โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
ชมรมคนชอบเรื่องลึกลับรับสมัครสมาชิกชมรม
เด็กซ่าบ้านแสบ
#1
เด็กซ่าบ้านแสบ
25-03-2011 - 13:32:23

#1 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 25-03-2011 - 13:32:23 ]






ยินดีต้อนรับทุกคน กระทู้นี้สามารถมีไว้ สืบ ค้น และสรุปเรื่องต่างๆ เช่นแวมไพร์ มนุษย์หมาป่า เป็นต้น
สามารถสรัครเป็นสมาชิกกระทู้ได้โดย เขียนว่า
ชื่อ .................(ชื่อเล่นได้ หรือ ที่เห็นในเว็บบอร์ดก็ได้นะ)
จะนำเรื่องลึกลับมาโพสต์ในช่วงเวลา ..................(1/2/3/4/5 สัปดาห์ หรือ ไม่กำหนด ก็ได้)


ส่วนข้างล่างผมโพสต์ก่อนล่ะนะ
เรื่อง แวมไพร์
ลักษณะแวมไพร์' เป็นผีตามความเชื่อของชาวยุโรป ในยุคกลาง เชื่อกันว่าเป็นผีดิบ โดยมีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันแพ้แสงแดด โดยความคิดนี้จะเชื่อว่่า แวมไพร์จะอาศัยในโลงศพ หรือ หลุมในเวลากลางวัน สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว, นกฮูก, หมาป่า, กบ, คางคก, แมลงเม่า, งูพิษ หรือสัตว์ประเภทอื่นๆสามารถกำบังกายหายตัวได้ ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก มีแรงมหาศาล

การกำจัดและป้องกันสิ่งที่จะกำราบแวมไพร์ได้คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน, น้ำมนตร์ หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด เช่น กระเทียม มีวิธีการป้องกันการรุกรานของแวมไพร์หลายวิธี เช่น บางหมู่บ้านจะโปรยเมล็ดข้าวไว้บนหลังคาบ้าน เพราะเชื่อว่าแวมไพร์จะง่วนกับการนับเมล็ดข้าวเป็นการถ่วงเวลาจนรุ่งเช้า หรือ โรยเศษขนมปังไว้ตั้งแต่สุสานให้แวมไพร์เดินเก็บเศษขนมนั้นวนเวียนไปมา หรือแม้แต่การวางไม้กางเขนหรือดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมเพื่อเป็นการพันธนาการไว้ในโลง

วิธีฆ่าแวมไพร์มีมากมาย เช่น ตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผา หรือ ตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของมัน จะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย และกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง

ความเชื่อสมัยโบราณชาวยุโรปในยุคกลางนั้น หวาดกลัวแวมไพร์มาก ผู้ที่สงสัยว่าเป็นแวมไพร์ จะตกอยู่ในสถานะเดียวกับแม่มด หรือ มนุษย์หมาป่า โดยการตัดสินลงโทษด้วย ตอกหมุดลงหัวใจหรือเผาทั้งเป็น




ความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรมเรื่องราวของผีแวมไพร์ มีมากมาย ที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรม โดยวรรณกรรมที่ว่าถึงแวมไพร์ที่เก่าแก่ที่สุด มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของแวมไพร์คือ เรื่องแดรกคูลา ของ บราม สโตกเกอร์ ที่โด่งดังจนมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร ละครเวที หรือแม้แต่กระทั่งภาพยนตร์การ์ตูนมากมายตราบจนปัจจุบัน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Nosferatu : A Symphony of Horror ในปี ค.ศ. 1922 เป็นต้น

เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องของแวมไพร์ที่สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ อาจมีที่มาจากที่ภูมิภาคอเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้ มีค้างคาวขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ Desmodontinae มีพฤติกรรมดูดเลือดสัตว์ที่ใหญ่กว่าเป็นอาหารในเวลากลางคืน ซึ่งค้าวคาวในวงศ์นี้ก็ได้มีการเรียกชื่อสามัญว่า แวมไพร์ เช่นกัน

ที่มาของคำพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ด ระบุการปรากฏครั้งแรกของคำว่า แวมไพร์ ในภาษาอังกฤษ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1734 ในสารคดีท่องเที่ยวที่ชื่อ Travels of Three English Gentlemen ตีพิมพ์ในหนังสือ Harleian Miscellany ในปี 1745 ในวรรณกรรมเยอรมันได้มีการถกกันเรื่องแวมไพร์มาแล้ว หลังจากที่ออสเตรียเพิ่มการควบคุมเซอร์เบียเหนือและ Oltenia ในปี ค.ศ. 1718 เจ้าหน้าที่บันทึกเกี่ยวกับร่างที่ขุดมาจากหลุมศพ และ "แวมไพร์ที่ตายแล้ว" รายงานนี้เขียนขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1725 ถึง ค.ศ. 1732 และได้รับรู้สู่สาธารณะ

ในภาษาอังกฤษคำนี้มาจาก เป็นไปได้ว่าเพี้ยนจากภาษาฝรั่งเศส vampyre ซึ่งมาจากภาษาเยอรมันว่า Vampir ซึ่งอาจมาจากภาษาเซอร์เบียในต้นคริสตวรรษที่ 18 คำว่า вампир/vampir ตามรูปแบบภาษาเซอร์เบียซึ่งคล้ายกับภาษากลุ่มสลาวิก มีการใช้คือ: ภาษาบัลแกเรีย вампир (vampir), ภาษาเช็กและสโลวัก upír, ภาษาโปแลนด์ wąpierz และ (บางทีอาจะรับอิทธิพลจากสลาวิกตะวันออก) upiór, ภาษารัสเซีย упырь (upyr'), ภาษาเบลารุส упыр (upyr), ภาษายูเครน упирь (upir'), ซึ่งมาจากภาษารัสเซียโบราณ упирь (upir') (หมายเหตุ ภาษาเหล่านี้มักยืมรูปแบบของ "vampir/wampir" จากทางตะวันตกที่เป็นคำดั้งเดิมท้องถิ่น) แต่ที่มาของคำนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่ามาจากภาษาอะไร

ในบรรดา รูปแบบสลาวิกดั้งเดิม *ǫpyrь และ *ǫpirь มีความเป็นไปได้ว่ามีรากศัพท์ความหมายของคำว่า "ค้างคาว" (เช็ค netopýr, สโลวัก netopier, โปแลนด์ nietoperz, รัสเซีย нетопырь / netopyr' - ชนิดของค้างคาว), คำในภาษาสโลวักอาจมีรากจากภาษาอินโดยูโรเปียนดั้งเดิม จากคำว่า "บิน"ทฤษฎีที่เก่ากว่านี้ที่ว่าว่า ภาษาสลาวิกขอยืมคำจากภาษาเตอร์กิก คำว่า "แม่มด" (เช่นคำว่า Tatar ubyr)

ความเชื่อพื้นถิ่นความเชื่อเกี่ยวกับลัทธิแวมไพร์มีมานานกว่าพันปี ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมอย่าง เมโสโปเตเมีย, ฮิบรู, กรีกโบราณ และโรมัน มีเรื่องเล่าของปีศาจและวิญญาณที่ตีความว่าเป็นที่มาของแวมไพร์สมัยใหม่ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ดูเหมือนสิ่งมีชีวิตคล้ายแวมไพร์ ในสมัยโบราณ ความเชื่อในรูปธรรมที่เรารู้ในปัจจุบันของต้นกำเนิดแวมไพร์ มักมาจากต้นศตวรรษที่ 18 ทางแถบตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรป เมื่อประเพณีการเล่าขานของคนหลายเผ่าพันธุ์ต่างบันทึกและตีพิมพ์ ในกรณีส่วนมาก แวมไพร์คือผีในรูปแบบปีศาจ, เหยื่อฆ่าตัวตาย, หรือผู้ใช้เวทมนตร์คาถา หรือถูกสร้างมาด้วยอำนาจวิญญาณความชั่วร้ายที่ครอบงำศพ หรือถูกกัดโดยแวมไพร์ ความเชื่อต่าง ๆ ในตำนานกระจายไปทั่วท้องที่ที่ก่อให้เกิดความผวาหวาดกลัวและมีการบังคับตามกฎหมายของคนที่เชื่อว่าเป็นแวมไพร์

คุณลักษณะเป็นการยากที่จะอธิบายถึงความหมายเพียงความหมายเดียวของความเชื่อเรื่องแวมไพร์ ถึงแม้ว่ามีหลายองค์ประกอบที่เหมือนกันในบางตำนานในยุโรป แวมไพร์มักมีการรายงานว่ามีลักษณะพอง มีเนื้อหนังเป็นสีม่วงหรือเข้ม จากลักษณะนี้ทำให้มีมีคุณสมบัติที่จะดื่มเลือด ซึ่งเลือดมักจะซึมออกจากปากหรือจมูกเมื่อพบในผ้าห่อศพหรือโลงศพ และมักมีตาซ้ายเปิด มักแต่งตัวในผ้าห่อศพจากผ้าลินิน และมีฟัน ผมและเล็บงอกออกมาเหมือนเขี้ยวสัตว์

คุณลักษณะอื่นมาจากวัฒนธรรมสู่วัฒนธรรม แวมไพร์บางพวก อย่างเช่นในเรื่องเล่าแถบทรานซิลเวเนีย แวมไพร์จะผอมแห้ง ซีด และมีเล็บนิ้วยาว ขณะที่ในบัลแกเรียมีโพรงจมูกรูเดียว และในแวมไพร์ในบาวาเรีย หลับโดยขัดนิ้วโป้งและมีตาเปิดหนึ่งข้าง แวมไพร์ในโมราเวีย จะทำร้ายต่อเมื่อเปลือยเท่านั้น และในเรื่องเล่าชาวอัลบาเนียจะสวมรองเท้าส้นสูง เรื่องเล่าต่าง ๆ ของแวมไพร์ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกส่วนของโลก ทั้งในอเมริกาและทุกที่ และในบางครั้งก็มีการอธิบายแวมไพร์ที่แปลกพิสดาร อย่างแวมไพร์เม็กซิกัน จะมีกะโหลกเปล่าแทนหัว ในบราซิล แวมไพร์ มีเท้าที่มีขนยาวมาจากเทือกเขาร็อกกี้ จะดูดเลือดจากทางจมูกโดยดูดจากทางหูของเหยื่อ ลักษณะทั่วไป ในบางครั้งจะอธิบายเช่น มีผมสีแดง ในบางรายงาน สามารถแปลงร่างเป็น ค้างคาว หนู สุนัข สุนัขจิ้งจอก แมงมุม หรือแม้กระทั่งผีเสื้อกลางคืน ในตำนานที่หลากหลาย อย่างเช่นผลงานวรรณกรรมอย่างเช่น แดรกคูลา และผู้กระหายเลือดทางประวัติศาสตร์อย่างเช่น Gilles de Rais, อลิซาเบธ บาโธรี่, และ วลาด เทเปซ แวมไพร์ก็พัฒนาออกมาในรูปแบบแบบแผนสมัยใหม่

การเกิดแวมไพร์สาเหตุของการสืบสายสายพันธุ์แวมไพร์ มีหลากหลายรูปแบบตามความเชื่อท้องถิ่น ในสลาวิกและความเชื่อจีน หากศพที่มีสัตว์กระโดดข้ามโดยเฉพาะหมาหรือแมว จะเกรงว่าจะทำให้ศพไม่ตาย[19] ร่างที่มีบาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษาโดยน้ำเดือดก็เสี่ยง ในความเชื่อรัสเซีย แวมไพร์มักถูกเคยเชื่อว่าเป็นพ่อมดหรือคนที่ขบถต่อโบสถ์ในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่

การปฏิบัติทางสังคมมักเกิดขึ้นจากความพยายามป้องกันการกลับมาของคนตาย การฝังศพคว่ำลงก็แพร่ขยายไปทั่วและฝังไปกับสิ่งของของมนุษย์ อย่างเช่น เคียวด้ามยาวหรือเคียวเกี่ยวข้าว ไว้ใกล้กับหลุมศพ เพื่อเอาใจเหล่าปีศาจที่จะเข้ามาในร่างหรือเพื่อระงับความตายที่จะไม่ทำให้พวกเขาลุกขึ้นจากหลุมศพ วิธีนี้ดูคล้ายกับวิธีปฏิบัติของชาวกรีกโบราณ ที่จะใส่โอโวลอส (เหรียญเงินเล็ก ๆ) ในปากศพ เป็นค่าธรรมเนียมในการข้ามแม่น้ำสติกซ์ในโลกหน้า แต่ก็ยังเป็นข้อถกเถียง เหรียญจะช่วยขจัดวิญญาณร้ายเข้าสู่ร่างกายและนี่อาจเป็นอิทธิพลให้กับความเชื่อพื้นบ้านเกี่ยวกับแวมไพร์ ธรรมเนียมนี้ยังคงมีอยู่ในประเพณีของกรีกสมัยใหม่เกี่ยวกับ vrykolakas ที่จะมีกางเขนทำจากขี้ผึ้งและชิ้นส่วนเครื่องปั้นดินเผาที่จารึกไว้ว่า "Jesus Christ conquers" วางบนศพเพื่อป้องกันการกลายเป็นแวมไพร์

วิธีปฏิบัติอื่นในยุโรป เช่น การแยกเส้นเอ็นที่หัวเข่า หรือ ใช้ท่อนไม้หรืออิฐยัดเข้าไปในปาก หรือการวางเมล็ดต้นป็อป..., ข้าวฟ่าง หรือทรายบนพื้นดินของหลุมศพที่เชื่อว่าเป็นแวมไพร์ เพื่อเป็นการป้องกันแวมไพร์ในช่วงกลางคืน โดยการนับเมล็ดข้าวที่ร่วงโรย คล้ายกับเรื่องเล่าของชาวจีนที่ว่า ถ้าแวมไพร์ของจีนกระโดดข้ามกระสอบข้าว จะต้องนับข้าวทุกเมล็ด เช่นเรื่องราวในนิทานของอินเดียและอเมริกาใต้ ที่เป็นเรื่องเล่าของพ่อมดและปีศาจหรือวิญญาณชั่วร้าย

การจำแนกแวมไพร์มีพิธีกรรมมากมายที่จะสามารถระบุถึงแวมไพร์ได้ หนึ่งในวิธีนั้นคือการหาหลุมศพของแวมไพร์ โดยนำม้าผู้บริสุทธิ์เดินผ่านสุสานหรือพื้นโบสถ์กับพ่อม้าบริสุทธิ์ - ม้ามักจะหยุดกะทันหันในที่ที่สงสัย โดยทั่วไปจะใช้ม้าดำ แต่ในอัลบาเนียจะใช้ม้าขาว หลุมที่ปรากฏบนพื้นมักจะมีลางว่าเกี่ยวข้องกับแวมไพร์

ศพที่จะเป็นแวมไพร์มักจะอธิบายว่าจะดูมีสุขภาพกว่าที่จะเป็น จะดูอ้วนและดูไม่มีสิ่งที่บ่งว่าจะเน่าเปื่อย ในบางกรณี เมื่อหลุมศพที่น่าสงสัยถูกเปิดออก ชาวบ้านก็เล่าว่า ศพดูมีเลือดไหลเวียนที่มาจากเหยื่อไปทั่วหน้า หลักฐานที่พบว่ามีแวมไพร์อยู่อย่างเช่น การตายของวัวควาย, แกะ หรือเพื่อนบ้านเอง เรื่องเล่าเกี่ยวกับแวมไพร์ทำให้รู้สึกได้ว่ามีส่วนร่วมผีที่ส่งเสียงหลอกหลอนคน อย่างเช่น หินที่ขว้างปามาโดนหลังคาหรือการเคลื่อนไหวของของในบ้าน หรือความรู้สึกอึดอัดของคนเมื่อนอนหลับ

