฟาร์ แห่งมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก (Pittsburgh’s Safar Centre for Resuscitation Research) ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้นำแนวคิดนี้ไปพัฒนาวิจัยหลายๆ อย่าง เช่นการทดลองกับ “สุนัข” ที่เพิ่งตายไปในเวลาไม่นานมาชุปชีวิตใหม่อีกครั้ง โดยมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน เพียงแค่ทำให้อุณหภูมิในร่างกายของสุนัขเหลือแค่เพียง 7 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของร่างกายให้อยู่ในสภาพดีที่สุด ก่อนเริ่มแทนที่เลือดด้วยน้ำเกลือ เมื่อเสร็จสิ้นตามขั้นตอนดังกล่าวแล้ว ก็จะมีการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าเพื่อให้หัวใจกลับมาทำงานได้เป็นปกติอีก ครั้ง ผลออกมาคือเราจะได้สุนัขที่ฟื้นคืนชีพจากความตายอีกครั้ง และสภาพมันปกติทุกประการ
โดยสุนัขเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า “หมาซอมบี้” โดยเชื่อว่าภายใน 10 ปีข้างหน้าเทคโนโลยีนี้นำมาใช้จริง โดยเฉพาะอย่างในสมรภูมิรบ!!

อันดับ 1 นาโนบอดี้(Nanobots)



http://nanotech.sc.mahidol.ac.th/nano/nanotech1.htm

นาโนบอดี้ เป็นหุ่นยนต์ขนาดเล็กจิ๋วสุดๆๆ ที่นักวิทยาศาสตร์สร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่หลายอย่างตั้งแต่การช่วย สังเคราะห์โปรตีนด้วยกันเอง ควบคุมให้ปฏิกริยาต่างๆ เกิดขึ้นได้ เช่นการเผาผลาญอาหาร การกำจัดสิ่งแปลกปลอม เป็นต้น ควบคุมการเข้าออกของสารเคมีต่างๆ ผ่านเซลล์ ไปจนถึงการทำหน้าที่เป็นโครงสร้างให้กับอวัยวะ หรือทำให้สัตว์เคลื่อนไหวได้ ฯลฯ
นอกจากนาโนบอดี้ มันมีคุณสมบัติเหลือเชื่ออีก คือมันสามารถวิวัฒนาการไปจนมีความฉลาดพอๆ กับมนุษย์ได้,ความสามารถในการประกอบตัวเอง และมันยังสามารถขยายพันธ์ได้ด้วย (Self Replication)
แม้นาโนบอดี้จะเป็นของใหม่ แต่ตามที่ศึกษา ภายในระยะเวลา 10 ปี เราอาจมีนาโนบอดี้ที่สามารถเลื้อยไปในร่างกายของคุณทันทีโดยไม่ต้องพึ่งหมอ อีกต่อไป

แต่รู้ไหมว่าเราลืมอะไรไปอย่าง?
นาโนบอดี้ อาจจะนำไปสู่หายนะที่คาดไม่ถึง ถ้าสมมุตินาโนบอดีที่ว่าเกิดทำสำเร็จ จนมันสามารถอยู่อาศัยบนร่างเราเรียบร้อย และมันมีความฉลาดพอๆ กับมนุษย์ และถ้าเกิดเราตายลงแต่เจ้าเทคโนโลยีบอดียังโปรแกรมทำงานอยู่โดยไม่ได้ตาย พร้อมกับเราละอะไรจะเกิดขึ้น? แม้สมองของเราจะตายแล้วเจ้านาโนนี้ก็จะทำงานและมันจะทำการสร้างรูปแบบระบบ ประสาท ขึ้นมาใหม่ บังคับกล้ามเนื้อในร่างกายของเรา แม้ร่างกายจะผุเน่าและสมองตายแล้ว แต่ซอมบี้ที่นาโนบอดีบงการอยู่ก็ยังสามารถแคลื่อนไหวได้ตามที่มันนึก
และเมื่อนาโนนี้ถูกโปรกรรมการเพิ่มจำนวนตัวเอง (self-replicate) มันจึงต้องการเพิ่มจำนวนและหาร่างใหม่ดังนั้นมันเลยบงการร่างนั้น กัดเหยื่อที่แข็งแรง เพื่อให้นาโนบอดี้ เข้าไปติดตั้งในสมองเจ้าของบ้านใหม่ของมัน และมันสามารถปิดการทำงานของสมองเหยื่อรายใหม่ได้ และเมื่อสมองหยุดทำงานมันก็เปลี่ยนระบบประสาทใหม่ ที่นี้เราก็จะได้สมาชิกใหม่ในกองทัพไม่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีวันตายได้แล้ว
ตอนนี้เราคงตอบไม่ได้ว่าท้ายสุดแล้วเทคโนโลยีนาโนจะเป็นความหวังหรือหายนะ ครั้งใหม่ของมนุษย์โลก ที่มีอันตรายร้ายแรงพอๆ กับน้ำท่วมโลกหรือดาวเคราะห์น้อยตกใส่โลกหรือเปล่า ดังนั้นเรายังไม่ต้องตกใจกลัวในตอนนี้ เพราะยังต้องพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ต่อไปเพื่อหาคำตอบข้างหน้าว่าเราจะใช้ มันยังไงให้ประโยชน์สูงสุดต่อมนุษยชาติในวันข้างหน้า

Credit: http://ee.paitokpla.com/?p=214


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2010-09-16 19:19:26

TKT123
#4
16-09-2010 - 19:17:13

#4 TKT123  [ 16-09-2010 - 19:17:13 ]




แจ๊ค เดอะริปเปอร์ มันตั้งนานแล้วไม่หรอ

คดีเก่าอีกด้วย แล้ว เขาก็รู้แล้วว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์คือใคร เราจำชื่อไม่ได้นะ แต่ที่รู้ ๆ แจ๊คเดอะริปเปอร์ทำอาชีพสัปประเสอดโรคจิต

แล้วแจ๊คเดอะริปเปอร์กไม่ได้ชื่อแจ๊คเดอะริปเปอร์นะ ตำรวจแค่ตั้งฉายา (รู้แค่นี้แหละ)

ไม่เป็นไรไม่ได้ว่าอะไรน๊า


+1 เป็นกำลังใจแล้วกันเน๊อะ


famecd123
#5
16-09-2010 - 19:21:32

#5 famecd123  [ 16-09-2010 - 19:21:32 ]




quote : TKT123
แจ๊ค เดอะริปเปอร์ มันตั้งนานแล้วไม่หรอ

คดีเก่าอีกด้วย แล้ว เขาก็รู้แล้วว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์คือใคร เราจำชื่อไม่ได้นะ แต่ที่รู้ ๆ แจ๊คเดอะริปเปอร์ทำอาชีพสัปประเสอดโรคจิต

แล้วแจ๊คเดอะริปเปอร์กไม่ได้ชื่อแจ๊คเดอะริปเปอร์นะ ตำรวจแค่ตั้งฉายา (รู้แค่นี้แหละ)

ไม่เป็นไรไม่ได้ว่าอะไรน๊า


+1 เป็นกำลังใจแล้วกันเน๊อะ


ครับ ขอบคุณมากครับ


famecd123
#6
16-09-2010 - 19:28:51

#6 famecd123  [ 16-09-2010 - 19:28:51 ]




กระบวนการสร้างซอมบี้ในอาณาจักรสัตว์


ซอมบี้...ชื่อนี้คงทำให้ใครหลายๆคนนึกถึงคนผีดิบที่เดินไปมาเรื่อยเฉื่อยไร้จิตใจ ทว่าทันทีที่เห็นมนุษย์ไม่ติดเชื้อ พวกมันจะร้องระงมอย่างบ้าคลั่งแล้วพุ่งเข้ามาด้วยหวังจะฉีกเนื้อกินสดๆ !!
ถึงจะรอดจากเงื้อมมือมันมาได้ก็จงสำรวจเนื้อตัวดีๆเพราะแผลกัดข่วนเล็กน้อยก็เพียงพอให้ยีนส์ซอมบี้เข้าสู่ร่างและสาปคนโชคร้ายผู้นั้นให้กลายเป็นหนึ่งในพวกมันในไม่ช้า

ตำนานซอมบี้มีอยู่ในหลายวัฒนธรรม สาเหตุส่วนหนึ่งคงมาจากความกลัวส่วนลึกว่าสักวันสังคมอาจทำให้เราสูญเสียอารมณ์ ความคิด และองค์ประกอบต่างๆของมนุษย์ แล้วกลายเป็นข้าทาสไร้จิตใจที่ได้แต่ปฏิบัติตามคำสั่ง แม้ยิ้มหรือหัวเราะก็เป็นเพียงภาพสะท้อนที่บิดเบี้ยวเหมือนหุ่นเชิด (แต่ไม่สังหาร :p)

นับว่าเคราะห์ดีสำหรับมนุษย์ที่ผีดิบมีอยู่แค่ใน 28 days later, Dawn of the dead และ Biohazard เท่านั้น...

แต่สำหรับสัตว์อื่นๆแล้ว ซอมบี้นั้นไม่ใช่เพียงจินตนาการหรือฝันร้าย หากแต่เป็นความจริงที่น่าหวาดหวั่นในการเอาชีวิตรอด เพราะ Parasite หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าปรสิตหลายชนิด มีความสามารถเปลี่ยนโฮสต์ให้กลายเป็นผีดิบได้จริงๆ!

เชิญมาชมเชื้อพันธุ์สัตว์ซอมบี้กันได้เลยหากท่านกล้าพอ หึๆ

Sacculina Carcini เป็นหอยเพรียงตระกูลหนึ่ง ตามปกติเพรียงจะมีวงจรชีวิตสองช่วงคือเป็นตัวอ่อนว่ายน้ำได้นานสักสามสี่อาทิตย์ ก่อนจะหาพื้นผิวเกาะแบบถาวรตลอดชีวิตอย่างที่เราเห็นอยู่ข้างเรือประมงแถวภูเก็ตหรือระยอง


SRC ตัวอ่อน Sacculina

แต่แทนที่ Sacculina จะหาท่อนไม้เกาะ ตัวเมียจะว่ายน้ำไปเรื่อยจนเจอะกับโฮสต์ซึ่งในกรณีนี้คือปูตัวผู้ (เจาะจงด้วยว่าตัวผู้) เมื่อ Sacculina เกาะเหยื่อได้มันจะกระดืบบนแผ่นกระดองของปูจนถึงส่วนข้อต่อเกราะกับเนื้อซึ่งอาจเป็นขาหรือตามลำตัว ระหว่างนี้ปูโชคร้ายก็พยายามปัดตัวอ่อนปรสิตออกอย่างบ้าคลั่งแต่ก็ยากสำเร็จ ไม่ต่างจากอัศวินยุคกลางพยายามไล่ฝูงมดบนหลังนั่นแล

พอเจ้า Sacculina ตัวเมียหาจุดเหมาะเจาะได้ มันจะเจาะรูตรงเนื้อแล้วแทรกเข้าไปในตัวปู ไชลึกเข้าไปๆจนถึงส่วนท้อง

ไม่ใช่เพื่อกิน...แต่เป็นจุดเริ่มต้นการยึดครองร่าง

Sacculina จะเริ่มเติบโตจนท้องปูตัวผู้บวมเป่งเหมือนกำลังตั้งไข่ ขณะเดียวกันเพรียงร้ายจะแพร่เส้นใยคล้ายด้ายไปทั่วร่างเหยื่อเพื่อดูดซับอาหารผ่านเลือด (เส้นนี่พันกระทั่งรอบก้านตาเชียวนา บรื๋อ) และปล่อยสารเปลี่ยนปูเป็นซอมบี้อย่างช้าๆ


ส่วนนูนๆตรงท้องนั่นแหละ Sacculina


อันนี้เป็นภาพวาดเน้นเส้นด้ายที่เพรียงร้อยรอบตัวปู

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการสร้างผีดิบแล้ว ปูจะมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ปรสิตเพียงอย่างเดียว มันจะเลิกสนใจผสมพันธุ์กับเพศตรงข้าม กิจวัตรเหลือแค่กินและกินเพื่อป้อนอาหารทั้งหมดให้กับปรสิตจนถึงขนาดว่ามันไม่สามารถเติบโต ลอกคราบ หรือสร้างก้ามใหม่ได้หากถูกตัดเหมือนปูทั่วไป ที่ใหญ่ขึ้นอย่างเดียวคือส่วนท้องปูซึ่งถูกขยายให้พอสำหรับเลี้ยงตัวอ่อน Sacculina ได้

หลังจาก Sacuulina ตัวผู้ลอยน้ำมาผสมกับปรสิตในร่างแล้ว พฤติกรรมของปู (แต่เดิมเพศผู้) จะเปลี่ยนเป็นเพศเมียโดยสิ้นเชิง มันจะช่วยปกป้องดูแลไข่ของปรสิตซึ่งฟักอยู่ใต้ท้องโดยใช้ก้ามขัดสาหร่ายหรือราที่มาเกาะไม่ต่างกับแม่ปูดูแลลูก พอตัวอ่อน Sacculina ฟัก ปูผีดิบก็จะใช้ก้ามช่วยพุ้ยน้ำส่งให้ปรสิตน้อยๆลอยไปแพร่เชื้อซอมบี้ให้เพื่อนร่วมพันธุ์ปูตัวอื่นๆอีกด้วย

เรียกได้ว่าเข้ายึดร่างแล้วก็เปลี่ยนทั้งร่างกายและของจิตใจโฮสต์ให้กลายเป็นพาหะฟักไข่ไปเลย ฟังดูแล้วก็สยองคล้ายๆกับหนังซอมบี้ทั่วไป แต่ธรรมชาติยังมีเซอไพรซ์ที่น่ากลัวกว่านั้นรออยู่อีก

พยาธิชื่อ Dicrocoelium dendriticum อาศัยอยู่ในสัตว์กินหญ้าอย่างวัว พวกมันมีวิธีสืบพันธุ์ตามประสาพยาธิคือออกไข่ปะปนมากับของเสีย


ปัญหาต่อไปคือจะแพร่พันธุ์ยังไง ในเมื่อวัวเขาไม่กินอุจจาระตัวเอง?

คำตอบคือรอให้หอยทากมากินขี้วัวพร้อมไข่ของมันเข้าไป จากนั้นค่อยฟักตัวในท้องหอยทาก จนหอยทากเกิดความรำคาญและถ่ม Dicrocoelium ออกมาเป็นก้อนเมือกขนาดเล็ก

เจ้าหอยทากรอดตัว แต่นั่นเพราะพยาธิพันธุ์นี้วิวัฒนาการมาเพื่อสร้างสัตว์อีกชนิดให้เป็นซอมบี้ต่างหาก

นั่นคือมดงานที่กำลังเดินหาอาหาร มันจะกลืนก้อนเมือกเข้าไปโดยคิดว่าเป็นเหยื่อ
เท่านั้นแหละ Dicrocoelium ก็ตื่นตัวและไล่ไชไปถึงส่วนหัวและเข้าควบคุมเส้นประสาทโดยเฉพาะส่วนเขี้ยวมด (ที่กัดเราแล้วเจ็บแปลบๆนั่นแลน้อ) พอตกเย็นแทนที่จะกลับรัง มดซอมบี้จะถูกปรสิตสั่งให้โต๋เต๋ออกนอกเส้นทางไปยังกอหญ้าที่ใกล้ที่สุด ใช้ขาทั้งหกปีนป่ายขึ้นสู่ยอดใบแล้วใช้เขี้ยวกัดคาไว้อย่างนั้น นิ่งคอยเหมือนผีดิบให้วัวหรือสัตว์ผ่านมากลืนเข้าไป

ถึงเช้าหากยังไม่มีใครมากลืนลงคอ เจ้าปรสิตจะปล่อยมดให้คลายเขี้ยวแล้วทำงานตามปกติเหมือนเพื่อนร่วมรังตัวอื่นๆ

พออาทิตย์ลับฟ้า มันก็จะคุมมดให้ไปรอบนยอดใบหญ้าอีกรอบ!

เหมือนล้างสมองให้กลายเป็นซอมบี้พลีชีพไม่มีผิดเลย =_='

สยึมกึ๋ยพอหรือยังเอ่ย?
เรามาทิ้งท้ายด้วยนักสร้างซอมบี้อีกสักตัวดีกว่าเนาะท่านผู้อ่าน

ในป่าคอสตาริก้ามีตัวต่ออยู่ชนิดหนึ่งในตระกูล Ichneumonoidea ซึ่งพูดถึงไปแล้วในตอนก่อน แต่เจ้านี่แยบยลกว่า เพราะไม่ใช่แค่ฝังไข่ในตัวเหยื่อเท่านั้น มันถึงกับสร้างซอมบี้มาดูแลลูกเลยทีเดียว!


ดูรูปนี้แล้วรู้ไหมว่าสัตว์ที่มันเลือกทำเป็นผีดิบคือตัวอะไรเอ่ย?

ต่อพันธุ์นี้จะเลือกแมงมุมโชคร้าย เพื่อปรี่เข้าฉีดยาชาตามด้วยการพ่นไข่เข้าร่าง จากนั้นตัวอ่อนจะฟักแล้วค่อยๆกัดกินแมงมุมอย่างทรมานจากภายใน โดยเริ่มจากส่วนไม่สำคัญก่อน

การยึดครองร่าง...จะเริ่มในคืนสุดท้าย

เมื่อตัวอ่อนต่อพร้อมเข้ารังไหมแล้ว มันจะควบคุมให้เหยื่อผู้ถึงฆาตชักใยครั้งสุดท้ายเป็นรูปทรงที่ตัวแมงมุมเองยังไม่เคยสร้างมาก่อนในชีวิต


แทนที่จะเป็นใยแบนๆอย่างที่เราเห็นในภาพบนสุด แมงมุมซอมบี้จะสร้างใยเป็นรูปฐานเหมาะกับการรับน้ำหนักของรังไหม (ตามรูป) เมื่อเรียบร้อยแล้วตัวอ่อนต่อก็ฆ่าโฮสต์ผู้มีพระคุณทิ้งร่างหมดประโยชน์ของผีดิบร่วงลงแห้งตายกับพื้น ตัวมันเองก็คลานไปฟักตัวตรงกลางใย รอเติบใหญ่มาสร้างความสยดสยองอีกครั้ง

ต่อสายพันธุ์ Ichneumonoidea ยังมีวิธีสร้างผีดิบอีกมาก บางชนิดตัวอ่อนสามารถควบคุมหนอนบุ้งให้ดิ้นเร่าๆทุกครั้งเพื่อไล่อันตราย หรือตัวเต็มวัยของบางสายพันธุ์ถึงขั้นฝังเข็มเข้าไปในหัวแมลงสาบแล้วควบคุมไปให้ลูกกินถึงรังก็ยังได้

ถ้ามีใครเอาไปเขียนนิยายวิทยาศาสตร์คงน่ากลัวพิลึก...ว่าแล้วก็เก็บไว้เขียนเองดีกว่า อิอิ

เราอาจปิดท้ายเรื่องผู้สร้างซอมบี้ในอาณาจักรสัตว์ด้วยความรู้สึกโล่งอกว่า ไม่มีเพรียง พยาธิหรือต่อพันธุ์ใดสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์ให้เป็นผีดิบได้ในลักษณะนี้

...แต่...

ถ้าเรามองว่าโลกธรรมชาติ คือการเริงระบำระหว่างรหัสพันธุกรรมของเหยื่อกับผู้ล่า,โฮสต์กับปรสิตแล้ว มนุษย์ซึ่งถูกต่อยอดจากระดับชีวะไปอีกขั้น ด้วยการถ่ายทอดอารยธรรมก็มีรหัสพันธุกรรมทางสังคม หรือมีมส์ที่เป็นปรสิตอยู่ และมันสามารถใช้มนุษย์เป็นพาหะฟักตัวหรือควบคุมสมองเราไปสู่ความตายเหมือนกัน..หากไม่ระวัง

ครั้งต่อไปเมื่อหัวเราะ ยิ้ม โกรธ ก็ลองสำรวจตัวเองเสียหน่อยว่ามีมส์ตัวไหนกำลังควบคุมเราให้ทำเช่นนั้นและโฉมหน้าแท้จริงของมันคืออะไร?

อย่าเผลอไปรับเชื้อซอมบี้มาล่ะเน้อ หึๆ
Credit: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=314035


famecd123
#7
16-09-2010 - 19:34:27

#7 famecd123  [ 16-09-2010 - 19:34:27 ]




ฆาตกรโซดิแอค
สมญา: ฆาตกรจักรราศี
การก่อการ
เสียหาย: เสียชีวิต 5 คน
บาดเจ็บ 2 คน
อีก 37 คน ที่มีการสันนิษฐานว่าถูกฆาตกรรมโดยโซดิแอค
เริ่มก่อการ: ค.ศ. 1968 (สันนิษฐานว่าเริ่มก่อเหตุตั้งแต่ ค.ศ. 1963)
เลิกก่อการ: ค.ศ. 1969 (สันนิษฐานว่าสิ้นสุดการก่อเหตุเมื่อ ค.ศ. 1972)
ที่เกิดเหตุ: สหรัฐอเมริกา (รัฐแคลิฟอร์เนีย สันนิษฐานว่าอาจรวมถึงเขตรัฐเนวาดา)
ถูกจับ: ไม่เคยถูกจับมาดำเนินคดี