โรคแวมไพร์ในปี ค.ศ.1968 ได้มีการค้นพบโรค ที่แพ้แสงแดด หากโดยแสงมาก ผิวหนังจะต้านทานด้วยดารเปลี่ยนสีและเกิดแผลพุพอง หรือ ตุ่มน้ำจำนวนมากขึ้นมาตามบนิเวณที่เป็น โดยส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจโรคนี้จึงไม่มีวิธีการรักษา ต่อมาในปี 1996 หลังจากที่ นาซ่าได้ส่งมนุษย์ไปสำรวจอวกาศได้พบว่า รังสีอุตร้าไวโอแลต ได้มีผลเช่นเดียวกับโรคแวมไพร์ คือ ได้รับรังสีมากไปนั้นเอง จังได้มีการประกาศเป็นโรคมิใช่ คำสาปตามที่ชาวบ้านเข้าใจ โดยวิธีการรักษานั้น ยุ่งยากมาก โดยมีข้อจำกัดมากมาย และต้องสวมชึดป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอแลต เป็นชึดแบบเดียวกันนักบินอวกาศใช้ในอวกาศเลยทีเดียว ไม่มีวิธีรักษาที่หายขาดแต่มีการวิจัยว่า เป็นโรคทางกรรมพันธ์โดยการรับรู้ของเซลล์แตกต่างจากมนุษย์ปกติ ไวแสดงเป็นพิเศษ และมีการต่อต้านในตัวเซลล์ที่โดนแสดงจะมีการทำลายออกมาเป็นตุ่มแผลหรืออากาศอย่างอื่นเช่น น้ำตาแห้ง แสบผิว เซลล์เม็ดสีเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างผิดปกติ แต่ไม่มากเท่า มะเร็ง

ป.ล. ระหวังตาลายเพราะอ่านมากนะครับ5555

pplammm

Pom_
#2
25-03-2011 - 13:44:50

#2 Pom_  [ 25-03-2011 - 13:44:50 ]







เราไม่สมัครได้ไหมแค่ขอเอาเรื่องลึกลับมาให้ได้ชมก็พอ ด..ได้ไหม

pplammm

pplammm
#3
25-03-2011 - 13:47:42

#3 pplammm  [ 25-03-2011 - 13:47:42 ]




สมัคร อยากรู้จริงว่ามันจะมีจริงรึเปล่า

ชื่อ ปาล์ม
อายุ 17 ปี


เด็กซ่าบ้านแสบ
#4
เด็กซ่าบ้านแสบ
25-03-2011 - 13:49:23

#4 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 25-03-2011 - 13:49:23 ]






quote : Pom_

เราไม่สมัครได้ไหมแค่ขอเอาเรื่องลึกลับมาให้ได้ชมก็พอ ด..ได้ไหม

Ok เลย


เด็กซ่าบ้านแสบ
#5
เด็กซ่าบ้านแสบ
25-03-2011 - 13:50:39

#5 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 25-03-2011 - 13:50:39 ]






quote : pplammm

สมัคร อยากรู้จริงว่ามันจะมีจริงรึเปล่า

ชื่อ ปาล์ม
อายุ 17 ปี

1/2/3/4/5 สัปดาห์ หรืออะไรครับ


Pom_
#6
25-03-2011 - 13:58:42

#6 Pom_  [ 25-03-2011 - 13:58:42 ]







เรื่องเมดูซ่า ในตำนานของกรีกนั้น เมดูซ่า (อังกฤษ: Medusa) เป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ (จ้องตา) คนผู้นั้นจะกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซ่าจะมีความร้ายกาจดังที่เป็นที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซ่านั้นเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก เมดูซ่า เป็นลูกสาวของเทพแห่งท้องทะเล ฟอซิส และนางซีโต นางถือเป็นหลานของเทพีไกอาและเทพพอนทัส มีพี่น้องคือ สเธโน ยูริอาลี และกราเอีย อยู่มาวันหนึ่งเมดูซ่าที่เป็นสาวงาม มีชายหลายคนหมายปองเป็นเจ้าของ ก็ได้ไปบูชาเทพเอเทน่ายังวิหารของเอเทน่า แล้วเทพโพไซดอน (Poseidon) ก็เห็นเมดูซ่าที่มีหน้าตาสวยงามมาก จึงต้องการครอบครองเมดูซ่าเป็นของตน จึงใช้กำลังขืนใจเมดูซ่า อาเทน่าเห็นดังนั้นจึงใส่ความเมดูซ่าว่า ลบหลู่เอเทน่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายหน้าตาน่าเกลียด และสาบให้ผมสวยงามของเมดูซ่าเป็นงูเต็มหัวเมดูซ่า เมื่อเป็นเช่นนี้เมดูซ่าต้องได้รับความอับอาย โกรธแค้นจึงได้ใช้ความเกลียดชังนั้นมาเป็นพลังในการสาบคนที่มองหน้าเธอให้กลายเป็นหินไป เพื่อตอบแทนสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เมดูซ่าจึงกลายเป็นมารร้ายที่สุดตนนึงในตำนานกรีก
สุดท้ายเมดูซ่าก็ถูกเพอร์ซีอุสฆ่าตายจากการถูกเพอร์เซอุสใช้ดาบและโล่ที่ได้ประทานมาจากเอเทน่าฟันคอขาดโดยมองเมดูซ่าจากโล่ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเอเทน่าเป็นคนอยู่เบื้องหลังในการตายของเมดูซ่า ที่เอเทน่าให้เพอร์เซอุสไปฆ่าเมดูซ่าแทนนั้นเพราะอาเทน่าเป็นเทพแล้วจึงใช้อำนาจในทางที่ผิดได้ไม่มาก จึงใช้มือของเพอร์เซอุสในการทำการเรื่องนี้เมดูซ่าเคยปรากฎตัวในภาพยนต์หลายเรื่องเช่น สงครามมหาเทพประจัญบาณ
เครดิต : http://th.wikipedia.org
คือวันก่อนเราเพิ่งดูเพอร์ซี่ แจ็คสัน น่ะเห็นมีเมดูซ่าเลยสนใจเลยเอามาฝากกัน


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-03-25 13:59:15

pplammm
#7
25-03-2011 - 14:08:40

#7 pplammm  [ 25-03-2011 - 14:08:40 ]




ปฏิทินมายาตำนานลึกลับของโลก
ความวันนี้ เป็นข้อมูลเก่าแก่ที่ถูกทิ้งไว้นับพันๆ ปีโดยไม่ มีคนสนใจ ข้อมูลที่มีส่วนหนึ่งพ้องจองกับความเห็นและการคาดการณ์ทาง ด้านวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ ที่กล่าวมาข้างบนนั้นอย่างน่าแปลกใจ แต่ส่วนหนึ่งจะเป็นประเด็นทางจิตวิญญาณ โดยเฉพาะการเปลี่ยนย้าย กระบวนทัศน์ของมนุษยชาติและสังคมอย่างน่าสนใจ แม้ว่าอีกส่วนใหญ่ของ ข้อมูลเก่าแก่ที่ว่านี้จะเป็นคำทำนาย (กินเวลายาวนานถึง 64 ล้านปีของอ นาคต) ที่อยู่นอกความรู้ความเข้าใจจนเกินไป จนเป็นเหตุให้ข้อมูลถูกโยน ทิ้งหรือเก็บไว้จนหลงลืมกันไปทั้งหมด กระทั่งมีการรื้อฟื้นนำมาศึกษาติดตาม กันใหม่เมื่อทศวรรษที่แล้วๆ มานี้เอง

ข้อมูลส่วนหนึ่งที่น่าสนใจดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่นักศึกษาด้าน ความสัมพันธ์ของวิชาความรู้ต่างสาขาน่าจะลองอ่านดู จริงๆ แล้วข้อมูลทั้ง หมดที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้ เป็นกรณีศึกษาของโครงการรายวิชาของสถาบัน ความสัมพันธ์ทางความรู้ที่คณะหนึ่งของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (California Insitute of Integral Studies) และกำลังเป็นประเด็นร้อนที่พูด กันมากในประเทศตะวันตกในเวลานี้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เรียกกันว่ากลุ่ม นิวเอจ (newagers) และกลุ่มวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Cultural Creatives or CC) ด้วย นั่นคือสภาพของความสะท้านสะเทือนระดับโลกที่จะเกิดขึ้น ในปี 2012 และหลังจากนั้น (the shock of 2012) ซึ่งก็เป็นช่วงเวลา เดียวกับช่วงเวลาของการเดินทางของจิตวิญญาณ สู่มิติของธรรมจิตธรรม วิญญาณ

(spiritual dimension)
ข้อมูลดังกล่าว ได้มีการบันทึกเอาไว้ในปฏิทินของชาวเผ่า มายาแห่งอเมริกากลาง (Maya Calendar) มาตั้งแต่ช่วงต้นๆ ของคริสตกาล ชาวมายาเป็นชนเผ่าพันธุ์หนึ่งที่อยู่บริเวณพื้นที่ของกัวเตมาลา และบริเวณที่ เผ่าเซียปาสของเม็กซิโกอาศัยในปัจจุบัน แต่ไม่มีใครรู้ที่มาของชาวมายาว่า มาจากไหน เพราะเป็นชนผิวขาวร่างสูงและจมูกโด่ง มีริมฝีปากบางที่เป็น ตรงกันข้ามกับเผ่าโอลเม็คที่เป็นชนเผ่าเก่าแก่ที่สุดของอเมริกากลาง เป็นตรง กันข้ามในทุกกรณีดังภาพวาดภาพปั้นที่หลงเหลือมาตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนคริสต กาล (อารยธรรม La Venta อาจย้อนหลังไปถึง 800 ปีก่อนคริสตกาล) นักมนุษยศาสตร์และนักโบราณคดีบางคนคิดว่า ชาวมายามีที่มาจากชาวกรี กหรืออียิปต์ในยุคหลังๆ (Jonarthan Leonard ; Ancient America, Time- Life Book, 1968) และที่น่าแปลกอีกก็คือ อยู่ๆ ชาวมายาทั้งเผ่าพันธุ์ก็ สลายหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยหรือหลักฐานทางวิชาการใดๆ หลงเหลือให้นัก โบราณคดีสืบเสาะได้เลย
ปฏิทินของชาวมายานั้นเป็นผลของการคำนวณทางดาราศาสตร์ ที่แม่นยำที่สุดยิ่งกว่าปฏิทินใดๆ การคำนวณเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ตามที่ บันทึกไว้นั้น (ชาวมายามีปฏิทินหลักหนึ่งปฏิทิน และมีปฏิทินที่คำนวณ เหตุการณ์ทางดาราศาสตร์อีก 22 ปฏิทิน) ที่มีความแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ และยังไม่เคยปรากฏว่าผิดไปจากความจริง หรือแตกต่างไปจากการคำนวณ ของนักดาราศาสตร์ในเวลาปัจจุบันแม้แต่รายการเดียว ดังรายละเอียดบาง อย่างของปฏิทินของชาวมายาที่เอามาลงเพื่อให้ผู้อ่านสนใจจะได้พิจารณา และอาจติดตามต่อไปจากเอกสารอ้างอิงไว้ที่ท้ายของบทความนี้

ชาวมายาสามารถคำนวณเวลาของการโคจรของดาวเคราะห์วิ่ง รอบดวงอาทิตย์ ที่ชาวมายารู้แต่แรกว่าเป็นแกนกลางของระบบสุริยะ ระบบที่เป็นเพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่งของแขน (arm) หนึ่งของกาแล็กซีที่ชาว มายาบอกว่ามีแกนที่เป็นดวงอาทิตย์ศูนย์กลางอีกดวงหนึ่ง (sun alcione เป็นดาวฤกษ์ในกลุ่มไพลเอดส์) ปฏิทินของชาวมายาระบุว่า ดาวศุกร์ใช้เวลา เดินทางไปรอบดวงอาทิตย์ 584 วัน ซึ่งเท่ากับที่เป็นเวลาที่เรารู้กันทุกวันนี้ หรือบันทึกว่าโลกใช้เวลาเดินทางรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบหรือหนึ่งปีเท่ากับ 365.2420 วัน ซึ่งตัวเลขที่แท้จริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันคือ 365.2422 วัน ปฏิทินของชาวมายายังระบุว่า ระบบสุริยะมีวัฏจักรของการเคลื่อนที่ไออยู่ใน ระนาบเดียวกัน (ecliptic) กับระนาบของแกนของแขนกาแล็กซีที่กล่าวมา ข้างต้นในทุกๆ 26,000 ปี โดยมีครึ่งหนึ่งของวัฏจักร จะมีวันที่เรียกว่า อะควิน็อกซ์ หรือวันที่มีเวลากลางวันเท่ากับกลางคืนเปลี่ยนไป (เช่นวันที่ 23 กันยายน คือวันอะควิน็อกซ์ของฤดูใบไม้ผลิของปฏิทินของปัจจุบัน) ระบบสุริยะ (รวมทั้งโลกและดาวเคราะห์ทั้งหลาย) จะเข้าสู่ระนาบเช่นนั้นใน เดือนธันวาคม ปี 2012 นี้







หลังจากปี 2012 มีสี่ประการที่จะเกิดขึ้นคือ..

1.มนุษยชาติจะก้าวล่วงเทคโนโลยีที่เราใช้และรู้จักในขณะนี้ แทบทั้งหมด
2.มนุษยชาติจะก้าวล่วงรูปแบบของเวลาและเงินในรูปที่ใช้กัน ในขณะนี้
3.เราจะผ่านเข้าสู่มิติที่ห้าอันเป็นมิติจิตวิญญาณ - จากมิติที่สี่ - วิกฤติที่เจ็บปวด
4.ระนาบของระบบสุริยะจะอยู่ในระนาบเดียวกับระนาบของ กาแล็กซี


ปฏิทินมายาบอกด้วยว่า ในช่วงเวลาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 1987 กระทั่งถึงช่วงปี 2012 เป็นช่วงเวลาระหว่างกลางของมิติที่ 4 สู่มิติที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงอันตราย เพราะเป็นช่วงที่จะมีความล่มสลายในทางธรรมชาติ และจิตวิญญาณของชาวโลกส่วนใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็จะมีการเปลี่ยน แปลงทางจิตวิญญาณของคนอีกส่วนหนึ่ง (apocalypse แปลว่าการเปิดเผยที่ หมายถึงวิวัฒนาการทางจิตอีกด้วย) น่าแปลกที่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวของ เวลาจะสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของความถี่ของกระแสแม่เหล็กโลก ที่สะท้อนออกมาตามการหมุนรอบตัวเองของโลก (Schumann Resonance ที่เคยคงที่ที่ความถี่ 7.8 เฮิรตซ์ หรือรอบต่อวินาทีทุกวันนี้ได้สูงขึ้นเป็น 11.8 รอบต่อวินาที)
โดยปฏิทินของชาวมายา มิติที่ 5 หรือหลังปี 2012 คือช่วงเวลาที่มนุษยชาติส่วนหนึ่ง จะมีวิวัฒนาการสู่แสงใสกระจ่าง (แปลกอีกที่ใช้คำว่า clear light เช่นเดียวกับในคัมภีร์พีระมิดของอียิปต์ และคัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต ที่มีความหมายสู่จิตวิญญาณบริสุทธิ์) (Erich Von Danikens, Chariots of the Gods, 1970 ; Jonathan Leonard ; Ancient America, 1968 ; Handbook of Atmospheric Electro-dynamics, 1995