ฆาตกรจักรราศี (อังกฤษ: Zodiac Killer) คือฆาตกรต่อเนื่องซึ่งก่อเหตุในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 ในแถบพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งทางการไม่สามรถระบุถึงตัวตนที่แท้จริงและแรงจูงใจของเขาได้มาจนถึงปัจจุบัน นามว่า "โซดิแอค" ถูกประดิษฐ์ขึ้นใช้โดยตัวเขาเอง เขาแทนตัวเองด้วยชื่อนี้ในในทุกจดหมายที่เขาส่งถึงกรมตำรวจซานฟรานซิสโก และถูกออกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ทำให้ประชาชนทั่วไปรู้จักเขาในนาม "โซดิแอค" ซึ่งในจดหมายประกอบด้วยรหัสลับสี่ชุด สามในสี่ชุดนี้ยังไม่มีบุคคลได้สามารถถอดได้จนถึงปัจจุบัน
โซดิแอคทำการฆาตกรรมเหยื่อในท้องที่ วัลเลโฮ, ทะเลสาบเบอรีเอสซ่าและซานฟรานซิสโก ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1968 - ตุลาคม ค.ศ. 1969 โดยเป็นชาย 4 คน หญิง 3 คน ทั้งหมดอายุระหว่าง 16 - 29 ปี และได้รับการยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเหยื่อของโซดิแอคจริง ซึ่งจำนวนของเหยื่อที่นอกเหนือจาก 7 คนนี้ ถูกระบุเพิ่มเติมเข้าไปจากการสืบสวนที่ค้นพบความเชื่อมโยงของรูปแบบและลักษณะของเหยื่อที่ตรงกับ 7 คนก่อนหน้านี้ แต่ไม่มีหลักฐานใดที่แน่ชัดพอจะพิสูจน์ถึงความเชื่อมโยงของเหยื่อที่เหลือได้
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2004 คดีซึ่งทำโดยกรมตำรวจซานฟรานซิสโกก็ได้หมดอายุความลง แต่ได้ถูกรื้อคดีขึ้นมาใหม่ในช่วงก่อนเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007 คดียังคงเปิดอยู่ในท้องที่ของวัลเลโฮเคาท์ตี, นาปาเคาท์ตีและในโซลาโนเคาท์ตี ปัจจุบันศาลยุติธรรมแห่งแคลิฟอร์เนีย ยังคงเก็บรักษาเอกสารเกี่ยวกับเหยื่อของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้

ภาพสเกตช์ของโซดิแอค

เหยื่อที่ได้รับการยืนยัน
แม้โซดิแอคจะอ้างในจดหมายที่ส่งไปยังสำนักหนังสือพิมพ์ว่าเขาได้ทำการฆาตกรรมเหยื่อทั้งหมด 37 คน แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันเหยื่อเพียง 7 คนเท่านั้น ชาย 2 คนในรายชื่อนี้รอดชีวิต เหยื่อที่ได้รับการยืนยันทั้งหมดได้แก่
เดวิด อาร์เธอร์ ฟาราเดย์ อายุ 17 ปี กับ เบตตี ลู เจนเซน อายุ 16 ปี - ถูกยิงและเสียชีวิตในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1968 บนถนนเลคเฮอร์แมนในเขตเมืองเบนิเซีย
ไมเคิล เรนัลต์ แมกกู อายุ 19 ปี กับ ดาร์ลีน เอลิซาเบท เฟอร์ริน อายุ 22 ปี - ถูกยิงด้วยปืนในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1969 ในลานจอดรถของสนามกอล์ฟบลูรอคสปริงส์นอกเมืองวัลเลโฮ ดาร์ลีนเสียชีวิตขณะถูกนำส่งโรงพยาบาลไกเซอร์ฟาวน์เดชั่น ขณะที่ไมเคิลรอดชีวิต
ไบรอัน แคลวิน ฮาร์ทเนล อายุ 20 ปี กับ เซซีเลีย แอนน์ เชพเพิร์ด อายุ 22 ปี - ถูกแทงหลายครั้งในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1969 ที่ทะเลสาบเบอรีเอสซา, นาปาเคาท์ตี ไบรอันรอดชีวิตจากแผลถูกแทงบนแผ่นหลัง 6 จุด แต่เซซีเลียเสียชีวิต 2 วันต่อมา เนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหว
พอล ลี สไตน์ อายุ 29 ปี - ถูกยิงและเสียชีวิตในวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1969 ที่เพรสซิดิโอไฮท์ในเขตเมืองซานฟรานซิสโก
[แก้]เหยื่อที่ไม่ได้รับการยืนยัน
จากผู้เสียชีวิตในเหตุฆาตกรรมที่ได้รับการสงสัยว่าอาจเชื่อมโยงถึงโซดิแอค ไม่มีผู้ใดในรายชื่อนี้ที่ได้รับการยืนยัน
เชอร์รี โจ เบทส์ อายุ 18 ปี - ถูกแทงหลายจุดจนเสียชีวิตและเกือบถูกตัดศีรษะในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1966 ที่วิทยาลัยสังคมริเวอร์ไซด์ ริเวอร์ไซด์เคาท์ตี, รัฐแคลิฟอร์เนีย เชอร์รีถูกสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับคดีของโซดิแอค และถูกเปิดเผย 4 ปีหลังจากที่โซดิแอคเริ่มก่อเหตุ โดยนักหนังสือพิมพ์ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ พอล เอเวอร์รี่ ซึ่งเขาค้นพบความเหมือนถึงลักษณะการถูกทำร้ายและสภาวะแวดล้อม ณ จุดที่เชอร์รีถูกฆาตกรรม
โรเบิร์ต โดมิโกส์ อายุ 18 ปี กับ ลินดา เอ็ดเวิร์ด อายุ 17 ปี - ถูกยิงและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1963 ณ ชายหาดใกล้ ๆ เมืองลอมพอค, รัฐแคลิฟอร์เนีย ลินดาและโรเบิร์ตถูกเพิ่มเข้าไปในรายชื่อเหยื่อเนื่องจากความเหมือน โดยเฉพาะลักษณะการถูกฆาตกรรมของทั่งคู่ ที่คล้ายคลึงกับการถูกฆาตกรรมที่ทะเลสาบเบอรีเอสซา ใน 6 ปีต่อมา
แคธลีน จอห์นส์ อายุ 22 ปี - อ้างว่าถูกลักพาตัวเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1970 บนทางหลวงหมายเลข 132 หลักไมล์ที่ 580 ทางตะวันตกของโมเดสโต เธอเล่าว่าเธอหนีออกมาจากรถที่เธอนั่งมาด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้รถของเธอเสีย และมีชายแปลกหน้าชักชวนว่าจะไปส่งเธอ เธอตอบตกลงและนำลูกสาวแบเบาะของเธอไปด้วย จนเมื่อชายผู้นั้นบอกว่าจะฆ่าเธอและลูกของเธอ เธอจึงหนีลงมาจากรถขณะที่ชายแปลกหน้าเผลอ บริเวณระหว่างเมืองสตอคตันกับเมืองแพทเทอสัน
ดอนนา ลาส อายุ 25 ปี - พบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1970 ในเมืองสเตทไลน์, รัฐเนวาดา โปสการ์ดที่ถูกส่งมาจากฟอร์เรส ไฟน์ คอนโดมิเนียม ใกล้กับทะเลสาบทาโฮ ส่งมาถึงสำนักหนังสือพิมพ์ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ อ้างว่าการหายตัวไปของดอนนา ลาส เกี่ยวข้องกับโซดิแอค แต่ไม่มีหลักฐานใดที่เกี่ยวพันโดยตรงกับการหายตัวไปของดอนนา ลาสและโซดิแอค
[แก้]เส้นเวลา

[แก้]ถนนเลคเฮอร์แมน
คุณลักษณะของเหยื่อรายแรกของโซดิแอคกลับกลายเป็นเด็กวัยรุ่นไฮสคูล เดวิด อาร์เธอร์ ฟาราเดย์ อายุ 17 ปี และ เบตตี ลู เจนเซน อายุ 16 ปี 20 ธันวาคม ค.ศ. 1968 บนถนนเลคเฮอร์แมนในเขตเมืองเบนิเซีย ทั้งคู่อยู่ในระหว่างการเดทครั้งแรก และมีแผนที่จะไปคอนเสิร์ตวันคริสต์มาสที่โฮแกนไฮ ประมาณ 2 หรือ 3 ช่วงตึกจากบ้านของเบตตี แทนที่ทั้งคู่จะแวะบ้านเพื่อนและแวะทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารท้องถิ่น เดวิดกลับบึ่งรถไปตามถนนเลคเฮอร์แมน ณ เวลาประมาณ 22.15 น. เดวิดหยุดรถยี่ห้อแรมเบลอร์ซึ่งเป็นของแม่ และจอดบริเวณไหล่ทาง บริเวณนั้นเองรู้จักทั่วไปกันในหมู่วัยรุ่นว่าเป็น "ไหล่ทางของคู่รัก" ไม่นานหลังจากล่วงเลยเวลา 23.00 น. รถยนต์อีกคันจอดข้าง ๆ รถของทั้งคู่ ก่อนที่คนขับจะลงมาจากรถพร้อมปืนพกและออกคำสั่งให้ทั้งคู่ออกมาจากรถแรมเบลอร์ เบตตีเป็นคนแรกที่ก้าวออกจากรถ ในขณะที่เดวิดกำลังก้าวออกจากรถได้ครึ่งทาง ชายแปลกหน้ายิ่งปืนเข้าที่หัวของเขา ด้วยความตื่นตระหนกเบตตีวิ่งหนีสุดชีวิต เธอถูกยิงที่หลัง 5 นัด จนล้มลงกับพื้นห่างจากตัวรถ 28 ฟุต สักพักชายแปลกหน้าจึงขับรถออกไป ศพทั้งสองถูกพบไม่กี่นาทีหลังจากเกิดเหตุโดยสเตลลา บอร์จส์ ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ละแวกนั้น สำนักงานนายอำเภอของโซลาโนเคาท์ตีรับผิดชอบสืบสวนเหตุฆาตกรรมนี้ แต่ไม่มีความคืบหน้าของการสืบสวนเลย
[แก้]บลูรอคสปริงส์
ช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนตรงของวันที่ 4 กรกฎาคม ย่างเข้าวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1969 ไมเคิล เรนัลต์ แมกกู อายุ 19 ปี และ ดาร์ลีน เอลิซาเบท เฟอร์ริน อายุ 22 ปี ขับรถออกไปกลางดึกไปยังสนามกอล์ฟบลูรอคสปริงส์, วัลเลโฮเคาท์ตี ที่ซึ่งห่างออกไปราว 1 ไมล์จากสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมบนถนนเลคเฮอร์แมน ไมเคิลจอดรถ ขณะที่ทั้งสองอยู่บนรถของดาร์ลีน รถยนต์อีกคันขับเข้ามาและจอดข้าง ๆ ทั้งคู่ แต่รถยนต์คันดังกล่าวขับออกไปแทบจะทันทีที่จอด ก่อนจะกลับมาในอีกประมาณ 10 นาทีต่อมาและจอดข้างหลังทั้งคู่ ทันทีที่รถคันดังกล่าวจอดสนิท คนขับก้าวลงจากรถและตรงดิ่งสู่ประตูข้างคนขับของรถที่ซึ่งไมเคิลและดาร์ลีนนั่งอยู่ มือข้างหนึ่งของชายแปลกหน้าถือไฟฉายขณะที่อีกข้างถือปืนพกลูเจอร์ขนาด 9 มิลลิเมตร เขาส่องไฟฉายเข้าตาของทั้งสองเพื่อทำให้มองไม่เห็น ก่อนจะยิงทั้งคู่คนละ 3 ครั้ง จากนั้นเขาจึงเริ่มเดินกลับไปยังรถของตน ทันทีที่เสียงร้องคร่ำครวญจากความเจ็บปวดของไมเคิลดังขึ้น เขาจึงเดินกลับมาที่รถและยิงทั้งคู่ซ้ำอีกคนละ 2 ครั้ง และขับรถจากไป
เวลา 12.40 น. ของวันต่อมา มีผู้ชายคนหนึ่งโทรศัพท์มายังสถานีตำรวจวัลเลโฮ รายงานและอ้างความรับผิดชอบการกระทำดังกล่าว เขายังกล่าวอ้างความรับผิดชอบต่อคดีของเดวิด อาร์เธอร์ ฟาราเดย์ และ เบตตี ลู เจนเซน เหตุฆาตกรรมซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ 6 เดือนครึ่ง ตำรวจแกะรอยโทรศัพท์จนพบว่าชายคนดังกล่าวโทรมาจากตู้โทรศัพท์ในสถานีน้ำมันบนถนนสปริงส์ ตู้ดังกล่าวมีระยะห่างสามส่วนสิบไมล์จากบ้านของดาร์ลีน และห่างจากสถานีตำรวจวัลเลโฮเพียงไม่กี่ช่วงตึก ดาร์ลีนเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ขณะที่ไมเคิลรอดชีวิตแม้จะถูกยิงที่ใบหน้า, คอและหน้าอก
[แก้]จดหมายถ้อยแถลงฉบับแรก


ถ้อยคำจากการถอดชุดรหัสลับของโซดิแอคที่ส่งมาพร้อมกับจดหมาย ขณะที่ 18 ตัวอักษรสุดท้ายยังไม่มีผู้ใดแปลออก
1 สิงหาคม ค.ศ. 1969 จดหมายสามฉบับที่ถูกจัดเตรียมไว้โดยฆาตกร แต่ละฉบับถูกส่งไปยังสำนักหนังสือพิมพ์ 3 แห่ง ได้แก่ วัลเลโฮไทม์เฮรัลด์, ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์และซานฟรานซิสโกเอ็กแซมิเนอร์ ลายลักษณ์อักษรที่แทบจะเหมือนกันของทั้งสามฉบับให้ใจความถึงการกล่าวอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุฆาตกรรมที่ถนนเลคเฮอร์แมนและที่บลูรอคสปริงส์ ในแต่ละฉบับยังแนบชุดรหัสลับ 3 ชุด โดยใช้ 408 สัญลักษณ์ ที่ซึ่งฆาตกรอ้างถึงความเป็นลักษณะเฉพาะของรหัสลับที่เขาประดิษฐ์ขึ้น เขายังข่มขู่ให้สำนักหนังสือพิมพ์ทั้งสามตีพิมพ์เนื้อความจากจดหมายของเขาลงบนหน้าหนึ่งของแต่ละฉบับ มิเช่นนั้นเขาจะ "ทำการฆาตกรรมผู้คนในเวลากลางคืนตลอดช่วงสุดสัปดาห์นั้น และฆ่าต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบหนึ่งโหล" (12 คน) ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ตีพิมพ์ชุดรหัสลับชุดที่สามลงบนหน้าที่ 4 ของฉบับวันต่อมา ข้าง ๆ รหัสลับ หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์คำพูดของหัวหน้าสารวัตตำรวจ สน.วัลเลโฮ แจค อี. สติทช์ ที่ว่า "เราไม่พอใจที่จดหมายถูกเขียนขึ้นโดยฆาตกร" และท้าทายให้ฆาตกรส่งจดหมายมาอีกครั้งพร้อมกับข้อเท็จจริงที่สามารถระบุถึงบุคลิกลักษณะของเขาและสามารถยืนยันได้ว่าเขาเป็นผู้ก่อเหตุที่แท้จริง[1] ต่อมาคำขู่ของฆาตกรไม่เคยเกิดขึ้นจริง และชุดรหัสลับทั้งสามถูกตีพิมพ์ในที่สุด
7 สิงหาคม ค.ศ. 1969 จดหมายอีกฉบับถูกส่งไปที่ ซานฟรานซิสโกเอ็กแซมิเนอร์ ด้วยคำขึ้นต้นจดหมายที่ว่า "Dear Editor This is the Zodiac speaking" คำแปล: "ถึงบรรณาธิการ นี้คือถ้อยแถลงของโซดิแอค" ที่ซึ่งต่อมาเขาใช้เป็นคำขึ้นต้นจดหมายกับทุกฉบับที่เขาส่งมา จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเขาไปในที่สุด และวันนั้นเองที่เขาเริ่มแทนตัวเองด้วยชื่อ "โซดิแอค" เนื้อความในจดหมายจงใจที่จะตอบคำท้าทายของหัวหน้าสารวัตตำรวจ สน.วัลเลโฮ ที่ซึ่งท้าทายให้เขาเล่าถึงรายละเอียดของฆาตกรรม เขาจึงเล่าถึงขั้นตอนและวิธีการฆ่าเดวิด, เบตตีและดาร์ลีน ในจดหมายยังกล่าวถึงรายละเอียดของฆาตกรรมซึ่งไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน เช่นเดียวกับข้อความที่โซดิแอคส่งถึงตำรวจว่า "they will have me" 8 สิงหาคม ค.ศ. 1969 โดนัลด์ และ เบททีย์ ฮาร์เดิน จากเมืองซาลินาส, มอนเทอรีเคาท์ตี, รัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถถอดรหัสชุดหนึ่งของโซดิแอคที่ตีพิมพ์บนหนังสือพิมพ์ได้[2] โดยที่ไม่พบชื่อของฆาตกรปรากฏในชุดรหัส ใจความดังนี้

I LIKE KILLING PEOPLE BECAUSE IT IS SO MUCH FUN IT IS MORE FUN THAN KILLING WILD GAME IN THE FORREST BECAUSE MAN IS THE MOST DANGEROUS ANIMAL OF ALL TO KILL SOMETHING GIVES ME THE MOST THRILLING EXPERENCE IT IS EVEN BETTER THAN GETTING YOUR ROCKS OFF WITH A GIRL THE BEST PART OF IT IS THAT WHEN I DIE I WILL BE REBORN IN PARADICE AND ALL THE I HAVE KILLED WILL BECOME MY SLAVES I WILL NOT GIVE YOU MY NAME BECAUSE YOU WILL TRY TO SLOI DOWN OR STOP MY COLLECTING OF SLAVES FOR MY AFTERLIFE EBEORIETEMETHHPITI

คำแปล :

ฉันชอบฆ่าผู้คนเพราะว่ามันสุดแสนจะสนุก มันสนุกกว่าเกมล่าสัตว์ในป่าเสียอีก เพราะมนุษย์คือสัตว์ที่อันตรายที่สุดจากทั้งหมด จากการฆ่าบางสิ่งบางอย่างมันให้ประสบการณ์อันสุดแสนจะสยดสยองให้ฉัน มันดีกว่าประสบการณ์การมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงเสียอีก ช่วงที่ดีที่สุดของมันคือเมื่อฉันตาย ฉันจะไปเกิดใหม่บนสวรรค์ และทั้งหมดที่ฉันได้ฆ่าไปจะกลายมาเป็นทาสของฉัน ฉันจะไม่ให้ชื่อของฉันไป เพราะพวกคุณจะพยายามขัดขวางหรือยับยั้งการสะสมทาสสำหรับชีวิตหลังความตายของฉัน EBEORIETEMETHHPITI

อักษรภาษาอังกฤษ 18 ตัวสุดท้ายที่ถอดได้ไม่มีผู้ใดเข้าใจถึงความหมายของมัน
[แก้]ทะเลสาบเบอรีเอสซา