เครดิต http://mietk7.blogspot.com/2009/06/blog-post_5690.html

bet

pplammm
#8
25-03-2011 - 14:10:07

#8 pplammm  [ 25-03-2011 - 14:10:07 ]




quote : เด็กซ่าบ้านแสบ

quote : pplammm

สมัคร อยากรู้จริงว่ามันจะมีจริงรึเปล่า

ชื่อ ปาล์ม
อายุ 17 ปี

1/2/3/4/5 สัปดาห์ หรืออะไรครับ



ขอไม่กำหนดดีกว่า


เด็กซ่าบ้านแสบ
#9
เด็กซ่าบ้านแสบ
25-03-2011 - 14:11:40

#9 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 25-03-2011 - 14:11:40 ]






quote : pplammm

quote : เด็กซ่าบ้านแสบ

quote : pplammm

สมัคร อยากรู้จริงว่ามันจะมีจริงรึเปล่า

ชื่อ ปาล์ม
อายุ 17 ปี

1/2/3/4/5 สัปดาห์ หรืออะไรครับ



ขอไม่กำหนดดีกว่า

ok


Galaxy-Gun
#10
25-03-2011 - 14:17:48

#10 Galaxy-Gun  [ 25-03-2011 - 14:17:48 ]




quote :
ปฏิทินมายาตำนานลึกลับของโลก
ความวันนี้ เป็นข้อมูลเก่าแก่ที่ถูกทิ้งไว้นับพันๆ ปีโดยไม่ มีคนสนใจ ข้อมูลที่มีส่วนหนึ่งพ้องจองกับความเห็นและการคาดการณ์ทาง ด้านวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ ที่กล่าวมาข้างบนนั้นอย่างน่าแปลกใจ แต่ส่วนหนึ่งจะเป็นประเด็นทางจิตวิญญาณ โดยเฉพาะการเปลี่ยนย้าย กระบวนทัศน์ของมนุษยชาติและสังคมอย่างน่าสนใจ แม้ว่าอีกส่วนใหญ่ของ ข้อมูลเก่าแก่ที่ว่านี้จะเป็นคำทำนาย (กินเวลายาวนานถึง 64 ล้านปีของอ นาคต) ที่อยู่นอกความรู้ความเข้าใจจนเกินไป จนเป็นเหตุให้ข้อมูลถูกโยน ทิ้งหรือเก็บไว้จนหลงลืมกันไปทั้งหมด กระทั่งมีการรื้อฟื้นนำมาศึกษาติดตาม กันใหม่เมื่อทศวรรษที่แล้วๆ มานี้เอง

ข้อมูลส่วนหนึ่งที่น่าสนใจดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่นักศึกษาด้าน ความสัมพันธ์ของวิชาความรู้ต่างสาขาน่าจะลองอ่านดู จริงๆ แล้วข้อมูลทั้ง หมดที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้ เป็นกรณีศึกษาของโครงการรายวิชาของสถาบัน ความสัมพันธ์ทางความรู้ที่คณะหนึ่งของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (California Insitute of Integral Studies) และกำลังเป็นประเด็นร้อนที่พูด กันมากในประเทศตะวันตกในเวลานี้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เรียกกันว่ากลุ่ม นิวเอจ (newagers) และกลุ่มวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Cultural Creatives or CC) ด้วย นั่นคือสภาพของความสะท้านสะเทือนระดับโลกที่จะเกิดขึ้น ในปี 2012 และหลังจากนั้น (the shock of 2012) ซึ่งก็เป็นช่วงเวลา เดียวกับช่วงเวลาของการเดินทางของจิตวิญญาณ สู่มิติของธรรมจิตธรรม วิญญาณ

(spiritual dimension)
ข้อมูลดังกล่าว ได้มีการบันทึกเอาไว้ในปฏิทินของชาวเผ่า มายาแห่งอเมริกากลาง (Maya Calendar) มาตั้งแต่ช่วงต้นๆ ของคริสตกาล ชาวมายาเป็นชนเผ่าพันธุ์หนึ่งที่อยู่บริเวณพื้นที่ของกัวเตมาลา และบริเวณที่ เผ่าเซียปาสของเม็กซิโกอาศัยในปัจจุบัน แต่ไม่มีใครรู้ที่มาของชาวมายาว่า มาจากไหน เพราะเป็นชนผิวขาวร่างสูงและจมูกโด่ง มีริมฝีปากบางที่เป็น ตรงกันข้ามกับเผ่าโอลเม็คที่เป็นชนเผ่าเก่าแก่ที่สุดของอเมริกากลาง เป็นตรง กันข้ามในทุกกรณีดังภาพวาดภาพปั้นที่หลงเหลือมาตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนคริสต กาล (อารยธรรม La Venta อาจย้อนหลังไปถึง 800 ปีก่อนคริสตกาล) นักมนุษยศาสตร์และนักโบราณคดีบางคนคิดว่า ชาวมายามีที่มาจากชาวกรี กหรืออียิปต์ในยุคหลังๆ (Jonarthan Leonard ; Ancient America, Time- Life Book, 1968) และที่น่าแปลกอีกก็คือ อยู่ๆ ชาวมายาทั้งเผ่าพันธุ์ก็ สลายหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยหรือหลักฐานทางวิชาการใดๆ หลงเหลือให้นัก โบราณคดีสืบเสาะได้เลย
ปฏิทินของชาวมายานั้นเป็นผลของการคำนวณทางดาราศาสตร์ ที่แม่นยำที่สุดยิ่งกว่าปฏิทินใดๆ การคำนวณเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ตามที่ บันทึกไว้นั้น (ชาวมายามีปฏิทินหลักหนึ่งปฏิทิน และมีปฏิทินที่คำนวณ เหตุการณ์ทางดาราศาสตร์อีก 22 ปฏิทิน) ที่มีความแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ และยังไม่เคยปรากฏว่าผิดไปจากความจริง หรือแตกต่างไปจากการคำนวณ ของนักดาราศาสตร์ในเวลาปัจจุบันแม้แต่รายการเดียว ดังรายละเอียดบาง อย่างของปฏิทินของชาวมายาที่เอามาลงเพื่อให้ผู้อ่านสนใจจะได้พิจารณา และอาจติดตามต่อไปจากเอกสารอ้างอิงไว้ที่ท้ายของบทความนี้

ชาวมายาสามารถคำนวณเวลาของการโคจรของดาวเคราะห์วิ่ง รอบดวงอาทิตย์ ที่ชาวมายารู้แต่แรกว่าเป็นแกนกลางของระบบสุริยะ ระบบที่เป็นเพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่งของแขน (arm) หนึ่งของกาแล็กซีที่ชาว มายาบอกว่ามีแกนที่เป็นดวงอาทิตย์ศูนย์กลางอีกดวงหนึ่ง (sun alcione เป็นดาวฤกษ์ในกลุ่มไพลเอดส์) ปฏิทินของชาวมายาระบุว่า ดาวศุกร์ใช้เวลา เดินทางไปรอบดวงอาทิตย์ 584 วัน ซึ่งเท่ากับที่เป็นเวลาที่เรารู้กันทุกวันนี้ หรือบันทึกว่าโลกใช้เวลาเดินทางรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบหรือหนึ่งปีเท่ากับ 365.2420 วัน ซึ่งตัวเลขที่แท้จริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันคือ 365.2422 วัน ปฏิทินของชาวมายายังระบุว่า ระบบสุริยะมีวัฏจักรของการเคลื่อนที่ไออยู่ใน ระนาบเดียวกัน (ecliptic) กับระนาบของแกนของแขนกาแล็กซีที่กล่าวมา ข้างต้นในทุกๆ 26,000 ปี โดยมีครึ่งหนึ่งของวัฏจักร จะมีวันที่เรียกว่า อะควิน็อกซ์ หรือวันที่มีเวลากลางวันเท่ากับกลางคืนเปลี่ยนไป (เช่นวันที่ 23 กันยายน คือวันอะควิน็อกซ์ของฤดูใบไม้ผลิของปฏิทินของปัจจุบัน) ระบบสุริยะ (รวมทั้งโลกและดาวเคราะห์ทั้งหลาย) จะเข้าสู่ระนาบเช่นนั้นใน เดือนธันวาคม ปี 2012 นี้







หลังจากปี 2012 มีสี่ประการที่จะเกิดขึ้นคือ..

1.มนุษยชาติจะก้าวล่วงเทคโนโลยีที่เราใช้และรู้จักในขณะนี้ แทบทั้งหมด
2.มนุษยชาติจะก้าวล่วงรูปแบบของเวลาและเงินในรูปที่ใช้กัน ในขณะนี้
3.เราจะผ่านเข้าสู่มิติที่ห้าอันเป็นมิติจิตวิญญาณ - จากมิติที่สี่ - วิกฤติที่เจ็บปวด
4.ระนาบของระบบสุริยะจะอยู่ในระนาบเดียวกับระนาบของ กาแล็กซี


ปฏิทินมายาบอกด้วยว่า ในช่วงเวลาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 1987 กระทั่งถึงช่วงปี 2012 เป็นช่วงเวลาระหว่างกลางของมิติที่ 4 สู่มิติที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงอันตราย เพราะเป็นช่วงที่จะมีความล่มสลายในทางธรรมชาติ และจิตวิญญาณของชาวโลกส่วนใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็จะมีการเปลี่ยน แปลงทางจิตวิญญาณของคนอีกส่วนหนึ่ง (apocalypse แปลว่าการเปิดเผยที่ หมายถึงวิวัฒนาการทางจิตอีกด้วย) น่าแปลกที่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวของ เวลาจะสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของความถี่ของกระแสแม่เหล็กโลก ที่สะท้อนออกมาตามการหมุนรอบตัวเองของโลก (Schumann Resonance ที่เคยคงที่ที่ความถี่ 7.8 เฮิรตซ์ หรือรอบต่อวินาทีทุกวันนี้ได้สูงขึ้นเป็น 11.8 รอบต่อวินาที)
โดยปฏิทินของชาวมายา มิติที่ 5 หรือหลังปี 2012 คือช่วงเวลาที่มนุษยชาติส่วนหนึ่ง จะมีวิวัฒนาการสู่แสงใสกระจ่าง (แปลกอีกที่ใช้คำว่า clear light เช่นเดียวกับในคัมภีร์พีระมิดของอียิปต์ และคัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต ที่มีความหมายสู่จิตวิญญาณบริสุทธิ์) (Erich Von Danikens, Chariots of the Gods, 1970 ; Jonathan Leonard ; Ancient America, 1968 ; Handbook of Atmospheric Electro-dynamics, 1995


หรือว่าเผ่ามายาคือ พวกคนที่ย้อนเวลามา(นั่งtimeของโดราเอมอนมา)


เด็กซ่าบ้านแสบ
#11
เด็กซ่าบ้านแสบ
25-03-2011 - 14:20:45

#11 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 25-03-2011 - 14:20:45 ]






ขอแจ้งสมาชิกชมรมทุกคนร่วมทั้งผู้ที่ส่งมาแล้ว วิธีการไขคดีลึกลับจะทำตามขั้นตอนต่อนไปนี้
1หาเรื่องที่อยากสืบเมื่อทุกคนหาเรื่องที่ตนจะสืบมาได้แล้วก็ต่อขั้น2กันเลย
2 ค้นหาข้อมูลที่จะเป็นไปได้
3 ค้นหาข้อเท็จจริง
4 ประมวนผล
5 สรุป
เมื่อทำเส็รจทุกขั้นตอนแล้วก็หาเรื่องที่จะสืบใหมใครที่ทำเสร็จก่อนจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็น รอง หรืออะไรประมาณเนี่ยOK



pplammm
#12
25-03-2011 - 14:24:13

#12 pplammm  [ 25-03-2011 - 14:24:13 ]




ลงพื้นที่จริงๆ เลยไหม อันนี้ผม ทำบ่อย


เด็กซ่าบ้านแสบ
#13
เด็กซ่าบ้านแสบ
25-03-2011 - 14:28:57

#13 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 25-03-2011 - 14:28:57 ]






quote : pplammm

ลงพื้นที่จริงๆ เลยไหม อันนี้ผม ทำบ่อย

ถ้าสะดวกก็ลงพื้นที่จริงๆเลยก็ผมไม่บังคับครับ
ถ้าได้ข้อมูลจริงก็ดีครับ


เด็กซ่าบ้านแสบ
#14
เด็กซ่าบ้านแสบ
25-03-2011 - 14:34:18

#14 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 25-03-2011 - 14:34:18 ]






ทำงานๆๆๆๆๆ


pplammm
#15
27-03-2011 - 23:19:02

#15 pplammm  [ 27-03-2011 - 23:19:02 ]




โดยทั่วไปคนเรียกมันว่า "ผ้าห่อศพแห่งตูริน" (Shroud of Turin)

ผ้าห่อศพแห่งตูรินเป็นแถบผ้าลินินซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่าและมีความเกี่ยวข้องผูกพันกับหลายแผ่นดิน ทั้งพระเจ้าแผ่นดิน ขุนนาง นักรบ และผู้นำทางศาสนาคริสต์ รวมไปถึงพวกนักหลอกลวงหากินด้วย


ในปัจจุบันการสืบสวนหาความจริงของเรื่องที่มาของผ้าห่อศพแห่งตูรินได้กระทำกันโดยผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย ได้แก่ นักประวัติศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ นักพยาธิวิทยา นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการถักทอ นักเคมี นักฟิสิกส์และผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพ

ร่องรอยที่สำคัญคือรูปร่างอันเด่นชัดที่ปรากฏอยู่บนผ้าห่อศพผืนนั้นที่เป็นภาพเสมือนภาพถ่ายหรือเงา ซึ่งมีรูปร่างคล้ายปิศาจขนาดเท่าคนจริง เป็นเรือนร่างของผู้ชายไม่ได้ใส่เสื้อผ้า มีหนวดเครายาว ผมยาว มีรูปใบหน้าดูเงียบสงบแม้จะเป็นขณะอยู่ในห้วงของความตายก็ตาม ดูเสมือนว่าความสง่างาม แฝงด้วยความเงียบสงบภายใต้ความน่ากลัว ประกอบกันขึ้นโดยผลงานอันพึงมีจากศิลปินยอดเยี่ยมของโลกเลยทีเดียว


รูปร่างแม้จะถูกต้องตามหลักกายภาพทุกสัดส่วน แต่ก็ยังปรากฏให้เห็นถึงร่องรอยของการถูกทรมานอย่างทารุณด้วยการเฆี่ยนตี การถูก ตรึงไว้บนไม้กางเขน การถูกแทงด้วยหอกหรือของแหลมคม ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องราวในตำนานคริสต์ (Gospel) แล้ว ก็ตรงกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับองค์ "พระเยซูเจ้าแห่งนาซาเรท" (Jessus of Nazareth)

และปัจจุบันก็มีผู้ที่เชื่อว่าผ้าห่อศพสีงาช้างนี้ เป็นผ้าผืนเดียวกับ ที่ โยเซฟแห่งอริมาเธีย (Joseph of Arimathaea) ใช้รองข้างใต้ และคลุมพระวรกายของพระเยซู ในหลุมฝังศพใกล้กับเมืองกอลกอตทา (Golgotha) เมื่อประมาณเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว


ผ้าห่อศพนี้ค้นพบครั้งแรกราวกลางคริสตศตวรรษที่ 14 ณ เมืองลิเรย์ (Lirey) ประเทศฝรั่งเศส เจ้าของเดิมเป็นอัศวินผู้มีชื่อเสียง ชื่อ จอฟฟรีย์ เดอ ชาร์นี (Geoffrey de Charny) จากนั้นผ้าห่อศพผืนนี้ก็ได้ถูกเปลี่ยนมือและระเหเร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาประดิษฐานที่ตูรินหรือโตริโน (Torino) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเพียดมองต์ (Piedmont) ในประเทศอิตาลี


รอยโลหิตที่ปรากฏมีสีเข้มกว่าส่วนอื่นที่เป็นรอยร่างกาย และมองเห็นได้อย่างเห็นชัด รอยโลหิตที่ไหลลงมาเป็นทางจากส่วนศีรษะ และส่วนของแขนทั้งสอง รอยเปื้นเป็นรอยใหญ่ที่ด้านข้างของร่างกาย ข้อมือและเท้ามีรอยที่เข้าใจว่าเกิดการตอกตะปู บาดแผลนับสิบๆ แผลตามร่างกายอันเกิดจากการเฆี่ยนตี ที่ปลายของรอยแผลแบบนี้จะเป็นรอยชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากแส้ที่ใช้เฆี่ยนตีของชาวโรมัน เรียกว่า "ฟลากรัม" (flagrum)


ตรงปลายสายแส้ซึ่งทำด้วยเชือกหรือเส้นหนัง จะมีปุ่มหรือก้อนตะกั่วหรือกระดูกผูกติดไว้ด้วย มองเห็นได้ชัดเจนว่าเจ้า ของรูปร่างที่ปรากฏอยู่บนผืนผ้านี้ได้ผ่านการทารุณที่โหด...มอย่างไร้มนุษยธรรม



ภาพเต็มตัวของผ้าหอศพแห่งตูริน
ในปี ค.ศ.1898 เซคอนโด เปีย (Secondo Pia) ได้ทำการถ่ายภาพผ้าห่อศพผืนนี้ แล้วตรวจสอบภาพเนกาทีฟที่ปรากฏออกมา เขารู้สึกตกใจมากเพราะมันไม่ไช่ภาพเนกาทีฟ แต่มันกลับเป็นภาพโพสิทีฟที่ชัดเจน ส่วนแสงและเงาที่ปรากฏบนผ้านั้นปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด และดูเป็นภาพที่เหมือนจริงอย่างยิ่ง และยังแสดงถึงรายละเอียดต่างๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอีกด้วย นั่นก็แสดงว่าภาพจริงๆ บนผ้าห่อศพเป็นภาพเนกาทีฟอยู่ก่อนแล้วนั่นเอง.....


จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะในสมัยนั้นยังไม่ได้คิดค้นการถ่ายรูป ดังนั้น ยูลีส เชวาเลีย (Ulysse Chevalier) บุรุษผู้มีความรู้ผู้หนึ่งของฝรั่งเศสจึงบอกว่าผ้าห่อศพผืนนี้เป็นของปลอมแน่นอน

จากนั้นได้มีการศึกษาผ้าห่อศพนี้อีก โดยมีคนพยายามที่จะวาดภาพแบบเนกาทีฟลงบนผืนผ้าโดยใช้สีต่างๆ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จากนั้นจึงได้มีการทดลองใช้ "เมอร์" (Myrrh เป็นยางหอมที่ได้จากต้นไม้ชนิดหนึ่งใช้ทำน้ำหอมและธูปบูชา ) ทดลองใช้ "อโลส์" (Aloes เครื่องเทศชนิดหนึ่ง ใช้ผสมกับน้ำมันหอมใช้มากในพิธีศพ )


โดยพบว่าถ้านำเมอร์ผสมกับอโลส์ทาตัวศพซึ่งคาดว่าคนในสมัยโบราณใช้วิธีการนี้ในพิธีทางศาสนา อาจจะมีปฏิกิริยากับผ้าที่ใช้ห่อศพก็ได้ และเหงื่อของคนตายที่ตายเพราะถูกรมานอย่างเจ็บปวด จะมียูเรียขับออกมาเป็นจำนวนมาก สารนี้นานไปก็จะสลายเป็นแอมโมเนีย ระเหยออกมา ไอระเหยนี้เข้าใจว่าจะทำปฏิกิริยากับน้ำมันที่ชุ่มอยู่ในผ้าห่อศพ และทำให้เกิดการเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลได้ อย่างไรก็ตามการค้นพบนี้ก็ไม่เป็นที่ยอมรับเท่าใดนัก




ภาพสแกนจากคอมพิวเตอร์ จะปรากฏให้เห็นเป็นใบหน้าชายลึกลับ
ต่อมาได้มีการศึกษาด้านสรีรวิทยา โดยทดลองกับศพจริงๆ หลายศพ พบว่าตะปูที่ตอกอุ้งมือนั้นไม่สามารถยึดร่างคนไว้บนไม้กางเขนได้ เพราะเนื้อ เอ็น กระดูกบริเวณอุ้งมือจะฉีกขาด ทานน้ำหนักตัวไม่อยู่ การตอกตะปูจึงต้องตอกที่ข้อมือ หรือส่วนแขนตั้งแต่ข้อมือไป จนถึงข้อศอกเท่านั้น.........


จากความจริงนี้ทำให้เชื่อได้ว่าผ้าห่อศพนี้เป็นของจริง เพราะรอยที่เกิดบนผ้านั้นปรากฏอย่างชัดเจนว่า การตอก ตะปูยึดกระทำที่แขน ไม่ใช่อุ้งมือเหมือนภาพวาดศิลปะที่นิยมวาดกันทั่วไป



ในปี ค.ศ.1973 ได้มีการค้นพบสิ่งน่าประหลาดอย่างหนึ่ง คือภาพที่ปรากฎอยู่บนผ้านั้นเป็นภาพที่อยู่ส่วนบนของผิวของเส้นด้าย ไม่ได้แทรกซึมลงไปในเนื้อเส้นด้ายเลย และส่วนที่ทำให้เกิดภาพก็ไม่ใช่องค์ประกอบของสีด้วย นอกจากนี้ได้มีการนำตัวอย่างเศษผ้าชิ้นเล็กๆ ไปตรวจสอบ พบว่า เนื้อผ้าเป็นผ้าลินินและใช้กันทั่วไปในปาเลสไตน์สมัยโบราณ เส้นใยทำจากฝ้าย ซึ่งมาจากตะวันออกกลาง ถักทอแบบ "Doubled Thread" ลายก้างปลา เป็นแบบฉบับการทอที่โบราณที่สุด เส้นด้ายนั้นปั่นด้วยมือเป็นวิธีโบราณเช่นกัน


ในปี ค.ศ. 1978 ได้มีการจัดตั้งโครงการเพื่อทดสอบผ้าห่อศพทางด้านวิทยาศาสตร์ขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการฉายแสง UV และ เอกซเรย์ มีการถ่ายรูปอย่างละเอียดทุกๆ ตารางมิลลิเมตร ประมาณ 5,000 รูป โดยใช้คลื่นแสงที่มีความถี่ต่างๆ กัน นอกจากนี้ยังมีการใช้เทปเหนียวและเครื่องดูด เพื่อดักจับเอาบางส่วนของเส้นใยเล็กๆ ฝุ่นผง ละอองเกสร และอณูอื่นๆ ไปวิเคราะห์ การดำเนินการตรวจสอบเป็น ไปอย่างช้าๆ โดยอาศัยเวลาว่างเท่านั้น.......เวลาล่วงเลยไปถึงปีครึ่ง

ผลที่ได้ก็มีทั้งที่สร้างความผิดหวังและข้อขัดแย้ง แต่ส่วนใหญ่ของผลงานที่ได้รับก็นำมาซึ่งคำตอบ



ภาพที่สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์ 3 มิติ
ผลการวิเคราะห์จากโครงการนี้พบว่า สีเหลืองอ่อนที่เป็นภาพ จะปรากฏอยู่บนสุดของเส้นด้าย สีนั้นไม่ได้กระจายหรือซึมลงไปในเนื้อ เส้นด้าย ไม่ได้ไหลลงไปข้างๆ และก็ไม่ได้มีสีปรากฏระหว่างช่องว่างของเส้นด้าย แสดงว่าสีนั้นจับอยู่บนเส้นด้าย ไม่ใช่ด้วยวิธีวาดหรือถูสีไปบนผ้า

ดังนั้นพวกนักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่าผ้าห่อศพแห่งตูรินไม่ใช่ภาพเขียน เพราะไม่พบเม็ดสี หรือรงค์ของสีแต่อย่างใดนอกจากเหล็ก ออกไซด์ปริมาณน้อยเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามก็มีนักวิทยาศาสตร์ผู้ร่วมทีมบางคนมีความคิดที่แปลกแตกต่างออกไป ดังนั้นจึงไม่สามารถสรุป แน่นอนถึงที่มาของภาพบนผ้าห่อศพได้



สำหรับรอยเปื้อนเลือดที่ปรากฏอยู่บนผ้านั้น เมื่อตรวจสอบจากภาพถ่ายของ เซคอนโด เปีย ( Secondo Pia ) แล้ว พบว่าส่วนที่เป็นเลือดจะปรากฏเป็นโพสิทีฟ ซึ่งต่างกับภาพบนผ้าที่ปรากฏเป็นเนกาทีฟ และเมื่อลองเลาะรอยเย็บข้างหลังผ้าออก ก็พบรอยเลือดที่ไหลผ่านทะลุผ้าลงมา ตรงข้ามกับภาพที่จะเห็นเฉพาะเพียงด้านหน้าของภาพเท่านั้น ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า รอยเปื้อนเลือดกับรอยที่เกิดเป็นภาพนั้น


เกิดขึ้นด้วยวิธีที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผลการตรวจสอบก็ปรากฏออกมาว่า รอยเลือดนั้นเกิดจากเลือดจริงๆ โดยผลจากการเอกซเรย์ แสดงให้เห็นเปอร์เซนต์ของธาตุเหล็กในเลือดมนุษย์อย่างถูกต้อง และได้มีนักวิทยาศาสตร์พบร่องรอยผลึกเล็กๆ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นผลึกของ เฮโมโกลบิน


แม้ว่าการวิจัยต่างๆ ทั้งหมด จะเห็นพ้องต้องกันว่าผ้าห่อศพนี้เป็นของเก่าแก่โบราณแน่ แต่ก็ยังไม่อาจสรุปผลได้ว่าภาพปริศนาบนผ้าผืนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ผ้าห่อศพแห่งตูรินยังคงเป็นสิ่งปริศนาอยู่เหนือข้อพิสูจน์ใดๆ ตราบจนวันนี้





อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=344685&chapter=2#ixzz1HoiFhSlh

เครดิต http://writer.dek-d.com/Writer/story/view.php?id=344685


pplammm
#16
27-03-2011 - 23:20:06

#16 pplammm  [ 27-03-2011 - 23:20:06 ]




หาย ไปนานเพราะไปทำหนังสือ เดินทาง


bet
#17
09-04-2011 - 10:55:20

#17 bet  [ 09-04-2011 - 10:55:20 ]





อ่านยังเดียวได้ไหมค่ะ

เกลียด_คน_ปากมาก

numneungza
#18
09-04-2011 - 11:03:40

#18 numneungza  [ 09-04-2011 - 11:03:40 ]




สมัคร
ชื่อ หนึ่ง
อายุ 12 ปีค่ะ

ปริศนาราชวงศ์โรมานอฟและคำสาปของรัสปูติน

เหตุการณ์การสังหารราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซีย เมื่อ ปี ค.ศ.1918 นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์ ที่สะเทือนใจชาวโลกอย่างมาก และต้นเหตุแห่งการสูญสิ้นราชวงศ์และสถาบันกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่นี้ เชื่อกันว่ามาจากคำสาปแช่งของพ่อมดรัสปูติน ที่มีฉายาว่าบุรุษแห่งความมืด...


ราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov Dynasty : 1631 - 1917) เป็นราชวงศ์ที่สองและราชวงศ์สุดท้ายแห่งอาณาจักรรัสเซีย ราชวงศ์นี้มีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่หลายพระองค์ เช่น พระเจ้าปีเตอร์มหาราช และพระนางคัทรีนมหาราชินี ราชวงศ์โรมานอฟปกครองรัสเซียด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชมาโดยตลอด และไม่ยินยอมให้มีการร่างรัฐธรรมนูญอันจะเป็นการลดพระราชอำนาจของกษัตริย์ กษัตริย์จึงมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครอง เพราะเหตุนี้เองทำให้ประชาชนถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมืองการปกครอง และพยายามต่อต้านการปกครองระบอบกษัตริย์เพื่อปลดแอก กระทั่งช่วงปลายราชวงศ์ สมัยซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 สถานการณ์บ้านเมืองของรัสเซียตกต่ำมาก เศรษฐกิจย่ำแย่ ประชาชนยากจนอดอยาก การต่อต้านระบบศักดินาทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเกิดกระแสความคิดแนวมาร์กซิสต์ โดยมีแกนนำอยู่ในพรรคแรงงาน เช่น เลนิน มาร์ตอฟ ปเลคานอฟ อันทำให้เกิดการปฏิวัติรัสเซียในเวลาต่อมา

เมื่อซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 เสด็จสวรรคต ซาร์นิโคลัสที่ 2 ก็เสด็จขึ้นครองราช โดยมีพระนางอเล็กซานดราเป็นซารินา (ซาร์ และซารินา คือ จักรพรรดิและจักรพรรดินี ซึ่งมาจากคำว่า ซีซาร์ : Caesar อันหมายถึงผู้ครองอำนาจแห่งจักรวรรดิโรมันและไบแซนไทน์) พระราชพิธีราชาภิเษกของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่มาก มีขบวนแห่ที่อลังการ พระองค์โปรดให้มีการแจกขนมปังและเบียร์ให้แก่ประชาชนทุกคนเพื่อให้กินดื่มฉลองกันทั่วเมือง แต่กลับเกิดเหตุจลาจลเมื่อชาวเมืองพากันแย่งชิงขนมปังและเบียร์จนทำให้มีคนโดนเหยียบตายไปกว่าพันคน กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าสยดสยองท่ามกลางงานรื่นเริงเฉลิมฉลองการเริ่มต้นรัชกาลใหม่

เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วทั้งสองพระองค์กลับไม่ประสบความสำเร็จในการเอาชนะใจประชาชนชาวรัสเซีย ความมุ่งมั่นของซาร์นิโคลัสที่ 2 อยู่ที่การหาเจ้าชายรัชทายาท ผู้ที่จะมาเป็นประมุของค์ต่อไปของรัสเซีย แต่พระองค์มีแต่พระราชธิดาถึง 4 พระองค์ คือ โอลก้า ทาเทียน่า มาเรีย และอนาสตาเซีย กระนั้นซาร์นิโคลัสและซารินาอเล็กซานดราก็ยังไม่ละทิ้งความพยาม ทั้งสองพระองค์สวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าขอให้ประทานพระราชโอรส จนในที่สุดก็สมพระทัยได้พระราชโอรส อเล็กไซ นิโคลาวิช โรมานอฟ แต่เจ้าชายน้อยอันเป็นความหวังของราชวงศ์โรมานอฟกลับมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์ ทรงประชวรด้วยโรค ฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) หรือโรคเลือดไหลไม่หยุด ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่อาจทำให้สิ้นพระชนม์ได้ และเป็นโรคที่ยังไม่มีวิธีรักษา ซาร์นิโคลัสและซารินาทรงปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้แพร่งพรายสุ่ภายนอก และพยายามเสาะแสวงหาหมอเก่งๆมารักษาพระโอรส และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวของบุรุษนาม เกรกอรี รัสปูติน (Gregori Rasputin) ในประวัติศาสตร์รัสเซียและประวัติศาสตร์โลก