ภาพสเกตคนร้ายที่ทะเลสาบเบอรีเอสซา


ข้อความที่คนร้ายทิ้งไว้ ณ จุดเกิดเหตุบริเวณทะเลสาบเบอรีเอสซา
27 กันยายน ค.ศ. 1969 ไบรอัน แคลวิน ฮาร์ทเนล อายุ 20 ปี และ เซซีเลีย แอนน์ เชพเพิร์ด อายุ 22 ปี ทั้งคู่กำลังปิคนิคกันที่บนเกาะกลางทะเลสาบที่มีทางเชื่อมสู่แผ่นดินเป็นทรายไปยังต้นโอ๊คแฝดสองต้น ชายผู้หนึ่งจู่โจมทั้งคู่โดยสวมใส่ชุดสีดำแบบเพชฌฆาต ส่วมหมวกสีดำคลุมใบหน้า และสวมแว่นตากันแดด บนหน้าอกมีลวดลายเป็นรูปวงกลมสีขาวมีกากบาตตรงกลาง ในมือถือปืนพกที่ซึ่งไบรอันเชื่อว่าน่าจะเป็นปืน 0.45 เอซีพี ไบรอันพยายามคุยกับชายคนดังกล่าวและได้ข้อมูลมาว่าเขาเป็นนักโทษหลบหนีออกมาจากเรือนจำที่รัฐมอนแทนา ซึ่งเขาอ้างว่าได้ฆ่าผู้คุมและขโมยรถหนีออกมา และกล่าวต่ออีกว่าต้องการรถและเงินจากทั้งคู่เพื่อเดินทางต่อไปยังเม็กซิโก เขานำเชือกที่พกมาส่งให้กับเซซิเลียและออกคำสั่งให้เธอมัดข้อมือของไบรอัน ขณะที่ไบรอันนอนหมอบคว่ำหน้า จากนั้นชายชุดคลุมคนดังกล่าวให้เซซิเลียนอนคว่ำเช่นเดียวกับไบรอันก่อนที่จะมัดข้อมือเธอเช่นกัน เขาเดินไปตรวจเชือกที่เซซิเลียมัดไบรอันและพบว่าเธอมัดมันอย่างหลวม ๆ เขาจึงมัดมันให้แน่นขึ้น ไบรอันคิดในใจว่านี้เป็นการปล้นที่แปลกประหลาด แต่ทันใดนั้นชายชุดคลุมก็คว้ามีดออกมาแล้วแทงทั้งคู่ซ้ำไปซ้ำมา ทั้งคู่ร้องด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเขาจึงเดินไปยังถนนน็อกวิลล์ที่ซึ่งรถของทั้งคู่จอดอยู่ เขาวาดรูปวงกลมขีดกากบาดด้วยปากกาหมึกดำมีข้อความว่า "Vallejo/12-20-68/7-4-69/Sept 27-69-6:30/by knife"[3][4] บนประตูรถ เวลา 19.40 น. ชายคนดังกล่าวโทรศัพท์ไปแจ้งสำนักงานนายอำเภอของนาปาเคาท์ตีจากตู้โทรศัพท์สาธารณและรายงานการก่ออาชญากรรมของเขา ไม่กี่นาทีต่อมาตำรวจแกะรอยโทรศัพท์และพบว่ามันถูกโทรมาจากตู้โทรศัพท์ที่ร้านทำความสะอาดรถบนถนนหลักของนาปาเคาท์ตี ไม่กี่ช่วงตึกจากสำนักงานอำเภอ ห่างจากจุดเกิดเหตุทำร้ายร่างกายเซซิเลียและไบรอันออกไปราว 27 ไมล์ นักสืบรุดไปยังตู้โทรศัพท์ดังกล่าวและอนุญาตให้เก็บรอยนิ้วมือที่ยังคงสดใหม่ แต่รอยนิ้วมือดังกล่าวไม่สามารถตรวจตรงกับผู้ต้องสงสัยรายใดเลย
ชายคนหนึ่งและลูกชายกำลังตกปลาบริเวณใกล้เคียง ทั้งคู่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือและเสียงร้องโอดครวญจึงเดินเข้าไปและพบทั้งสองเข้า ชายผู้นั้นจึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่อุทยานให้มาช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานนายอำเภอนาปาเคาท์ตี เดฟ คอลลินส์ และ เรย์ แลนด์ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐคนแรกที่ไปยังจุดเกิดเหตุ เซซิเลียยังคงมีสติและเล่ารายละเอียดของชายชุดคลุมให้แก่เดฟฟัง ทั้งคู่ถูกส่งไปยังโรงพยาบาลควีนออฟเดอะวัลเลย์โดยรถพยาบาล เซซิเลียเกิดอาการโคมาระหว่างทางสู่โรงพยาบาลและเธอไม่ได้สติกลับมาอีกเลย สองวันต่อมาเธอจึงเสียชีวิตลงขณะที่ไบรอันรอดชีวิตและเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อทำการบันทึกเป็นเอกสารคำให้การ นักสืบของนาปาเคาท์ตี เคน แนร์โลว ผู้ซึ่งรับโอนคดีมาสืบสวนตั้งแต่ระยะแรกทำการติดตามคดีมาโดยตลอดจนกระทั่งเขาปลดเกษียณในปี ค.ศ. 1987[5]
[แก้]เพรสซิดิโอไฮท์
11 ตุลาคม ค.ศ. 1969 ชายผู้หนึ่งใช้บริการรถแท็กซี่ของ พอล ลี สไตน์ อายุ 29 ปี ชายคนดังกล่าวขึ้นรถบนแยกที่ถนนเมสันตัดกับถนนเกียร์รีในตัวเมืองซานฟรานซิสโก จากนั้นเขาขอให้ไปส่งที่แยกถนนวอชิงตันตัดกับถนนเมเปิล ในเพรสซิดิโอไฮท์ เมื่อถึงสถานที่ดังกล่าวพอลกลับขับเลยถนนเมเปิลดังกล่าวไป 1 ช่วงตึกและหยุดตรงที่ถนนวอชิงตันตัดกับถนนเชอร์รี โดยที่ไม่ไม่มีผู้ใดทราบเหตุผล จากนั้นชายที่โดยสารมาก็ยิงเข้าที่หัวของพอลด้วยปืนขนาด 9 มิลลิเมตร จากนั้นหยิบกระเป๋าเงินและกุญแจรถของพอลไป เขายังฉีกชายเสื้อของพอลไปด้วย ขณะนั้นเป็นเวลา 21.55 น. โดยที่ไม่รู้ตัวชายคนดังกล่าวถูกจ้องมองโดยวัยรุ่นสามคนจากฝั่งตรงข้าม ทั้งหมดโทรศัพท์ไปหาตำรวจว่าการก่ออาชญากรรมกำลังดำเนินอยู่ วัยรุ่นเล่าว่าคนร้ายทำการเช็ดรอยเลือดและเดินจากไปในทิศที่มุ่งไปยังทางเหนือของเพรสซิดิโอ ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุไม่กี่นาทีถัดมา วัยรุ่นทั้งสามอธิบายแก่ตำรวจว่าชายคนนั้นเพิ่งจะเดินออกไปและยังคงอยู่ในบริเวณนี้
สองช่วงตึกจากที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ดอน ฟูค ก็ได้รับฟังการแจ้งเหตุของวัยรุ่นทั้งสามจากวิทยุตำรวจเช่นกัน เขาพบเห็นชายผิวขาวเดินไปตามทางเท้าแล้วก้าวขึ้นบันใดหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ฝากทางเหนือของถนน การพบเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นหลังได้รับแจ้งเหตุเพียง 5 - 10 นาทีเท่านั้น คู่หูที่นั่งมาด้วย เอริค ซีล์ม ไม่เห็นชายคนดังกล่าว ทั้งคู่ไม่ได้เอะใจกับชายผู้นั้นเลยเนื่องจากวิทยุตำรวจสั่งการให้เขาคอยมองหาชายผิวดำในบริเวณนั้น ทั่งคู่จึงขับรถตำรวจเลยชายผู้นั้นไปโดยไม่ได้หยุดรถ เมื่อถึงจุดเกิดเหตุดอนได้รับการบอกเล่าโดยเจ้าหน้าที่เพลลิเซตติว่าที่จริงแล้วเรากำลังมองหาชายผิวขาวไม่ใช่ชายผิวดำ ดอนจึงรู้ทันทีว่าพวกเขาคลาดกับคนร้ายไปเสียแล้ว ดอนจึงสรุปว่าคนร้ายเดินกลับเส้นทางเดิมที่เขานั่งรถมาและหนีไปทางเพรสซิดิโอ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการตรวจสอบรถแท้กซี่คันดังกล่าวแต่มันถูกทำความสะอาดไว้โดยคนร้ายแล้ว รอยนิ้วมือที่พบเพียงเล็กน้อยก็ไม่ตรงกับผู้ใดเลย วัยรุ่นทั้งสมติดตามตำรวจไปยังสถานีตำรวจเพื่ออธิบายลักษณะของคนร้าย ก่อนจะกลับไปอีกครั้งเพื่อให้การใหม่ คนร้ายถูกสันนิษฐานว่าอายุระหว่าง 35 - 45 ปี นักสืบบิล อาร์มสตรอง และ เดฟ ทอสชี รับเข้ามาดูแลการสืบสวนนี้ด้วยตัวเอง กรมตำรวจซานฟรานซิสโกทำการสืบสวนและตั้งรายชื่อผู้ต้องสงสัยได้กว่า 2,500 คนตลอดช่วงหนึ่งปีนั้น
[แก้]จดหมายและรหัสอีกหลายฉบับที่ตามมา