แม้จะให้หมอฝีมือเยี่ยมทั้งหลายในอาณาจักรรัสเซียเข้ารักษาอาการของเจ้าชายองค์น้อยแต่ก็หามีใครรักษาได้ไม่ กระทั่งซารินาอเล็กซานดราได้ยินเสียงร่ำลือถึงบุรุษลึกลับจากดินแดนไซบีเรียนาม รัสปูติน ที่อวดอ้างว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติ สามารถหยั่งรู้ฟ้าดิน และเป็นหมอเทวดาที่สามารถรักษาโรคได้สารพัด ซารินาจึงเชื้อเชิญให้รัสปูตินมารักษาอาการป่วยของพระราชโอรส และในปี ค.ศ.1907 ขณะรัสปูตินเดินทางมาถึงราชวังในเมืองเซนต์ ปีเตอร์เบิร์กนั้น พระโอรสองน้อยกำลังเจ็บปวดกับอาการเลือดตกใน ซึ่งรัสปูตินก็สามารถทำให้พระองค์อาการดีขึ้นจนเกือบหายเป็นปกติได้ (ข้อนี้ยังเป็นปริศนามาจนถึงทุวันนี้ว่า รัสปูตินรักษาพระอาการขององค์รัชทายาทได้อย่างไร ด้วยพลังจิตอันแรงกล้า หรือด้วยเหตุบังเอิญกันแน่!!) และการรักษาของรัสปูตินก็ได้ผลมาตลอด ถ้าอาการขององค์ชายรัชทายาทกำเริบเมื่อไหร่รัสปูตินก็สามารถเยียวยาได้ทุกครั้งไป การรักษาของเขานั้นไม่ได้ใช้ยา แต่ใช้การสะกดจิตและการท่องคาถา ซึ่งยิ่งทำให้เขากลายเป็นผู้วิเศษในสายตาของคนในวัง รัสปูตินได้กลายเป็นคนสนิทของราชวงศ์โรมานอฟ สามารถเข้านอกออกในพระราชวังได้ และเป็นที่ไว้วางพระทัยของซารินาอเล็กซานดราและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายเป็นอย่างมาก

ด้วยความสนิทชิดเชื้อกับราชวงศ์ และความเชื่อมั่นศรัทธาที่ซาร์นิโคลัสและซารินาอเล็กซานดรามีต่อตัวเขา ทำให้รัสปูตินถูกเชิญให้เข้าไปพำนักอยู่ในเขตราชฐานชั้นใน เพื่อถวายการรักษาพระโอรสอเล็กไซอย่างใกล้ชิด และนี่เองทำให้เกิดข่าวลืออื้อฉาวว่ารัสปูตินนั้นมีสัมพันธ์สวาทกับเหล่านางใน ไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าหญิง และซารินาอเล็กซานดรา!!! ทั้งนี้เนื่องมาจากเหล่าขุนนางและคนภายนอกไม่รู้ถึงพระอาการป่วยขององค์รัชทายาท และบทบาทที่แท้จริงของรัสปูติน

ในระหว่างนี้ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และซาร์นิโคลัสที่ 2 เองทรงเห็นความสำคัญสงครามครั้งนี้ พระองค์จึงทรงออกบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง และให้ซารินาอเล็กซานดราสำเร็จราชการแทน ซารินานั้นทรงเชื่อถือรัสปูตินอย่างมาก เมื่อเขาเอ่ยสิ่งใดพระนางก็จะปฏิบัติตาม และเมื่อรัสปูตินแนะนำให้แต่งตั้งใครดำรงดำแหน่งสูงๆ หรือให้ขับไล่ใครไปเสียจากวังพระนางก็จะทรงทำตามโดยทันที เมื่อออกว่าราชการก็ฟังแต่รัสปูตินเป็นหลัก เขาจึงกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในราชสำนักรัสเซีย และยิ่งนับวันการกระทำของรัสปูตินก็ยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น ด้วยคิดว่าตนเองนั้นมีพลังอำนาจ จนเชื้อพระวงศ์และขุนนางข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่งไม่พอใจ และหนึ่งในนั้นคือ เจ้าชายยูสโซบอฟ

เจ้าชายยูสโซบอฟทรงเห็นว่าการที่ปล่อยให้รัสปูตินอยู่ในราชสำนักต่อไป จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และทำให้ชื่อเสียงของราชวงศ์โรมานอฟเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชื่อเสียงของซารินาอเล็กซานดรา พระองค์จึงวางแผนกับผู้ใกล้ชิดและเหล่าขุนนาง ลวงรัสปูตินไปยังห้องใต้ดินในวังของพระองค์ และให้เขาดื่มไวน์และเค้กที่มียาไซยาไนด์ผสมอยู่ ว่ากันว่าปริมาณของไซยาไนด์ที่ผสมอยู่นั้นสามารถฆ่าคนธรรมดาได้ถึงสิบคน!!! แต่รัสปูตินที่กินจนหมดนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย ซ้ำยังมีท่าทางปกติราวกับว่าไม่มีใครสามารถฆ่าเขาได้ เมื่อเห็นท่าทางเป็นปกติของรัสปูติน เจ้าชายยูสโซบอฟ ถึงกับตกใจและโกรธอย่างมาก เจ้าชายจึงชักปืนขึ้นมายิงรัสปูตินจนล้มคว่ำ แต่กลับไม่ตายเขาพยุงร่างขึ้น จากนั้นก็เดินโซเซออกไปปยังสนามหน้าวัง โดยมีกลุ่มขุนนางของระดมยิงตามหลัง แต่กระสุนปืนก็ไม่อาจฆ่ารัสปูตินได้!!!
เมื่อไม่รู้ว่าจะฆ่ารัสปูตินได้อย่างไร สุดท้ายเหล่าขุนนาง จึงจับร่างรัสปูตินมามัดแล้วโยนลงแม่น้ำเนวาที่หนาวเย็น แม้ยาพิษและกระสุนปืนจะทำอะไรรัสปูตินไม่ได้ แต่เขาก็ตายเพราะจมน้ำ!!! การตายของรัสปูตินสร้างความเศร้าโศกเสียใจให้แก่ซารินาอเล็กซานดราเป็นอย่างมาก และที่พระนางและซาร์นิโคลัสทรงหวาดหวั่นยิ่งคือสิ่งที่รัสปูตินกล่าวต่อซารินาอเล็กซานดราก่อนตายว่า
"หม่อมฉันรู้ว่าหม่อมฉันจะถูกฆ่าตายในไม่ช้านี้ และขอให้พระองค์รับรู้ไว้ว่าถ้าหากเชื้อพระวงศ์องค์ใดทำให้หม่อมฉันตาย พระองค์และครอบครัวจะต้องสิ้นพระชนม์ภายในสองปี ด้วยฝีมือประชาชนของพระองค์เอง"
และจากนั้นไม่นาน คำสาปของรัสปูตินก็เริ่มสำแดงผล ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1917 เมื่อรัสเซียล้มเหลวในการทำสงครามเป็นผลให้ต้องสูญเสียทหารและทรัพสินเงินทองไปเป็นจำนวนมาก บ้านเมืองเกิดทุกข์เข็ญข้าวยากหมากแพง จึงเกิดกระแสแห่งการปฏิวัติขึ้นในราชอาณาจักรรัสเซีย ราษฎรทั้งชาวนาและชนชั้นแรงงาน ร่วมกับเหล่าทหารแตกทัพจากสงครามโลกครั้งที่ 1 พากันหลั่งไหลเข้าไปถวายฏีกา เพื่อให้ปรับปรุงระบบบริหารประเทศ จนเกิดจลาจลวุ่นวาย สุดท้ายซาร์นิโคลัสที่ 2 ก็ถูกบีบบังคับให้สละราชบัลลังก์ อันเป็นการสิ้นสุดระบบสมบูรณายาสิทธิราชของรัสเซีย และการล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟที่ยิ่งใหญ่มาถึง 300 ปี

ซาร์นิโคลัสที่ 2 และครอบครัว ถูกควบคุมตัวไว้ในพระราชวังก่อนจะถูกย้ายไปอยู่ในคฤหาสน์แห่งหนึ่งในไซบีเรีย ที่นี่ทุกพระองค์ถูกกักบริเวณไว้ไม่ให้ออกมาเห็นโลกภายนอก กระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1918 เกิดการปฏิวัติของพวกบอลเชวิก(ลัทธิคอมมูนิสต์) ทำให้ทั้ง 7 พระองค์ถูกย้ายไปยังบ้านอีปาติเยฟ ในเมืองเยคาเทอรินเบิร์ก ซึ่งอยู่ในควบคุมของพวกบอลเชวิกส์ และแล้วมัจจุราชก็คืบคลานเข้ามา ในกลางดึกของวันที่ 16 กรกฎาคม 1918 ครอบครัวโรมานอฟที่กำลังหลับใหลถูกปลุกขึ้น และถูกนำตัวลงไปยังห้องใต้ดินของบ้าน ทั้ง 7 พระองค์ทรงตระหนกต่อเหตุการณ์ที่พบเจอ แล้วนายทหารคนหนึ่งก็อ่านประกาศให้ทุกพระองค์ทราบว่าราชวงศ์โรมานอฟทุกพระองค์ถูกตัดสินประหารชีวิตสิ้นคำประกาศเหล่าทหารเพชฌฆาต 12 นาย ก็ประทับปืนขึ้นยิงกราดไปยังทั้งหกชีวิต เป็นจุดจบที่โหดร้ายอย่างยิ่งของราชวงศ์โรมานอฟ ซึ่งเป็นไปตามคำสาปของเกรกอรี รัสปูติน !!!

ความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์โรมานอฟ ก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ และแม้ว่าสาเหตุที่แท้จริงแห่งการสูญสิ้นระบอบกษัติย์ของรัสเซียนั้นจะมีหลายประการด้วยกัน ทั้งความล้มเหลวในสงครามโลกครั้งที่ 1 ภาวะข้าวยากหมากแพง ความไม่มั่นใจในระบอบกษัตริย์ของประชาชน รวมทั้งการแพร่กระจายของลัทธิคอมมูนิสต์ แต่รัสปูตินก็ยังถูกมองว่าเป็นพ่อมดหมอผี จอมขมังเวทย์ หรือผีดิบซาตาน ที่ชั่วร้าย อันเป็นต้นเหตุแห่งคำสาปร้ายทำลายราชวงศ์โรมานอฟอยู่ดี และประชาชนชาวรัสเซียก็ยังคงเกลียดชิงชังเขามากระทั่งปัจจุบัน...

รัสเซียพบโครงกระดูก น่าจะเป็นรัชทายาท"โรมานอฟ"

โครงกระดูกของ "เจ้าชายอเล็กเซ" รัชทายาทองค์สุดท้ายแห่ง "ราชวงศ์โรมานอฟ" ของรัสเซีย ซึ่งสูญหายไปตั้งแต่ "ราชวงศ์โรมานอฟ" ถูกสังหารหมู่ ด้วยฝีมือของพวกบอลเชวิกเมื่อ 90 กว่าปีก่อนนั้น อาจจะถูกนักโบราณคดีค้นพบแล้ว

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นักโบราณคดีใช้เครื่องตรวจเหล็กเพื่อหาหลุมศพของเจ้าชายอเล็กเซและเจ้าหญิงมาเรีย จนพบว่ามีพื้นที่แห่งหนึ่งน่าจะมีส่วนที่เป็นเหล็กซึ่งอาจเป็นกระสุนอยู่ใต้นั้น

เมื่อขุดลงไปจึงพบว่า หลุมนั้นมีศพด้วยกันอยู่ 2 ศพ นับกระดูกได้ 44 ชิ้น พบฟันหลายซี่ เศษผ้าและกระสุนปืนฝังอยู่ใต้พื้นดิน ใกล้กับเมืองเยคัตเทอรินเบิร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่พวกบอลเชวิกจับตัวพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 พร้อมทั้งพระมเหสี พระโอรส พระธิดา ไปขังไว้ จนถูกประหารเมื่อ ค.ศ.1918

นายเซอร์เก โปโดเรลอฟ นักโบราณคดีจากเมืองเยคัตเทอรินเบิร์ก กล่าวถึงการพบค้นว่า จากการพิสูจน์พบว่าพื้นที่พบโครงกระดูกนั้นเคยถูกเผาไหม้มาก่อน และโครงกระดูก 2 โครงที่พบเป็นของเด็กชายอายุประมาณ 13 ปี เท่าๆ กับเจ้าชายอเล็กเซ ส่วนอีกโครงหนึ่งเป็นของหญิงสาว ซึ่งมีอายุเท่าๆ กับเจ้าหญิงมาเรีย พระเชษฐภคินี ในช่วงที่ทั้งสองพระองค์สิ้นพระชนม์

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็จะเป็นการไขปริศนาที่ดำมืดมานานเกือบร้อยปีของราชวงศ์โรมานอฟ ที่เป็นเหยื่อของการปฏิวัติ จนรัสเซียเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นคอมมิวนิสต์ยาวนานถึง 70 กว่าปี โดยนักโบราณคดีจะนำกระดูกที่พบใหม่ไปเปรียบเทียบกับกระดูกที่พบเมื่อ ค.ศ.1991

หลายปีก่อนรัสเซียแถลงว่า พบพระศพของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 พร้อมทั้งพระมเหสี พระธิดา 3 องค์ คนรับใช้ 4 คน ใกล้กับเมืองเยคัตเทอรินเบิร์ก แต่มี 2 ศพหายไปคือ เจ้าชายอเล็กเซ ส่วนอีกศพหนึ่งน่าจะเป็นเจ้าหญิงมาเรีย ทำให้มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า ศพที่พบนั้นเป็นของราชวงศ์โรมานอฟจริงหรือ และทำไมมี 2 ศพหายไป หรือว่าทั้งสองพระองค์จะสามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของพวกบอกเชวิกได้?

ส่วนเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ที่มีเรื่องเล่าลือกันว่า สามารถหนีเงื้อมมือมัจจุราชมาได้นั้น ทางการรัสเซียยืนยันว่าไม่จริง เพราะพบโครงกระดูกเจ้าหญิงอนาสตาเซียในหลุมด้วย

เมื่อทางการรัสเซียเชื่อว่า ศพที่พบนั้นเป็นของราชวงศ์โรมานอฟจริง จึงนำมาประกอบพิธีฝังพระศพใหม่ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อ พ.ศ.2548

พวกบอลเชวิกล้มบัลลังก์พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เมื่อ ค.ศ.1917 จากนั้นจึงจับตัวราชวงศ์โรมานอฟมาคุมขัง ต่อมาเมื่อ ค.ศ.1918 ทั้งราชวงศ์ถูกส่งตัวมาที่เมืองเยคัตเทอรินเบิร์ก แถบเทือกเขายูราล จนวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ.1918 เป็นวันประหารชีวิตด้วยการยิงทิ้ง

นักประวัติศาสตร์ชี้ว่า ทหารคอมมิวนิสต์เรียงแถวยิงพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เจ้าหญิงอเล็กซานดร้า พระมเหสี พระโอรสพระธิดา 5 พระองค์ และคนรับใช้ 4 คน ในห้องใต้ดินของคฤหาสน์หลังหนึ่ง จากนั้นทหารนำศพขึ้นรถบรรทุกและทิ้งไว้ในเหมืองร้าง แต่ต่อมาก็นำศพกลับมาทำลายอีก เพราะเกรงว่าถ้ามีผู้พบศพราชวงศ์โรมานอฟ โดยเฉพาะศพของเจ้าชายอเล็กเซแล้ว จะมีการปลุกกระแสประชาชนให้ลุกขึ้นมาต่อต้านบอลเชวิก

นายเอ็ดเวิร์ด รัดซินสกี้ นักประวัติศาสตร์ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 กล่าวว่า ถ้าโครงกระดูกที่พบเป็นของเจ้าชายอเล็กเซและเจ้าหญิงมาเรียจริง ก็จะเป็นการยืนยันถึงเอกสารที่น่าจะเขียนขึ้นจากปากคำของ "ยาคอฟ ยูรอฟสกี้" สมาชิกระดับสูงของบอลเชวิก บรรยายไว้ในเอกสาร เมื่อ ค.ศ.1934 ว่า ศพของบุคคลทั้ง 9 ถูกราดด้วยกรดซัลฟุริก จากนั้นจึงมาเผาซ้ำและฝังไว้ข้างๆ ทาง ส่วนพระศพของเจ้าชายอเล็กเซและพระเชษฐภคินีนั้นถูกนำมาเผาเช่นกันและฝังไว้ในหลุมใกล้ๆ กัน