หนึ่งในชุดรหัสลับที่ถูกตีพิมพ์
14 ตุลาคม ค.ศ. 1969 ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ ได้รับจดหมายที่ส่งมาจากโซดิแอค ในฉบับนี้มีชิ้นส่วนชายเสื้อของพอล สไตน์แนบมาด้วย และนั้นเป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้ก่อเหตุที่เพรสซิดิโอไฮท์ ในจดหมายยังมีคำขู่ระบุว่าเขาจะทำการยิงรถโรงเรียน เวลา 2.00 น. ของวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1969 บุคคลนิรนามอ้างตัวว่าเป็นโซดิแอคโทรศัพท์ไปยังกรมตำรวจโอคแลนด์ ว่าเขาต้องการหนึ่งในนักกฎหมายชื่อดังระหว่าง เอฟ. บี เบย์ลี หรือ เมลวิน เบลลิ ให้ไปออกรายการทอล์คโชว์ของ จิม ดันบาร์ ในช่วงเช้า ปรากฏว่า เอฟ. บี เบย์ลี ไม่สามารถไปร่วมรายการได้ เมลวินจึงได้ไปออกอากาศในช่วงเช้าของวันนั้นแทน เขาร้องขอให้ผู้ชมคอยติดตามการถ่ายทอดสด ในที่สุดบุคคลนิรนามโทรศัพท์เข้ามาในรายการหลายครั้ง เขาอ้างว่าตัวเขาชื่อแซม เมลวินจึงนัดพบเขาผ่านรายการที่เมืองดาลี แต่ชายคนดังกล่าวกลับไม่ปรากฏตัวออกมา เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ซึ่งเคยได้ยินเสียงของโซดิแอคได้ทำการฟังเสียงของ "แซม" และสรุปว่าเสียงของแซมไม่ใช่เสียงของโซดิแอค นั้นทำให้ตำรวจเชื่อว่าผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาในรายการไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง การโทรศัพท์เข้ามาอีกครั้งในภายหลังถูกดักฟังและแกะรอยโดยเจ้าหน้าที่ จนพบว่ามันถูกโทรเข้ามาจากโรงพยาบาลนาปาโดยผู้ป่วยโรคจิต วันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1969 โซดิแอคส่งจดหมายมาและภายในมีรหัสลับมาอีกชุดมีตัวสัญลักษณ์ทั้งหมด 340 ตัว 9 พฤศจิกายน วันถัดมาเขาได้ส่งจดหมายมาอีกฉบับมีความยาวทั้งหมด 7 หน้า ในเนื้อความระบุว่า วันที่เขาทำการฆาตกรรม พอล สไตน์ เขาอ้างว่าหลังเขาเดินออกมาจากจุดเกิดเหตุมีตำรวจสองคนหยุดและพูดคุยกับเขาเป็นเวลา 3 นาที โดยซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ได้ทำการตัดส่วนหนึ่งของจดหมายแล้วออกตีพิมพ์ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ซึ่งฉบับนั้นยังตีพิมพ์คำกล่าวอ้างของโซดิแอคด้วย ในวันนั้นเอง ดอน ฟูค ได้จดบันทึกอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ส่วนรหัสลับชุดนั้นไม่เคยมีผู้ใดถอดมันออกเลย
วันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1969 หนึ่งปีพอดีกับที่ เดวิด ฟาราเดย์ และ เบตตี ลู เจนเซน ถูกยิงเสียชีวิตโดยฆาตกร โซดิแอคทำการส่งจดหมายไปยังบ้านของนักกฎหมายเมลวิน เบลลิ ในจดหมายยังมีเศษชิ้นส่วนเสื้อของพอล สไตน์แนบมาด้วย เนื้อความระบุถึงการขอความช่วยเหลือจากเมลวิน
โมเดสโต
ในคืนวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1970 แคธลีน จอห์นส์ อายุ 22 ปี กำลังขับรถจากซานเบอร์นาดิโอไปยังเพตาลูมาเพื่อไปเยี่ยมแม่ของเธอ เธอตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนและมีลูกสาววัย 10 เดือนอยู่บนเบาะฝั่งข้างคนขับ ขณะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกบนทางหลวงหมายเลข 132 ใกล้เมืองโมเดสโต รถยนต์ที่ขับตามมาด้านหลังเริ่มบีบแตรและสาดไฟสูงใส่เธอ เธอจึงลดความเร็วลงและหยุดรถบนไหล่ทาง รถคันดังกล่าวจอดด้านหลัง คนขับก้าวลงมาและปรากฏว่าเป็นผู้ชาย เขาบอกกับเธอว่าเขาสังเกตเห็นล้อหลังด้านขวาของเธอแกว่งไปมาและเกรงว่าจะเกิดอันตรายจึงอาสาว่าจะช่วยขันน็อตของล้อให้แน่นขึ้น เธอจึงยินยอมให้ชายคนดังกล่าวช่วย หลังจากเขาซ่อมมันเสร็จสิ้นเขากลับขึ้นรถและขับออกไป แคธลีนกลับขึ้นรถของเธอและเริ่มเดินทางต่อ สักพักถัดมาตัวรถสั่นอย่างรุนแรงจนล้อหลังด้านขวาหลุดออกมา และชายคนดังกล่าวก็ขับย้อนกลับมา เขาอาสาจะไปส่งเธอที่สถานีบริการน้ำมันที่ใกล้ที่สุดเธอตอบตกลงและนำลูกสาววัย 10 เดือนของเธอขึ้นรถชองชายคนดังกล่าว ส่วนรถยนต์ของเธอถูกจอดทิ้งไว้ข้างถนน พวกเขาขับผ่านสถานีบริการน้ำมันหลายแห่งแต่เขาไม่ยอมหยุดรถที่สถานีบริการน้ำมันสักแห่งเลย เป็นเวลาประมาณหนึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่ชายคนดังกล่าวขับรถวนเวียนไปมาบนถนนสายเล็ก ๆ บริเวณเมืองเทรซี เมื่อแคธลีนถามเขาว่าทำไมไม่หยุดรถเขาก็บ่ายเบี่ยงประเด็นตลอด ต่อมาเขามาหยุดรถบนแยกแห่งหนึ่งและบอกกับแคธลีนว่าเขาจะฆ่าเธอก่อนแล้วจากนั้นจะโยนร่างของเธอออกไปตามด้วยร่างของลูกสาววัย 10 เดือนของเธอด้วย แคธลีนตกใจถึงขีดสุดและกระโดดหนีออกมาจากรถพร้อมกับลูกสาววัย 10 เดือนของเธอด้วย เธอวิ่งหนีเข้าไปซ่อนตัวในดงหญ้า ชายคนดังกล่าวจึงขึ้นรถและขับออกไป เธอขอความช่วยเหลือจากผู้สัญจรไปมาจนมีผู้มาส่งเธอที่สถานีตำรวจเมืองแพทเทอสัน
ขณะที่เธอให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เธอก็แนะนำว่าการลักพาตัวเธอครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับฆาตกรที่ฆ่าพอล สไตน์ เนื่องจากเธอคิดว่าเป็นคนเดียวกับที่เพิ่งจะลักพาตัวเธอกับลูกสาว ตำรวจระแวงว่าคนร้ายอาจจะย้อนกลับมาฆ่าเธอและลูกสาว ตำรวจจึงให้เธออยู่บริเวณใกล้เคียงที่ร้านมิลส์เรสเตอรองต์ ต่อมาตำรวจพบรถยนต์ของเธอในสภาพถูกทุบทำลายและถูกวางเพลิง และตำรวจยังวิเคราะห์ต่ออีกว่าผู้กระทำอาจมีความโกรธแค้นอะไรบางอย่าง
มีการถกเถียงเป็นวงกว้างเกี่ยวกับการลักพาตัวแคธลีน ผู้ที่สนับสนุนเธอเชื่อว่าคนร้ายพยายามจะฆ่าสองแม่ลูกขณะขับรถวนเวียนไปมา แต่เอกสารรายงานของตำรวจปฏิเสธความเชื่อนั้น ส่วนข่าวของแคธลีนที่พิมพ์โดยพอล เอเวอร์รี่ แห่งหนังสือพิมพ์ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ รายงานว่าขณะที่เธอซ่อนตัวอยู่ในดงหญ้าคนร้ายทิ้งรถไว้และใช้ไฟฉายออกตามหาเธอ แต่เธอเล่าว่าชายคนดังกล่าวไม่ได้ก้าวออกมาจากรถยนต์ของเขาเลย และยังมีความเชื่อที่โต้แยงกันเกี่ยวกับสถานที่ที่แคธลีนจอดรถของเธอทิ้งเอาไว้ บางเชื่อว่ามันถูกย้ายตำแหน่งก่อนจะเผา แต่บางคนเชื่อว่ามันอยู่ตรงตำแหน่งนั้นตั้งแต่แรก นอกจากนี้สาธารณชนยังตั้งคำถามว่าเธออาจจะเป็นหนึ่งในเหยื่อของฆาตกรโซดิแอคอีกคนหรือไม่ ซึ่งเป็นคำถามที่สงสัยกันเป็นเวลาหลายปี
การสื่อสารที่ซับซ้อนของโซดิแอค
ในปี ค.ศ. 1970 โซดิแอคยังคงติดต่อและสื่อสารกับสาธารณชนและตำรวจผ่านทางไปรษณีย์และออกตีพิมพ์บนหน้าหนังสือพิมพ์ ในจดหมายที่ประทับตราไปรษณียากรของวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1970 เขาได้เขียนบนจดหมายว่า "My name is ___" แล้วตามด้วยรหัสลับ 13 ตัว เขายังกล่าวอีกว่าไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุการวางระเบิดที่สถานีตำรวจในนครซานฟรานซิสโกเมื่อไม่นานมานี้ (เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1970) แต่กล่าวต่อว่า "นี้เป็นอีกหนึ่งความน่ายินดีที่สามารถฆ่าตำรวจได้ มันน่ายินดีกว่าการแค่ทำร้ายเพราะตำรวจมันสามารถยิงเรากลับได้" เขายังวาดแผนภาพแสดงวิธีที่เขาจะประกอบระเบิดขึ้นเองซึ่งเขาอ้างว่าจะนำมันไปใช้ระเบิดโรงเรียน ด้านล่างแผนภาพเขาทิ้งท้ายว่า " = 10 SFPD = 0"
(สัญลักษณ์ หมายถึงตัวโซดิแอคเอง ส่วน SFPD ย่อมาจาก San Francisco Police Department ซึ่งหมายถึงกรมตำรวจซานฟรานซิสโกนั่นเอง)
วันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1970 เขาได้ส่งจดหมายอีกฉบับมาที่ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ เขาระบุในจดหมายว่า "หวังว่าพวกคุณคงมีความสุขกับตัวเอง เมื่อฉันจุดระเบิดของฉัน" ตามมาด้วยสัญลักษณ์วงกลมขีดกากบาทประจำตัวเขา ด้านหลังยังมีคำขู่ที่จะใช้รถโดยสารเป็นตัวระเบิดกำกับไว้ด้วย หนังสือพิมพ์ออกตีพิมมพ์รายละเอียดของมันทั้งหมด นอกจากนี้เขายังต้องการให้ผู้คนสวมใส่กระดุมโซดิแอคอีกด้วย
วันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1970 ในจดหมายที่ประทับตราไปรษณียากร เขาระบุว่าเขาผิดหวังที่ไม่มีใครสวมใส่กระดุมโซดิแอคเลย และระบุต่อว่า "ฉันยิงชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถที่จอดอยู่ด้วยปืนจุดสามแปดมิลลิเมตร" ซึ่งคาดว่าน่าจะหมายถึงคดีของ ร.น. ริชารด เรดทิช ที่เกิดเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน เวลา 5.25 น. ขณะริชาร์ดกำลังเขียนตั๋วจอดรถในบริเวณที่เขารับผิดชอบอยู่ คนร้ายยิงเขาที่หัวด้วยปืนแคลิเบอร์พิสทอล 0.38 มิลลิเมตร ริชาร์ดเสียชีวิตในอีก 15 ชั่วโมงต่อมา กรมตำรวจซานฟรานซิสโกปฏิเสธความเกี่ยวข้องของคดีนี้กับโซดิแอคและยังคงจับผู้ร้ายที่ก่อเหตุไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน ในจดหมายยังแนบแผนที่บริเวณโดยรอบอ่าวซานฟรานซิสโกที่ผลิตขึ้นโดยบริษัทผลิตแผนที่ฟิลิปส์ 66 ยังมีรูปของภูเขาดิอาโบลซึ่งบนรูปนั้นเขาทำเครื่องหมายวงกลมขีดกากบาทเช่นเดิมแต่บนสุดของสัญลักษณ์นั้นเขาเขียนหมายเลข 0, 3, 6 และ 9 ไล่ลงมาตามลำดับเสมือนเป็นหน้าปัดนาฬิกา เขาบอกว่าเลข 0 เปรียบเสมือนทิศเหนือ และบอกว่ามันจำชี้ทางไปสู่จุดที่เขาฝังระเบิดไว้แต่ตำรวจตรวจพบว่าไม่เคยเกิดขึ้นจริง เขายังทิ้งท้ายด้วยว่า " = 12 SFPD = 0"
ในจดหมายฉบับวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1970 ที่ส่งไปยังซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์โซดิแอคกล่าวอ้างรับผิดชอบต่อกรณีของแคธลีน จอห์นส์ ว่าเขาเป็นผู้กระทำเอง จดหมายถูกส่งมา 4 เดือนหลังจากเกิดเหตุ ส่วนในฉบับวันที่ 24 มิถุนายน เขายังถอดความจากบทเพลงของ "เดอะมิกาโด" แล้วใส่เนื้อเพลงของเขาเอง ในเนื่อเพลงมีใจความเกี่ยวกับแผนที่เขาจะทรมานต่อ "ทาส" ของเขาบน "สวรรค์" เขาลงท้ายด้วยสัญลักษณ์เดิมแต่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมว่า " = 13 SFPD = 0" และประโยคสุดท้ายที่เขาทิ้งท้ายคือ "โปรดอย่าลืม รหัสลับที่ภูเขาดิอาโบลมีความสัมพันธ์กับมุมที่เกิดระหว่างเส้นรัศมี 2 เส้นของวงกลมขนาด +# นิ้ว ตลอดความยาวของเส้นรัศมี 2 เส้น" ในปี ค.ศ. 1981 การตรวจสอบข้อความดังกล่าวถูกสรุปโดยแกเรธ เพนน์ นักวิจัยคดีโซดิแอคที่ค้นพบการที่เส้นรัศมีสองเส้นมาทำมุมกัน และพบว่าเส้นรัศมีนั้นชี้ไปยังจุด 2 จุดที่เขาก่อเหตุขึ้น
7 ตุลาคม ค.ศ. 1970 ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ได้รับการ์ดขนาด 3 คูณ 5 นิ้ว ที่โซดิแอควาดสัญลักษณ์ ด้วยเลือด เนื้อความในการ์ดเป็นข้อความจากจดหมายที่เขาส่งมาซึ่งเขาตัดมันมาจากที่หนังสือพิมพ์ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ตีพิมพ์ โดยรอบการ์ดถูกเจาะเป็นรูทั้งหมด 13 รู นักสืบบิล อาร์มสตรอง และ เดฟ ทอชชี ลงความเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่การ์ดจะถูกส่งมาจากโซดิแอคจริง
ริเวอร์ไซด์