หลักฐานอื่นในหลุมศพยังมีเศษเครื่องปั้นดินเผาที่บรรจุกรดซัลฟุริก รวมทั้งเล็บมือ ชิ้นส่วนเหล็กจากกล่องไม้ และกระสุนจากปืนหลายกระบอก

ด้านนายนิโคไล เนโวลิน ผู้เชี่ยวชาญด้านการชันสูตรของเมืองเยคัตเทอรินเบิร์ก กล่าวว่า จะนำโครงกระดูกของเด็กชายไปพิสูจน์ว่า เด็กคนนี้เป็นโรคเลือดไหลไม่หยุด หรือ Hemophilia หรือไม่ เพราะเจ้าชายอเล็กเซนั้นป่วยเป็นโรคเลือดไหลไม่หยุด ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมนี้ คาดว่า การพิสูจน์น่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน

ขณะที่ นายเจอร์มัน ลัคยานอฟ ทนายความของตระกูลโรมานอฟ ซึ่งมีแกรนด์ดัชเชสมาเรีย วลาดิมิรอฟนา โรมานอฟ ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่สเปน เป็นหัวหน้าตระกูล มีความเห็นว่า ทางทายาทที่เหลืออยู่ทุกคนจะช่วยเหลือทางการพิสูจน์โครงกระดูกอย่างเต็มที่ แต่การพิสูจน์นั้นต้องทำอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ใช่ทำอย่างรวดเร็วแล้วจะมาอ้างว่าเป็นพระศพของราชวงศ์ที่สิ้นพระชนม์








---ในปี ค.ศ. 1917 พรรคสังคมนิยมแห่งรัสเซียหรือที่เรียกกันว่า บอลเชวิค ได้หนุนให้เลนินขึ้นครองประเทศหลังจากปฏิวัติสำเร็จ เลนินจึงจัดการเอาพระเจ้าซาร์และบรมนุวงศาไปคุมขังไว้ ณ พระราชวัง ฤดูร้อนซาร์โกเซโล แล้วโยกย้ายไปไว้ที่โตบอลสก์ ในไซบีเรีย ท้ายสุดก็นำมาขังไว้ ณ ปราสาทอิปาเทียฟ ในอีคาเตรินเบิร์ก แต่เลนินวางแผนจะให้มีการพิพากษาความผิดของราชวงศ์ แต่พอได้ข่าวว่ากองทหารที่ยังสวามิภักดิ์ต่อซาร์เตรียมบุกเข้ามาช่วยเลนิ นจึงเปลี่ยนใจ สั่งให้ประหารให้หมดและทำลายล้างมิให้เหลือซาก

เหตุการณ์สยดสยองคืนนั้นเป็นดังนี้

เที่ยงคืนวันที่ 16 กรกฎาคม 1918 เจ้าหญิงอนัสตาเซียถูกปลุกให้ตื่นบรรทม

"แต่งองค์เร็ว! เกิดยิงกันวุ่นวายข้างนอกลงไปเตรียมองค์รวมกันข้างล่าวจะปลอดภัยกว่า!"

เจ้าหญิงรีบฉวยฉลองพระองค์มาสวม สร้อยพระศอไข่มุกล้ำค่าเกี่ยวติดชายกระโปรงมาด้วยทรงไม่สนใจกับเสื้อหนาว เพราะคืนนั้นอากาศร้อนอบอ้าว แม้ว่ากระดุมเสื้อหนาวตัวนั้นจะทำด้วยเพชรก็ตาม

ข้างล่างนั้นพระบิดาพระมารดาและคนอื่น ๆ พร้อมอยู่แล้ว โดยมีเหล่าเรดการ์ดยืนคุมอยู่ แสงตะเกียงดวงเดียวที่แขวนไว้ทำให้เกิดเงาทาบทับผนังห้องโถงใหญ่หลังคาโค้ง นั้น เสียงเครื่องยนต์รถบรรทุกคันหนึ่งดังแว่วมาจากด้านนอก

เจ้าหญิงและพระญาติรวมกลุ่มกันอยู่มุม หนึ่งของห้อง นับแต่พระเจ้าซาร์นิโคลาส ที่ 2 ผู้ประทับนั่งอยู่ตรงกลาง ผู้ที่นั่งถัดไปทางขวาของพระองค์ก็คือ อเล็กเซ โอรสผู้อ่อนแอจากการเบียดเบียนของโรคฮีโมฟีเลีย ดร.บ็อทกิน แพทย์ประจำราชวงศ์และเป็นพระสหายสนิทของซาร์ยืนถัดไป ผู้นั่งด้วยท่าทีหวาดหวั่นอยู่ข้างหน้าของทั้งสองก็คือเจ้าหญิงอเล็กซานดรา หลานย่าของควีนวิคตอเรียและมเหสีของซาร์ ส่วนพระราชะดาทั้งสี่ โอลก้า, ทาเทียนา,มาเรีย และอนัสตาเซีย ประทับยืนแวดล้อมพระมารดานอกนั้นก็มี เดมิโควา พี่เลี้ยง,มหาดเล็กรับใช้ และพ่อครัวยืนอยู่ทางด้านหลัง

และในทันใดนั้นเอง อย่างที่ไม่มีผู้ใดคาดฝันยูรอฟสกี้ ตำรวจลับบอลเชวิค ผู้โหด...มก็ก้าวเข้ามาเขาร้องตวาดด้วยเสียงดังลั่นห้องโถงใหญ่

"นิโคไล อเล็กซานโดรวิช ลูกน้องของเจ้าก่อการกบฏ แต่มันก็ล้มเหลวไปแล้ว ตอนนี้ถึงคราวที่เจ้าจะต้องถูกประหาร!"

"อะไรกัน!" พระเจ้าซาร์ทรงอุทานตะลึงงัน

"นี่ไงล่ะ!" ยูรอฟสกี้กกรีวอลเวอร์ขึ้นส่องตรงไปยังซาร์ พระมเหสีและธิดาต่างยกหัตถ์กุมอุระ ตาเบิกโพลง ยูรอฟสกี้ลั่นไก พระเจ้าซาร์ฟุบสวรรคตลงกับที่ประทับ ลูกน้องของยูรอฟสกี้ซึ่งเป็นชนลัตเวียต่างก็ลั่นกระสุนเข้าใส่พระราชวงศ์ที่เหลือ เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายร่วงผล็อยลงกับพื้นราวกับใบไม้หล่นจากต้น ควันปืนยังไม่ทันจาง เหล่าผู้ปลงพระชนม์ก็กรูกันเข้ามาแกะทิ้งสมบัติติดกายกระศพ ไม่ว่าจะเป็นสร้อย แหวน กำไล นาฬิกา ฯลฯ ประหนึ่งเป็นรางวัลจากปฏิบัติการที่ได้กระทำไป จากนั้นก็รีบช่วยกันยกร่างของเหยื่อขึ้นเปลหามนำออกไปยังรถบรรทุกที่รออยู่ ด้วยความรีบร้อนจึงไม่มีผู้ใดตรวจสอบว่าร่างทั้งหลายนั้นตายสนิทแล้วหรือไม่ แม้แต่จำนวนศพก็มิได้นับ

จุดหมายปลายทางที่บรรทุกไร้ชีวิตเหล่านั้นไปก็คือเหมือนร้างในป่า ศพทั้งหมดถูกนำลงมากองกับพสุธา ยูรอฟสกี้สั่งให้เอากำมะถันกับน้ำมันทราดศพจนโชกแล้วแล้วจุดไฟเผา เมื่อรอจนไฟมอดแล้วจึงเอาเถ้าและซากที่เหลือทิ้งลงในหลุมลึก

และนี่ก็คือวาระสุดท้ายของราชวงศ์โรมานนอฟซึ่งปกครองรัสเซียมานานกว่า ๓๐๐ ปี



แต่ทว่าเรื่องนี้มิได้เงียบหายไปดั่งที่เหล่าฆาตกรประสงค์ ข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดว่ามีศพหนึ่งหายไปและมีหลักฐานหลายอย่างระบุว่าเจ้า หญิงอนัสตาเซียได้หนีรอดไปได้จากการปลงพระชนม์หมู่ครั้งนี้ ทางการโซเวียตก็เต้นซีครับ ส่งตำรวจลับออกสืบสวนตามล่าจ้าละหวั่น ทั้งในทะเลบอลติด โรนาเนีย ไปจนกระทั่งไซบีเรีย ค้นกระจุยทั้งในอาคารที่พักอาศัยและโรงพยาบาลทุกแห่ง หมายจับถูกส่งไปทั่ว รวมทั้งผู้ที่ต้องสงสัยว่าให้ความช่วยเหลือราชวงศ์ด้วย ใครที่มีท่าพิรุธแม้นิดเดียวเป็นโดนยิงทิ้งทันที

ตามข่าวลือเท่านั้น ตำรวจลับสองนายที่หามร่างเหยื่อไปขึ้นรถบรรทุก ได้สังเกตเห็นว่าร่างของเจ้าหญิงอนัสตาเซียผู้ได้รับบาดเจ็บที่เศียรนั้นยัง มีลมหายใจรวยริน ทั้งคู่ได้แอบพาร่างบาดเจ็บนั้นเล็ดลอดอาศัยความมืดและความชุลมุนไปยัง กระท่อมหลังหนึ่ง ซึ่งห่างจากอิปาเทียฟ ๑๘๐ เมตร วางร่างเธอไว้ แล้วรีบกลับมาเข้ากลุ่มโดยไม่มีใครทันตระหนักรู้

แม้บอลเชวิคจะตามล่าสุดเหวี่ยง แต่ก็ไม่ได้ผลคืบหน้าแต่อย่างไร ข่าวนี้จึงค่อย ๆ เงียบหายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง

กระทั่งเวลาผ่านไปราวสองปี หญิงผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อในหนังสือเดินทางว่า แอนนา-ไชคอฟสกี้ โดดน้ำตายที่กรุงเบอร์ลินในวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ 1920 ทว่ามีผู้ช่วยเธอเอาไว้ได้ หลังรอดตายหญิงผู้นี้ได้อ้างว่าที่แท้ตนเองนั้นก็คือเจ้าหญิงอนัสตาเซีย แห่งราชวงศ์โรมานอฟ ผู้รอดมาจากการประหารหมู่ครั้งนั้นนั่นเอง

ข่าวนี้ก่อความตื่นเต้นให้กลับคืนมาอีก บางคนก็เชื่อ แต่บางคนก็คิดว่าเธอโกหก เธอได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นดังนี้

หลังถูกยิง เธอจำได้คร่าวๆ ว่าถูกหามขึ้นเกวียนเส้นผมชุ่มไปด้วยโลหิต เธอยังไม่หายจากความหวาดผวาต่อการประหารหมู่ที่เห็นกับตา เสียงร้องโหยหวนของพ่อแม่พี่น้อง เมื่อกลับพื้นคืนสติอีกครั้งเธอก็พบว่าตนอยู่ในความดูแลของบุคคลแปลกหน้า 4 คน คนผู้หญิงวัย 40 กว่า ชื่อ มาเรีย เป็นมารดาของอีก 3 คน คือ อเล็กวานเดอร์, เซอร์ไก และ เวโรนิกา สกุลของพวกเขาคือ ไชคอฟสกี้ และเป็นเรดการ์ดของเมืองอีคาเตรินเบิร์ก

เธอนึกได้ลางเลือนว่าถูกนำตัวเดินทางไปไกล ผ่านป่าสนทึบ ผ่านไปบนถนนสายยาวอันเปล่าเปลี่ยวนานนับเดือน บางครั้งไข้ขึ้นสูง ศีรษะปวดรวดร้าวแผลที่แขนระบม รวมทั้งใบหน้าและปากด้วย บ่อยครั้งที่ถูกเอาลงจากเกวียนอันกระเทือนและใช้วิธีอุ้มแทนความรู้สึกของเธอเหมือนตายมากกว่าเป็น ยามเมื่อพายุหิมะกระหน่ำ เธอจะถูกห่อหุ้มร่างด้วยผ้าหนา ๆ และอาจต้องขอกระท่อมชาวนาพักชั่วคราว แม้จะหวาดผวาต่อการถูกติดตาม และการหลักหลังจากผู้ที่พวกเธอไปขอความช่วยเหลือ



ผู้ที่ได้พบเห็นการลี้ภัยระหกระเหินครั้งนี้มีอาทิ

ฮาสเซ็นสไตน์ นายทหารเยอรมันผู้เฝ้ารักษาการ์ณฝั่งแม่น้ำบัก เขาได้อนุญาตให้คณะลี้ภัยข้ามแม่น้ำไปได้

ซาชา เกรกกอเรียน ชาวอเมริกัน ผู้อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดนีสเตรอะ บันทึกไว้ว่า "...ก่อนข้ามแม่น้ำจากฟากรัสเซียไปสู่โรมาเนีย (5 ธ.ค. 1918) ผมได้ยืนเคียงข้างกับเจ้าหญิงอนัสตาเซียแห่งโรมานอฟผู้รอดมาได้โดยความช่วย เหลือของเรดการ์ด..."

และเมื่อถึงแม่น้ำเรสินา คณะลี้ภัยก็ได้รับความช่วยเหลือจากอดีตองครักษ์ของซาร์ผู้หนึ่ง ซึ่งช่วยนำไปส่งจนถึงนครบุคาเรสท์ และที่นี่เองทุกคนจึงเริ่มปลอดภัยจากเงื้อมมือของพวกบอลเซวิค

เธอขายสร้อยไข่มุกเพื่อนำเงินมายังชีพ และแต่งงานกับอเล็กซานเดอร์ มีลูกด้วยหนึ่งคน แต่การแต่งงานนี้ทำให้สถานภาพของเธอเปลี่ยนแปลงไปเธออาจไม่เป็นที่ยอมรับจาก ราชวงศ์ต่าง ๆ ของยุโรปแต่เธอก็ตัดสินใจแล้ว

หากเคราะห์ของเธอกลับทรุดหนักลงอีก อเล็กซานเดอร์สามีถูกตำรวจลับบอลเชวิคลอบสังหารสิ้นชีพกลางถนน เซอร์ไกพาเธอระหกระเหินต่อไปยังนครเบอร์ลิน ลูกของเธอถูกนำไปฝากเลี้ยงยังสถานเด็กกำพร้า จากนั้นเซอร์ไกก็หายตัวไป เธอสิ้นหวังในชีวิตและโดดน้ำตาย

เรื่องของเธอเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ผู้คนพากันมาซักไซ้ไต่ถาม เสาะหาความจริง จนในที่สุดเธอก็ทนไม่ได้จึงปิดปากสนิท ไม่ยอมตอบคำถามใด ๆ อีก ต่อไป หลายอาทิตย์หลังการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอลิซาเบ็ธ เธอก็ถูกโยกย้ายไปอยู่โรงพยาบาลโรคจิตดอลล์ดอร์ฟ ที่นั่นเธอถูกระบุว่าเป็นบ้า! วันนั้นคือวันที่ 30 มีนาคม 1912

ชีวิตในโรงพยาบาลโรคจิตเป็นไปด้วยความขมขื่น แวดล้อมด้วยคนไข้ที่สติไม่สมบูรณ์ เธอนอนซมอยู่บนเตียงเกือบตลอดเวลา หันหน้าเข้าฝา

คลารา มาเรีย พุทเฮิร์ท อดีตแม่บ้านแห่งราชวังของซาร์เผอิญถูกส่งมารักษาตัวที่นี่ด้วย นางจำได้ทันทีว่าเธอคือธิดาองค์หนึ่งของซาร์ แต่จำผิดว่าเป็นทาเทียนา ถึงช่วงนี้ข่าวของเธอก็ไปถึงหูของบอลเชวิค ตำรวจลับเริ่มเข้ามากรุยกรายสืบข่าวเธอ