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2010-09-16 19:35:12

famecd123
#8
16-09-2010 - 19:36:23

#8 famecd123  [ 16-09-2010 - 19:36:23 ]




ริเวอร์ไซด์


"คำสารภาพ"
วันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1970 นักข่าวหนังสือพิมพ์ของซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ พอล เอเวอร์รี่ (นักข่าวผู้ที่คอยทำการติดตามคดีของโซดิแอคมาตั้งแต่ต้น) ได้รับการ์ดวันฮาโลวีนซึ่งถูกเขียนไว้บนการ์ดด้วยอักษรตัว "Z" ตามด้วยสัญลักษณ์วงกลมขีดกากบาทของโซดิแอค และมีข้อความว่า "Peek-a-boo, you are doomed" คำแปล: "พีคอะบู คุณถูกจ้องมองอยู่" คำขู่ดังกล่าวทำให้เขากังวลอย่างมากและเนื้อความในจดหมายก็ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์เช่นเคย หลังจากนั้นไม่นาพอลได้รับจดหมายนิรนามที่บอกเล่าว่ามีความเหมือนกันของลักษณะการฆาตกรรมของโซดิแอคกับลักษณะฆาตกรรมที่เกิดกับ เชอร์รี โจ เบทส์ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อน ในมหาวิทยาลัยประจำเมือง ริเวอร์ไซด์เคาท์ตี, เขตมหานครลอสแอนเจลิส ห่างออกไปทางใต้มากกว่า 400 ไมล์จากซานฟรานซิสโก เขารายงานการค้นพบนี้ลงบนหนังสือพิมพ์ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1970
ย้อนความกลับไปในวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1966 เชอร์รี โจ เบทส์ อายุ 18 ปี ใช้เวลาช่วงเย็นของวันนั้นในห้องสมุดของวิทยาลัยจนกระทั่งห้องสมุดปิดเวลา 21.00 น. ผู้คนละแวกนั้นกล่าวว่าได้ยินเสียงกรีดร้องช่วงเวลาประมาณ 22.30 น. ร่างของเธอพบแป็นศพไม่ห่างจากห้องสมุดมาก อยู่ระหว่างบ้านร้างสองหลังที่ทางมหาวิทยาลัยกำลังจะรื้อถอนเพื่อปรับปรุงใหม่ สายไฟของหัวจ่ายในรถโฟล์กสวาเกนของเชอรร์รีพบว่าถูกตัดออก ร่างของเธออยู่ในสภาพถูกทุบตีอย่างโหดร้ายและถูกแทงจนถึงแก่ความตาย นาฬิกาข้อมือยี่ห้อไทเมกของผู้ชายและเสื้อที่ชายข้อมือมีรอยฉีกขาดถูกพบบริเวณใกล้เคียง หน้าปัดนาฬิกาหยุดที่ตัวเลข 12:24 แต่ตำรวจเชื่อว่าการฆาตกรรมเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นมาก ตำรวจยังพบรอยเท้าของรองเท้าที่มีใช้กันอยู่ในวงการทหาร อีกหนึ่งเดือนถัดมาในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1966 จดหมายที่เขียนขึ้นจากการพิมพ์ดีดถูกส่งมายังสถานีตำรวจและสำนักพิมพ์ริเวอร์ไซด์เพรสอินเตอร์ไพรส์ ชื่อที่หัวกระดาษพิมพ์ว่า "The Confession" หรือ "คำสารภาพ" ผู้ที่พิมพ์ระบุในใจความอ้างว่าเขาเป็นผู้กระทำเหตุฆาตกรรมเชอร์รี โจ เบทส์ และเล่ารายละเอียดการฆาตกรรมทั้งหมดซึ่งไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน เขายังเตือนอีกว่า "เชอร์รีไม่ใช่คนแรกและจะไม่ใช่คนสุดท้าย"
ธันวาคม ค.ศ. 1966 มีการค้นพบบทกลอนที่ถูกสลักไว้ด้านล่างโต๊ะตัวหนึ่งในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยว่า "Sick of living/unwilling to die" คำแปล: "เบื่อที่จะอยู่/ไม่เต็มใจที่จะตาย" ซึ่งลักษณะการใช้ภาษาและลายมือคล้ายคลึงกับของโซดิแอคที่เขาเขียนมาทางจดหมายระหว่างปี ค.ศ. 1969 - ค.ศ. 1972 เป็นอย่างมาก และถัดลงมามันถูกสลักด้วยอักษรย่อ "rh" ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นชื่อของคนร้าย เชอร์วูด เมอร์ริล ผู้ตรวจสอบคดีชั้นแนวหน้าของรัฐแคลิฟอร์เนียให้ความเห็นไว้ว่า บนกลอนดังกล่าวถูกเขียนโดยโซดิแอค วันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1967 ครบรอบ 6 เดือนของเหตุฆาตกรรม โจเซฟ โจ เบทส์ ผู้เป็นบิดา, ตำรวจและสำนักพิมพ์ริเวอร์ไซด์เพรสอินเตอร์ไพรส์ ได้รับจดหมายที่แทบจะเหมือนกันซึ่งลายมือมีลักษณะถูกเขียนหวัด ๆ ฉบับของสำนักพิมพ์และตำรวจมีข้อความว่า "Bates had to die there will be more" คำแปล: "เบทส์จำเป็นต้องตายและมันจะมีมากกว่านี้" และด้านล่างมีอักษรที่เขียนแบบลวก ๆ พอจะมองเห็นเป็นตัว "Z" ส่วนฉบับของโจเซฟเขียนว่า "She had to die there will be more" คำแปล: "เธอจำเป็นต้องตายและมันจะมีมากกว่านี้" โดยปราศจากอักษร "Z" ด้านล่าง
กลับมาวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1971 เป็นเวลาเกือบ 4 เดือนหลังจากบทความเกี่ยวกับเชอร์รีของพอล เอเวอร์รี่ โซดิแอคส่งจดหมายไปยังหนังสือพิมพ์ลอสแอนเจลิสไทม์ ในเนื้อความโซดิแอคกล่าวชื่นชมตำรวจแทนที่จะเป็นพอลกับการค้นพบความเชื่อมโยงที่ริเวอร์ไซด์ เขาระบุต่อว่า "But they are only finding the easy ones, there are a hell of a lot more down there" คำแปล: "แต่พวกเขาพบแค่ชิ้นง่าย ๆ อันหนึ่ง ยังมีอีกมากมายที่นั้น" ความเชื่อมโยงระหว่าง เชอร์รี โจ เบทส์, ริเวอร์ไซด์และโซดิแอค ยังคงเหลือไว้เป็นปริศนา พอล เอเวอร์รี่ และสำนักงานตำรวจริเวอร์ไซด์ลงความเห็นว่าโซดิแอคอาจจะไม่ได้เป็นผู้กระทำการฆาตกรรมเชอร์รี แต่ยอมรับว่าจดหมายที่ถูกส่งมาในคดีของเชอร์รีเขาอาจนำไปอวดอ้างว่าเป็นผลงานของเขา
[แก้]ทะเลสาบทาโฮ
22 มีนาคม ค.ศ. 1971 จดหมายอีกฉบับถูกส่งไปยังซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ หัวจดหมายระบุส่งถึงพอล เอเวอร์รี่ ซึ่งเชื่อกันว่าถูกส่งมาจากโซดิแอค จดหมายกล่าวอ้างความรับผิดชอบต่อการหายตัวไปของ ดอนนา ลาส อายุ 25 ปี เมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1970 จดหมายถูกเขียนขึ้นจากการนำตัวอักษรต่าง ๆ จากแผ่นโฆษณาหรือนิตยสารมาแปะเป็นถ้อยคำ ในจดหมายระบุเจาะจงถึงคำบนป้ายโฆษณาของฟอร์เรสต์ไพน์คอนโดมิเนียมดังนี้ "Sierra Club", "Sought Victim 12", "peek through the pines", "pass Lake Tahoe areas" และ "around in the snow." ตามด้วยสัญลักษณ์วงกลมขีดกากบาทลงท้าย
ในคืนวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1970 สเตตไลน์, รัฐเนวาดา ดอนนา ลาส เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงแรมซาฮาราทาโฮคาสิโน ดอนนาเสร็จสิ้นการทำงานเวลาประมาณ 2.00 น. ตามบันทึกที่บอกว่าเธอรักษาผู้ป่วยคนสุดท้ายเวลา 1.40 น. และไม่มีผู้ใดพบเห็นเธอออกไปจากที่ทำงาน เช้าวันต่อมาชุดเครื่องแบบและรองเท้าของเธอถูกพบในถุงกระดาษในห้องทำงานของเธอ และยังพบเศษดินที่อธิบายไม่ได้บนชุดและรองเท้า รถยนต์ของเธอถูกพบที่อพาร์ตเมนของเธอโดยที่อพาร์ตเมนไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ วันต่อมาเจ้าของอพาร์ตเมนและเจ้านายของเธอต่างก็ได้รับโทรศัพท์จากชายนิรนามที่กล่าวอย่างอวดอ้างว่าดอนนาออกไปจากเมืองระหว่างที่กลับไปเยี่ยมครอบครัว สำนักงานตำรวจและสำนักงานนายอำเภอทำการสืบสวนคดีของเธอในฐานะบุคคลสูญหายและสันนิษฐานว่า "เธอเพียงแค่จากไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยตัวของเธอเอง" ต่อมาไม่มีผู้พบเห็นดอนนาอีกเลย จากคำใบ้ที่ส่งมากับจดหมายเกี่ยวกับบริเวณในเซียร์ราคลับ เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปทำการตรวจสอบและขุดคนบริเวณที่กล่าวอ้างไว้แต่พบเพียงแว่นกันแดดเท่านั้น ปัจจุบันไม่มีหลักฐานใดที่แน่ชัดพอจะเชื่อมโยงการหายตัวไปของดอนนา ลาสกับฆาตกรโซดิแอคได้
[แก้]ซานตาบาบารา
หนังสือพิมพ์วัลเลโฮไทม์เฮรัลด์ฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1972 ตีพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ของบิล เบเคอร์ นักสืบจากสำนักงานนักสืบนายอำเภอซานตาบาบารา ที่ให้ทฤษฎีและตั้งข้อสงสัยว่าการฆาตกรรมคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งในซานตาบาบาราว่าอาจเป็นอีกคดีหนึ่งของโซดิแอค
4 มิถุนายน ค.ศ. 1963 เป็นเวลา 5 ปี 6 เดือนก่อนที่โซดิแอคจะเป็นที่รู้จักเป็นครั้งแรกจากการฆาตกรรมที่ถนนเลคเฮอร์แมน นักเรียนไฮสคูล โรเบิร์ต โดมิโกส์ อายุ 18 ปี กับ ลินดา เอ็ดเวิร์ด อายุ 17 ปี ทั้งคู่ถูกยิงและเสียชีวิตบริเวณชายหาดใกล้เมืองลอมพอคโดยที่ทั้งคู่หนีเรียนกันมา ตำรวจสันนิษฐานว่าคนร้ายพยายามที่จะจับทั้งสองมัดข้อมือ แต่ทั้งสองสามารถแกะเชือกที่มัดจนหลุดได้และพยายามวิ่งหนี คนร้ายจึงยิ่งทั้งคู่ซ้ำไปมาหลายครั้งที่บริเวณหลังและหน้าอกด้วยปืนพกแคลิเบอร์ 0.22 มิลลิเมตร คนร้ายซ่อนศพทั้งสองไว้ในกระท่อมหลังเล็ก ๆ บริเวณใกล้เคียง คนร้ายพยายามที่จะเผากระท่อมแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
[แก้]จดหมายฉบับสุดท้าย
หลังจากจดหมายฉบับที่มีเนื้อหาอ้างความรับผิดชอบต่อการหายตัวไปของดอนนา ลาส โซดิแอคก็หยุดทำการส่งจดหมายติดต่อกับสาธารณชนไปเป็นเวลาเกือบ 3 ปี จดหมายที่ประทับตราลงวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1974 ถูกส่งไปยังซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลซึ่งยืนยันว่าโซดิแอคเป็นผู้เขียนขึ้น ข้างในกล่าวชื่นชมนวนิยายสยองขวัญเรื่อง ดิ เอกซอร์ซิสต์ ว่าเป็น "the best saterical comidy " ที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ และยังประกอบด้วยบทกวีท่อนหนึ่งของ เดอะ มิกาโด อีกทั้งยังมีสัญลักษณ์ปริศนาที่อธิบายไม่ได้กำกับไว้ด้านล่าง นอกจากนี้ยังมีคะแนนที่เขียนไว้ด่านล่างว่า "Me = 37 SFPD = 0" (SFPD หมายถึงกรมตำรวจซานฟรานซิสโก)
ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ยังได้รับจดหมายอีกฉบับประทับตราลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1974 ที่ส่งถึงบรรณาธิการ ภายในเป็นรหัสลับที่กล่าวถึงกองทัพเสรีเพื่อการเกื้อกูล (อังกฤษ: Symbionese Liberation Army) ที่สะกดออกมาเป็นภาษานอร์สโบราณที่แปลว่า "ฆ่า" แต่อย่างไรก็ตามลายมือที่ใช้ในจดหมายฉบับดังกล่าวไม่ตรงกับลายมือของโซดิแอค
ต่อมาซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ได้รับจดหมายที่ประทับตราลงวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1974 ใจความกล่าวยกย่องและชื่นชมภาพยนตร์เรื่อง "แบดแลนด์ส" ที่เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการฆาตกรรม โดยเขากล่าวว่าเป็น "เกียรติภูมิแห่งฆาตกร" และบอกให้ทำการตีพิมพ์โฆษณาเกี่ยวกับภาพยนตร์ลงบนหนังสือพิมพ์ และลงชื่อว่า "A citizen" ทั้งลายมือ, วิธีการเขียนและการใช้ถ้อยคำที่แดกดันทั้งหมดล้วนมีลักษณะตรงกับของโซดิแอคในช่วงปี ค.ศ. 1969 - ค.ศ. 1972 เป็นอย่างมาก
ซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ยังคงได้รับจดหมายอย่างต่อเนื่อง ฉบับต่อมาลงวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1974 กล่าวหาว่า มารโค สปิเลลนิ นักคอลัมน์นิสต์ ว่าเป็นโซดิแอคและลงชื่อด้วยคำว่า "the Red Phantom (red with rage)" ข้อสันนิษฐานที่ว่าจดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นโดยโซดิแอคเองยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน
จดหมายฉบับวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1978 ที่ในขั้นต้นให้ถือว่าเป็นจดหมายฉบับที่โซดิแอคเขียนขึ้นจริง แต่หลังจากนั้นไม่ถึงสามเดือนผู้ส่งก็เขียนกลับมาอีกว่าเป็นเพียงการเล่นตลกเท่านั้น เดฟ ทอสชี นักสืบสวนคดีฆาตกรรมของกรมตำรวจซานฟรานซิสโกที่พยายามไขคดีของโซดิแอคตั้งแต่คดีที่เพรสซิดิโอไฮท์เป็นต้นมา ถูกเชื่อว่าเป็นผู้ปลอมแปลงจดหมายนั้นขึ้นมาเอง โดยนักเขียน อาร์ตีด โมพิน เป็นผู้กล่าวหาที่เชื่อว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับจดหมายที่เขาได้รับในปี ค.ศ. 1976 จากผู้ที่ชื่นชอบโซดิแอคเขียนขึ้นเพื่อทำให้เป็นข่าว ซึ่งจดหมายฉบับปี ค.ศ. 1976 นี้เองที่เขาก็เชื่อว่าเขียนโดยเดฟ ทอชชี ต่อมาเดฟ ทอชชี ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ปลอมแปลงจดหมายของโซดิแอคและท้ายที่สุดก็พ้นจากข้อกล่าวหา ผู้ที่เขียนจดหมายฉบับวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1978 ยังคงไม่ได้รับการพิสูจน์และยืนยัน
3 มีนาคม ค.ศ. 2007 บัตรอวยพรวันคริสต์มาสของบริษัทอเมริกันกรีททิง ถูกส่งไปยังซานฟรานซิสโกคอร์นิเคิลส์ ประทับตราไปรษณียากรลงปี ค.ศ. 1990 ในเมืองยูเรกา, รัฐแคลิฟอร์เนีย พึ่งถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้จากเอกสารภาพถ่ายโดยผู้ช่วยบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ แดเนียล คิง ภายในซองจดหมายประกอบด้วยบัตรอวยพรและภาพจากการถ่ายเอกสารเป็นรูปของกุญแจสองอันของกรมไปรษณีย์สหรัฐฯ ลายมือบนหน้าซองคล้ายคลึงกับลายมือของโซดิแอคแต่ถูกโต้แย้งโดยผู้ตรวจสอบเอกสาร ลอยด์ คันนิงแฮม ว่าทั้งหมดไม่ใช่ของโซดิแอค อีกทั้งบนหน้าซองไม่มีที่อยู่ติดต่อกลับและสัญลักษณ์วงกลมขีดกากบาทของเขาเหมือนเช่นเคย ทางหนังสือพิมพ์ได้ส่งเอกสารหลักฐานทั้งหมดให้แก่สถานีตำรวจวัลเลโฮเพื่อทำรอตรวจพิสูจน์ต่อไป
[แก้]ผู้ต้องสงสัยหลัก