และแล้ว บารอนเนส อิซา บักซ์โฮฟเดน อดีตนางสนองพระโอษฐ์ซาร์ก็ถูกเจ้าหญิงไอรีน แห่งปรัสเซีย ป้าของอนัสตาเซีย ส่งตัวมาเยือนนางไชคอฟสกี้ เพื่อหาข้อเท็จจริง หากว่าบารอนเนสไม่สามารถจำเธอได้ นั่นเป็นเพราะเป็นความลำบากแสนสาหัสในเคราะห์กรรมได้เปลี่ยนโฉมเจ้าหญิงสาว สวยให้กลายเป็นหญิงที่แก่เกินอายุจริง 21 ปี ของเธอ ฟันหน้าทั้งแถบนั้นถูกกระสุนไรเฟิลกระจุยไม่เหลือ ทำให้แก้มของเธอตอบ การไม่ยอมรับของบารอนเนสครั้งนี้ทำให้เรื่องของเธอถูกลดความเชื่อถือไปอีกมาก

อยู่ที่โรงพยาบาลดอลล์ดอร์ฟสองปี เธอก็ออกมาพำนักอยู่กับบารอน ไคลส์ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของรัสเซีย หลังจากนั้น กรุนเบิร์ก ตำรวจเยอรมันผู้ถูกสั่งให้สืบสวนชีวิตของเธอ ก็ได้มาชวนให้เธอไปพักอยู่ด้วยกันกับเขาในคฤหาสน์ชนบท

มาถึงตอนนี้ ผู้ที่สนใจในเรื่องของนางไชคอฟสกี้ก็แบ่งออกเป็น 2 ค่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อ ฝ่ายหนึ่งไม่เชื่อแต่น่าประหลาดยิ่งที่เชื้อพระวงศ์แห่งรัสเซีย ซึ่งน่าจะสามารถพิสูจน์เธอได้อย่างง่ายดายกลับวางเฉย ปิดปากเงียบไม่เข้ากับฝ่ายใดเสียงงั้นแหละ

กรุนเบิร์กเองก็ไม่อาจยืนยันได้ เขาให้ความเห็นว่า

"สองปีในโรงพยาบาลบ้าได้ทำลายจิตใจของเธอจนหมดสิ้น ประกอบกับกระโหลกศีรษะ ซึ่งกระทบกระเทือนจากกระสุนไรเฟิล ทำให้สมองของเธอสับสน แต่เธอก็ยังยืนยันมั่นคงถึงความเป็นธิดาของซาร์ และสิ่งเดียวที่ยังอยู่ในความทรงจำของเธออย่างละเอียดไม่ผิดพลาด ก็คือเหตุการณ์สะเทือนขวัญในคืนประหารหมู่นั้น"

สุดท้ายป้าของเธอ เจ้าหญิงไอรีนก็เสด็จมาดูด้วยองค์เอง แต่ถึงยามนี้ หญิงผู้อ้างตนเป็นอนัสตาเซียก็ปราศจากความยินดียินร้ายในเรื่องใดๆ เสียแล้วเธอปฏิเสธที่จะสนทนาหรือรับความช่วยเหลือใด ๆ

ในส่วนของเจ้าหญิงไอรีน ได้ทรงให้ความเห็นว่า

"ผม หน้าผาก และตา เป็นของอนัสตาเซียแต่ปากและคางไม่ใช่ ฉันไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าไม่ใช่เธอ

ก็แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อปากและคางของเธอนั้นถูกกระสุนไรเฟิลทำลายป่น... โอกาสของอนัสตาเซียหมดไปอีก และนับจากวันนั้นเจ้าหญิงไอรีนก็ปฏิเสธที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง

ถัดจาก นั้นไม่นานก็พบว่าเธอเป็นวัณโรคที่ทรวงอกและที่ข้อศอกซ้าย ซึ่งเป็นโรคประจำตระกูลของซาร์ ร่างกายของเธอก็เลยยิ่งโทรมลงไปอีกรวมทั้งจิตใจ

เชื้อพระวงศ์โรมานอฟผลัดกันมาเยือนเธอทีละ คนสองคน แต่เธอก็ไม่ยินดีต้อนรับเสียแล้ว ทุกคนไม่อาจยืนยันแน่ชัดลงไปได้ ข้อหนึ่งซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ให้สงสัยก็คือ เธอพูดอังกฤษไม่ได้ ในขณะที่ภาษาอังกฤษนั้นใช้พูดกันเป็นธรรมดาในวังซาร์ เธอไม่ยอมพูดหรือเขียนภาษารัสเซียด้วย ใช้แต่เยอรมันโต้ตอบแต่ตำรวจลับรัสเซียก็วางกับดักพิสูจน์ได้ง่าย ๆ โดยแกล้งพูดคุยกันเป็นภาษารัสเซีย และสังเกตทีท่าของเธอ เขาพบว่าเธอเข้าใจดีในทุกคำพูดนั้น!

รายละเอียดรูปลักษณ์ของเธอถูกรายงานไปให้ แกรนด์ยุค เออร์เนสต์ ลุงของเธอ ดังนี้

1. ตาปลาที่ นิ้วเท้าทั้งสองเท้า โดยเฉพาะเท้าขวา (อนัสตาเซียก็มี รูปพรรณตรงกัน)
2. แผลเป็น เล็ก ๆ สีขาวที่ไหล่ (อนัสตาเซียก็มีเช่นกัน)
3. รอยปูดที่ โคนนิ้วกลางมือซ้ายเกิดจากประตูรถหนีบ
4. แผลเป็น ที่ขมับขวา (อนัสตาเซียจะหวีเกษาปิดแผลเป็นขมับขวา เสมอ)
5. รอยแผล เป็นหลังใบหูขวาอันเนื่องมาจากกระสุนปืน

คำตอบจากท่านแกรนด์ยุคก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีธิดาองค์ใดของซาร์เหลือรอด

การที่ท่านดยุคปฏิเสธนี้ อาจมีสาเหตุจากการที่แอนนาเคยอ้างว่าได้พบกับท่านดยุคในปี 1916 ซึ่งความจริงช่วงนั้นรัสเซียกับบาวาเรียกำลังทำสงครามกัน การเอ่ยอ้างของแอนนาทำให้ท่านดยุคถูกหาว่าลอบไปเจรจาลับกับศัตรู นั่นทำให้ท่านดยุคต้องมัวหมอง

กาลต่อมา แอนนาก็เริ่ม "จำ" ชีวิตวัยเด็กได้ทีละน้อย สิ่งสำคัญที่เธอบันทึกไว้ก็คือ

"ฉัน แกรนด์ดัชเชส อนัสตาเซีย นิโคลาเยฟนาธิดาองค์เล็กและองค์เดียวของซาร์นิโคลาสที่ 2 กับเจ้าหญิงอเล็กซานดรา แห่งรัสเซีย ผู้ล่วงลับไปแล้วขอประกาศว่า หลังจากราชวงศ์ของเราจากปีเตอร์สเบิร์กมาอยู่ไซบีเรีย และก่อนหน้าที่เสด็จพ่อและคนอื่น ๆ จะถูกปลงพระชนม์หมู่ เสด็จพ่อได้ตรัสว่าก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ได้ฝากเงินไว้ให้ธิดาทั้ง 3 องค์ เป็นเงินองค์ละ 5 ล้านรูเบิล ณ ธนาคารแห่งอังกฤษ"

แต่ธนาคารแห่งอังกฤษปฏิเสธในเรื่องนี้โดย สิ้นเชิง และต่อมา แอนนาก็ได้กล่าวแก้ข้อเขียนของเธอว่า จำชื่อธนาคารที่ถูกต้องไม่ได้ แต่เงินนั้นมีแน่ ๆ

หลัง ค.ศ.1920 แอนนาเดินทางไป อเมริกาหลายครั้ง และเปลี่ยนชื่อเป็นนางแอนนา แอนเดอร์สันและระหว่างที่อยู่อเมริการะยะหนึ่ง สมาชิก 12 องค์แห่งราชวงศ์โรมานอฟที่เหลืออยู่จากเชื้อพระวงศ์ซาร์ทั้งหมด 44 องค์ ก็ได้ร่วมกันลงชื่อประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าไม่ยอมรับข้ออ้างของแอนนา ซึ่งก็แน่นอนอีกเช่นกัน ในเมื่อทั้ง 12 องค์นี้มีสิทธิในผลประโยชน์ของซาร์ในอังกฤษ และคงไม่ประสงค์ให้ใครมาแบ่งเอาไป

ในบั้นปลายแห่งชีวิต แอนนา แอนเดอร์สันได้เดินทางมาพำนักยังกระท่อมทหารเก่าที่แบล็คฟอเรสท์ ,เยอรมนี อยู่เงียบ ๆ ตามลำพังกับเพื่อนหนึ่งคน ในปี 1974 เธอจึงแต่งงานใหม่กับชาวอเมริกัน แล้วกลับไปพำนักอย



I don't care if heaven won't take me back.
mmjjSense
#19
09-04-2011 - 11:23:15

#19 mmjjSense  [ 09-04-2011 - 11:23:15 ]





สมัคร
ชื่อ เซ้นส์
อายุ 10 ปีครับ

คำสาปของฟาโรห์ตุตันคาเมน

ลอร์ด คาเนวอน ได้ว่าจ้างคณะสำรวจของนายโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ เพราะต้องการให้มีการสำรวจสุสานฟาโรห์ เป็นคณะแรกที่ได้เข้าสู่สุสานของตุตันคาเมนในหุบผากษัตริย์ เมืองลักซอร์ ในวันที่ 4 พ.ย. 1922 โดยคาร์เตอร์ใช้เวลาถึง 10 ปี ในการขุดค้นสุสานและค้นพบห้องเก็บพระศพ โลงพระศพที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์

สำหรับสุสานฟาโรห์หนุ่มองค์นี้คือ คำสาป ที่นักบวชไอยคุปต์บรรจงสลักไว้ในสุสานของตุตันคาเมน “มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์” ข้อความที่ขลังและเปี่ยมด้วยอาถรรพณ์นี้ ทำให้มีการตายอย่างน่าพิศวงซึ่งเชื่อกันว่าเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์คำสาป

ลอร์ด คาเนวอนก็เสียชีวิตขณะพักอยู่ที่โรงแรมในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ในเวลาเดียวกันที่บ้านของลอร์ด คาเนวอนที่ประเทศอังกฤษมีสุนัขอยู่หนึ่งตัวซึ่งลอร์ด คาเนวอนได้เลี้ยงไว้ สุนัขตัวนี้ได้ส่งเสียงเห่าหอนในตอนดึกเหมือนกับว่าได้รู้ว่าลอร์ด คาเนวอนเสียชีวิตลงแล้ว หนึ่งปีผ่านไป คนงานในคณะสำรวจของคาร์เตอร์เสียชีวิตลง หลังจากนั้น 6 ปีได้มีการเปิดหลุมศพอีกครั้งแต่ในครั้งนี้ได้มีคนตายอีกถึง 12 คน



ปิดคดีฆาตกรรม 3,000 ปี "ตุตันคาเมน" ไม่ได้ถูกปลงพระชนม์


ภาพสแกนแสดงให้เห็นเศษกระดูกในกะโหลกศีรษะ


เอเอฟพี-เทคโนโลยีทันสมัยช่วยไขปัญหาคาใจของผู้คนในวงการประวัติศาสตร์และผู้สนใจเรื่องราวชวนพิศวงของอาณาจักรไอยคุปต์โบราณ เมื่อผลการตรวจสอบโดยใช้แคทสแกนชี้ว่า ยุวกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรอียิปต์เมื่อ 3,000 ปีก่อน น่าจะสิ้นพระชนม์เพราะ "ขาหัก" มากกว่าจะถูกปลงพระชนม์ด้วยธนูอย่างที่เชื่อกัน

ซาไฮ ฮาวาสส์ (Zahi Hawass) ผู้อำนวยการสภาโบราณสถานแห่งอียิปต์ (Egypt's Supreme Council of Antiquities) ผู้นำการศึกษาเผยว่า ฟาโรห์ตุตันคาเมนน่าจะสิ้นพระชนม์จากบาดแผลที่ติดเชื้อ โดยผลการตรวจพระศพมัมมี่อายุ 3,300 ปีโดยใช้คอมพิวเตอร์แบบแคทสแกนชี้ว่า พระองค์น่าจะกระดูกหักไม่นานก่อนสิ้นพระชนม์

แม้คณะทำงานจะมีความเห็นขัดแย้งกันบ้างในรายละเอียดที่ได้จากการตรวจสอบ สิ่งที่ทุกคนเห็นตรงกันก็คือตุตันคาเมนไม่ได้สิ้นพระชนม์เพราะถูกปลงพระชนม์ตามที่เชื่อกันมานาน

“ตุตันคาเมน” หรือ "ตุตันคามุน" (Tutankhamun/Tutankhamen) เป็นฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์ ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนมายุเพียง 10 ชันษา ทรงเป็นกษัตริย์อียิปต์โบราณในช่วงปี 1334 - 1323 ก่อนคริสตกาล ก่อนหน้าขึ้นครองราชย์ใช้พระนามว่า “ตุตันคาเตน” อันหมายถึงเทพอาเตน หรือสุริยเทพอวตารลงมา

ทั้งนี้ พระราชบิดาของพระองค์คือ “เอเมนโฮเทปที่ 4” ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “อาเคนาเตน” ด้วยความศรัทธาใน “เทพอาเตน” เป็นอย่างมาก โดยยัดเยียดและปฏิรูปศาสนาอย่างถอนรากถอนโคน ซึ่งแต่เดิมนั้นประชากรอียิปต์นับถือพระเจ้าหลายองค์ (พหุเทวนิยม) โดยมีเหล่านักบวช เป็นผู้ดูแลทำพิธีในวิหารต่างๆ

แต่อาเคนาเตน ได้นำเอาศาสนาพระเจ้าองค์เดียว (เอกเทวนิยม) คือ สุริยเทพอาเตนเข้ามา ซึ่งหลังจากอาเคนาเตนสิ้นพระชนม์ลง ศาสนสถานและชื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “อาเตน” จึงถูกลบออกไป รวมทั้งพระนามของ “ตุตันคาเตน” ที่เปลี่ยนมาเป็น “ตุตันคาเมน”

ตุตันคาเมนสิ้นพระชนม์เมื่อ 18 ชันษาโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่เชื่อกันว่าฟาโรห์หนุ่มองค์นี้ถูกลอบปลงพระชนม์โดยสังฆราชอัย นักบวชชั้นสูงซึ่งครองตำแหน่งผู้นำทางการทหารด้วย และต่อมาได้สถาปนาตัวเองเป็นฟาโรห์สืบราชสมบัติ

เมื่อปี 1968 นักโบราณคดีได้เปิดโลงไม้บรรจุพระศพมัมมี่และทำการตรวจสอบ ซึ่งผลเอกซเรย์ครั้งนั้นพบว่ามีเศษกระดูกอยู่ในกะโหลกของพระองค์ ซึ่งทำให้น่าเชื่อว่าพระองค์ทรงถูกปลงพระชนม์ด้วยธนู แต่รายงานล่าสุดหลังมีการเคลื่อนย้ายพระศพฟาโรห์ไปตรวจสอบที่พิพิธภัณฑ์กรุงไคโรเป็นครั้งแรกยืนยันว่า ไม่มีหลักฐานว่าตุตันคาเมนต้องธนูที่กะโหลกศีรษะด้านหลังและไม่มีหลักฐานของการทำร้ายร่างกายอื่นๆ

ตามข้อมูลผลการตรวจสอบกะโหลกศีรษะ กระดูกหน้าอก และกระดูกส่วนอื่นๆ อีก 2 ชิ้น เศษกระดูกในกะโหลกน่าจะเกิดขึ้นในช่วงดองพระศพ โดย "ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเกิดจากการได้รับบาดเจ็บก่อนเสียชีวิต" นอกจากนี้ยังชี้ว่ารอยแตกที่กระดูกต้นขาด้านซ้ายเป็นหลักฐานว่าขาซ้ายของฟาโรห์หักก่อนสิ้นพระชนม์
"แม้ว่าตัวบาดแผลจะไม่เป็นอันตรายถึงตาย แต่ก็อาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อน" รายงานระบุ