อาร์เธอร์ ลีห์ อัลเลน คือผู้ต้องสงสัยหลักเพียงคนเดียวของคดีนี้ที่ตำรวจให้การรับรอง อาร์เธอร์ไม่เคยได้รับการพิสูจน์ว่าเขาเกี่ยวข้องโดยตรงกับคดีฆาตกรรมหลายคดี อีกทั้งรอยนิ้วมีของเขาก็ไม่ตรงกับรอยนิ้วมือที่โซดิแอคทิ้งไว้บนรถแท็กซี่ในคดีฆาตกรรมพอล สไตน์ ในปี ค.ศ. 1992 หลังการก่อเหตุผ่านไปเป็นเวลา 23 ปี ไมเคิล เรนัลต์ แมกกู เหยื่อของฆาตกรโซดิแอคที่รอดชีวิตมาได้ระบุชี้ชัดว่ารูปพรรณของอาร์เธอร์ใกล้เคียงกับคนร้ายที่ยิงเขาในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1969 มากที่สุด ไมเคิลยืนยันกับทางตำรวจจากการที่ตำรวจให้ดูรูปถ่ายในใบขับขี่ปี ค.ศ. 1968 ของอาร์เธอร์ หลังทนทุกข์ทรมานจากโรคเบาหวานในที่สุดอาร์เธอร์ ลีห์ อัลเลน ก็เสียชีวิตด้วยภาวะไตวายในปี ค.ศ. 1992 ในปี ค.ศ. 2002 ดีเอ็นเอจากน้ำลายของโซดิแอคที่ได้จากตราไปรษณียากรบนซองจดหมายที่ส่งมาถูกนำไปตรวจสอบกับดีเอ็นเอของอาร์เธอร์ และดีเอ็นเอของเพื่อนสนิทเก่าของอาร์เธอร์ ดอน เชนีย์ ผู้ซึ่งให้การกับทางตำรวจว่าอาร์เธอร์อาจเป็นโซดิแอค ผลการตรวจสอบดีเอ็นเอปรากฏว่าดีเอ็นเอจากซองจดหมายไม่ตรงกับดีเอ็นเอของทั้งสอง แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถยืนยันแน่ชัดได้ว่าดีเอ็นเอจากซองจดหมายเป็นของโซดิแอคจริง
ความคืบหน้าล่าสุด

ค.ศ. 2002 - กรมตำรวจซานฟรานซิสโกทำการเปรียบเทียบดีเอ็นเอจากซองจดหมายที่ได้รับจากโซดิแอคกับอาร์เธอร์ ลีห์ อัลเลน ผู้ต้องสงสัยหลัก ผลปรากฏว่าไม่ตรงกัน
เมษายน ค.ศ. 2004 - กรมตำรวจซานฟรานซิสโกทำการจัดคดีของโซดิแอคให้เป็น "คดีที่หาข้อสรุปไม่ได้"
ค.ศ. 2007 - บุตรบุญธรรมของ แจค เทอร์แรนซ์ อ้างว่าพ่อของเขาคือโซดิแอค กรมตำรวจซานฟรานซิสโกจึงทำการรื้อคดีมาสืบสวนใหม่และส่งหลักฐานทั้งหมดไปยังสถานีตำรวจวัลเลโฮเพื่อทำการสืบสวนต่อไป คดียังคงเปิดในท้องที่ สน.วันเลโฮ มาจนปัจจุบัน
ค.ศ. 2009 - เดโบราห์ เปเรซ อ้างว่าบิดาของเธอ กาย วอร์ด เฮนด์ริคสัน คือโซดิแอค อย่างไรก็ตามในภายหลังเธอออกมาอ้างว่าเธอคือลูกนอกสมรสของประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ตำรวจจึงไม่ให้ความเชื่อถือต่อคำกล่าวอ้างของเธอ
ค.ศ. 2009 - ดีเอ็นเอของ ริชาร์ด โจเซฟ กายโกว์สกี (ดิค ไกค์) ถูกส่งไปวิเคราะห์ที่กรมตำรวจซานฟรานซิสโก
เว็บไซต์ของสถานีตำรวจวัลเลโฮยังคงรับคำแนะนำในการสอบสืนคดีของโซดิแอคอยู่ คดียังคงเปิดในพื้นที่สถานีตำรวจนาปาและริเวอร์ไซด์
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

เรื่องราวของฆาตกรจักรราศีได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งหนึ่งในชื่อเรื่อง Zodiac ในปี ค.ศ. 2007 นำแสดงโดย เจค จิลเลนฮอล, โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์, มาร์ค รัฟฟาโร กำกับการแสดงโดย เดวิด ฟินเชอร์
Credit: http://th.wikipedia.org

JK_Love

  • 1

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 26th March 2024 06:21

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