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบางคนไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีนี้ พวกเขาเชื่อว่ารอยแตกที่กระดูกอาจเกิดขึ้นในภายหลังด้วยฝีมือของนักโบราณคดี ไม่ว่ารอยแตกที่กระดูกนั้นจะเกิดขึ้นเพราะเหตุใด ฮาวาสส์แสดงความมั่นใจว่าตุตันคาเมนไม่ได้ถูกลอบปลงพระชนม์แน่

"คดีนี้ปิดแล้ว เราไม่ควรจะรบกวนพระศพอีกต่อไป ไม่มีหลักฐานว่ายุวกษัตริย์พระองค์นี้ถูกปลงพระชนม์"



ภาพสแกนทั้งร่างของพระศพมัมมี่ตุตันคาเมน



คำสาปฟาโรห์

ด้วยระยะเวลาอันสั้นในการครองราชย์ทำให้กษัตริย์พระองค์น้อยทรงไม่มีภารกิจใดมากนัก ที่สำคัญหลังสิ้นพระชนม์ทรงถูกกษัตริย์องค์ต่อมาลบทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งพระนามของตุตันคาเมนออกจากรายนามพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ ทำให้ไม่มีนักประวัติศาสตร์คนใดรู้จักพระนามของพระองค์เลย

“โฮเวิร์ด คาร์เตอร์” (Howard Carter) นักโบราณวิทยาชาวอังกฤษและ “ลอร์ด คาร์นาร์วอน” (Lord Carnarvon) ผู้สนับสนุนทางการเงิน เป็นคณะแรกที่ได้เข้าสู่สุสานของตุตันคาเมนในหุบผากษัตริย์ เมืองลักซอร์ ในวันที่ 4 พ.ย. 1922 โดยคาร์เตอร์ใช้เวลาถึง 10 ปี ในการขุดค้นสุสานและค้นพบห้องเก็บพระศพ โลงพระศพที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์

แม้ตุตันคาเมนจะไม่ใช่กษัตริย์องค์สำคัญ แต่สุสานของพระองค์มีเครื่องประกอบพิธีศพที่หาค่าไม่ได้เนื่องจากพระศพและสุสานที่สร้างขึ้นไม่ได้สลักชื่อว่าเป็นของกษัตริย์ จึงรอดพ้นเงื้อมมือโจรที่คอยปล้นและทำลายสุสานไปได้ และทำให้ทุกอย่างยังคงสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ทำให้การค้นพบในครั้งนี้นับเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในโลก

แต่สิ่งที่ร่ำลือกันมากกว่าสิ่งใดสำหรับสุสานฟาโรห์หนุ่มองค์นี้คือ คำสาป ที่นักบวชไอยคุปต์บรรจงสลักไว้ในสุสานของตุตันคาเมน “มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์”

ข้อความที่ขลังและเปี่ยมด้วยอาถรรพณ์นี้ ทำให้มีการตายอย่างน่าพิศวงซึ่งเชื่อกันว่าเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์คำสาป และนับแต่สุสานถูกเปิดผู้ร่วมพิธีเปิดเสียชีวิตไป 22 คนและนับจากนั้นแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรหากแต่เมื่อครั้งใดที่ฟาโรห์ตุตันคาเมนถูกรบกวนก็ย่อมจะมีผู้ที่สังเวยต่อคำสาปอันลี้ลับนี้เสมอมา รวมถึงลอร์ดคาร์นาร์วอน เจ้าของทุนในการขุดค้นสุสานก็เสียชีวิตลงหลังจากถูก “ยุงกัด”



อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=351944&chapter=4#ixzz1IzqDUFiL



:3
garin
#20
09-04-2011 - 13:23:47

#20 garin  [ 09-04-2011 - 13:23:47 ]






สมัคร ครับ

ชื่อ การิน
อายุ 12


เรื่อง สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า


สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (อังกฤษ: Bermuda Triangle) หรืออาจรู้จักกันในชื่อ สามเหลี่ยมปีศาจ (อังกฤษ: Devil's Triangle) เป็นพื้นที่สมมุติทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ซึ่งมีการอ้างว่าอากาศยานและเรือผิวน้ำจำนวนหนึ่งหายสาบสูญไปโดยหาสาเหตุมิได้ในบริเวณดังกล่าว วัฒนธรรมสมัยนิยมได้ให้เหตุผลของการหายสาบสูญว่าเป็นเรื่องของปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติหรือกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตนอกโลก[1] หลักฐานซึ่งบันทึกไว้ได้ระบุว่า เหตุการณ์การหายสาบสูญของอากาศยานและเรือผิวน้ำส่วนใหญ่ได้รับรายงานอย่างไม่ถูกต้องหรือถูกเสริมแต่งโดยนักประพันธ์ในช่วงหลัง และหน่วยงานของรัฐหลายแห่งได้กล่าววว่า จำนวนและธรรมชาติของการหายสาบสูญไปในพื้นที่ดังกล่าวก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการหายสาบสูญไปในมหาสมุทรส่วนอื่น ๆ ของโลก

พื้นที่
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีเนื้อที่ประมาณ 1.2 ล้านตารางกิโลเมตร อยู่ระหว่างจุด 3 จุด ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดา ซึ่งเป็นเกาะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกและดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร มีพื้นที่ครอบคลุมช่องแคบฟลอริดา หมู่เกาะบาฮามาส และหมู่เกาะแคริบเบียนทั้งหมด แต่แนวคิดที่เป็นทีรู้จักกันแพร่หลายกว่า เนื่องจากปรากฎในงานเขียนจำนวนมาก ระบุว่า จุดปลายสุดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้แก่ ชายฝั่งแอตแลนติกของไมอามี, ซานฮวน เปอร์โตริโก, และเกาะเบอร์มิวดา ด้วยเหตุว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามแนวชายฝั่งด้านใต้โดยรอบหมู่เกาะบาฮามาสและช่องแคบฟลอริดา

พื้นที่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ที่หนาแน่นที่สุดในโลก โดยมีเรือผ่านพื้นที่นี้เป็นประจำทุกวันมุ่งหน้าไปยังเมืองท่าในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และหมู่เกาะแคริบเบียน เรือสำราญที่ผ่านพื้นที่นี้ก็มีมากเช่นกัน เรือเที่ยวเองก็มักจะมุ่งหน้าไปและกลับระหว่างฟลอริดากับแคริบเบียนอยู่เป็นปกติ นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ซึ่งมีการสัญจรทางอากาศอย่างหนาแน่น ทั้งอากาศยานพาณิชย์และส่วนตัว ซึ่งมุ่งหน้าไปยังฟลอริดา แคริบเบียน และทวีปอเมริกาใต้

ที่มา สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

การกล่าวอ้างถึงการหายสาบสูญอย่างผิดปกติในพื้นที่เบอร์มิวดาปรากฎในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1950 ในบทความของแอสโซซิเอด เพลส โดยเอ็ดเวิร์ด ฟาน วินเคิล โจนส์[2] อีกสองปีต่อมา นิตยสารเฟท ได้ตีพิมพ์ "ความลึกลับที่ประตูหลังของเรา"[3] บทความสั้นโดย จอร์จ แอกซ์. แซนด์ ซึ่งครอบคลุมเครื่องบินและเรือจำนวนมากที่หายสาบสูญไป รวมไปถึงการหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ฝูงบินกองทัพเรือสหรัฐซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดทีบีเอ็ม อแวงเกอร์ห้าลำ ซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกบิน บทความของแซนด์ได้เป็นงานเขียนแรก ๆ ซึ่งทำให้เกิดเป็นแนวคิดอันเป็นที่รู้จักกันดีของพื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อันเป็นสถานที่ที่เกิดการหายสาบสูญอย่างหาสาเหตุไม่ได้ การหายสาบสูญของฝูงบิน 19 ได้ปรากฎในนิตยสารอเมริกันลีเจียน ฉบับประจำเดือนเมษายน ค.ศ. 1962[4] โดยกล่าวอ้างว่าผผู้บังคับฝูงบินได้กล่าวว่า "เรากำลังเข้าสู่เขตน้ำขาว ไม่มีอะไรดูปกติเลย เราไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน น้ำทะเลเป็นสีเขียว ไม่ใช่สีขาว" นอกจากนี้ ยังได้มีการกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่คณะกรรมการสืบสวนของกองทัพเรือยังได้ระบุว่าเครื่องบินทั้งหมดได้ "บินสู่ดาวอังคาร" บทความของแซนด์เป็นงานเขียนชิ้นแรกซึ่งเสนอว่ามีปัจจัยเหนือธรรมชาติที่มีผลต่อเหตุการณ์หายสาบสูญของฝูงบิน 19 ในนิตยสารอาร์กอสซี ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1964 บทความของวินเซนต์ เอช. แกดดิส "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาร้ายกาจ" ซึ่งโต้แย้งว่าฝูงบิน 19 และการหายสาบสูญไปอื่น ๆ เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบของเหตุการณ์ประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่[5] ในปีต่อมา แกดดิสได้ขยายบทความของเขาไปเป็นหนังสือ ชื่อว่า อินวิสซิเบิลฮอริซอนส์ (ขอบฟ้าที่มองไม่เห็น)[6]

ถัดมาในปี ค.ศ. 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า "Limbo of the Lost" ถัดจากนั้น ก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า "The Devil's Triangle" ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นเนื้อหาสำหรับเป็นคนที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยเบอร์มิวดาเป็นอันมาก เป็นที่น่าสังเกตคือ หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้ มาจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่นมาจากมนุษย์ต่างดาว หรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกันและบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณาบริเวณที่กว้างมากจาก ฟลอริด้า-เปอร์โต ริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ ห้าแสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการจะค้นหาอะไรๆจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐ เอกชน ต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้

จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2553 โจเซฟ โมนาแกน ได้เสนอว่า สาเหตุที่เรือจมและเครื่องบินตก เกิดจากแก๊สมีเทนที่ก่อตัวขึ้น โดยแก๊สดังกล่าวอยู่ใต้ท้องทะเลในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา โดยเมื่อแก๊สเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิว มันจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้างและก่อตัวเป็นฟองแก๊สขนาดใหญ่ เมื่อเรือลำใดผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น ก็จะเข้าไปสู่ฟองแก๊สมีเทนขนาดยักษ์ จนทำให้เรือเหล่านี้สูญเสียการควบคุม และจมลงในที่สุด

เรื่องราวที่มินจะนำมาเล่าต่อไปนี้ ก้อยังคงเป็นเรื่องที่น่าพิศวงอยู่จนถึงกระทั่งปัจจุบัน เกี่ยวกับเจ้าสามเหลี่ยวเบอมิวด้า(Bermuda Triangle) บางคนอาจจะรู้จักกันแล้วนะคะ สำหรับเจ้าน่านน้ำปริศนาแห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอมิวด้าเป็นการบรรจบกัน หรือว่าเป็นการลากเส้นสมมุติเพื่อกำหนดอาณาบริเวณในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยการลากเส้นจากฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา สู่เกาะเบอร์มิวด้า สู่เกาะเปอร์โตริโก้ แล้วก้อ วกกลับมาที่ฟลอริด้าอีกทีนึง จึงเป็นรูปสามเหลี่ยมได้อย่างพอดิบพอดีแถมทำมุม60 องศาในแต่ละด้านเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่าซะด้วยสิเจ้าสามเหลี่ยมแปลกๆ นี่ล่ะ ที่ถือว่าเป็นปริศนาแห่งศตวรรษที่ 20 เลยทีเดียว ถึงจนกระทั่งปัจจุบัน

สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า บางคนอาจจะเรียกว่าดินแดนมรณะ เนื่องจากมีผู้คนที่ขับเรือบ้าง ขับเครื่องบินบ้างหลงเข้าไปในอาณาเขตอันกว้างใหญ่นี้แล้วหายสาปสูญไปอย่างไร้สาเหตุ บางคนก้อบอกว่าสาเหตุมาจากเจ้ามนุษย์ต่างดาว ไม่ก้อมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น บ้างก้อบอกว่า มาจากบรรดาวิญญาญ เหล่าปีศาจหรือว่าสัตว์ลึกลับ ก้อว่ากันไปนั่นเนาะ ปัจจุบันก้อยังเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันอยู่อย่างไม่รู้จบ จามีเงื่อนงำบ้างมั๊ยเนี่ยน้า สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นเงื่อนงำ เกินกว่าปัญญาของมนุษย์จะแก้ได้

ทางนักวิชาการก้อมีการเสนอทฤษฎีต่างๆนานา บ้างก้อว่าเกิดจากความผิดปกติของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า บ้างก้อว่าเกิดจาอำนาจของสิ่งบินลึกลับ หรือที่เราเรียกกันว่า UFO จนคล่องปาก เป็นเวลานานมาก ที่เจ้าดินแดนปริศนาแห่งนี้ ลือกันไปจนทั่วโลก ในฐานะของดินแดนมรณะที่ดูดกลืนชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่สัญจรผ่านไปในบริเวณนั้น

ตามสภาพภูมิศาสตร์ทางที่ตั้ง บริเวณนี้เป็นบริเวณที่แปรปรวนมาก เพราะมีทั้งกระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็นไหลมาผสมปนเปกัน จนบางทีก้อเกิดสภาพอากาศแบบแปรปรวนกระทันหัน นี่แหละคือตัวอันตรายที่จะไม่สามารถพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้เลย นอกจากนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ายังจัดเป็นเขตอันตรายที่มักปรากฎคลื่นขนาดยักษ์ที่เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง อะไรที่ขวางหน้า กวาดไปเรียบน่ะ ไม่มีเหลือซาก

คลื่นบางลูกก้อทำให้เกิดสะดือทะเล คือผืนน้ำจะเปิดเป็นช่อง หมุนเป็นเกลียวดูดกลืนทุกอย่างเข้าสู่วังวน เรือที่หมุนเข้าไปก้อจะพลิกคว่ำและอับปางได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่สาเหตุที่กล่าวมา ก้อยังไม่ดึงดูดใจนักลึกลับศาสตร์แม้แต่น้อย

อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจ ที่มินคิดว่ามีคนสนใจสนับสนุนน้อยก้อคือ มีสิ่งมีชีวิตบางประเภทที่อยู่นอกสารบบของวงการชีววิทยาปัจจุบันค่ะ เพราะว่ามีข่าวลือมากมายจริงๆ กับการค้นพบเจ้าปลาหมึกยักษ์ยาวหลายร้อยฟุต จนไปถึงงูยักษ์หรือว่าเจ้าพวกมังกรทะเล ซึ่งแต่ละปีมีการรายงานสัตว์ตัวยักษ์จำนวนมากทีเดียวในบริเวณนี้ แต่ก้ออีกนั่นแหละที่เป็นไปไม่ค่อยได้คือเจ้าสัตว์เหล่านี้ จะมีปัญญาสยบเครื่องบินที่บินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างไร

และแล้วเจ้า UFO ก้อเข้ามาเกี่ยวข้องอีกจนได้ แต่เค้าก้อมีเหตุผลน่าสนับสนุนนะคะ เค้าบอกว่ามีรายงานการพบเห็น UFO บ่อยๆ หรือที่เรียกว่าสิ่งบินลึกลับ จากเรด้าสถานีชายฝั่งที่สามารถจับสัญญาณได้

มีเหตุการณ์ประหลาดๆ มากมาย พบว่าตั้งแต่ปี คศ.1963-1973 เรือ60ลำ และผู้โดยสาร 900 คนสูญหายโดยไม่มีการส่งสัญญาณ SOS เลย หรือแม้กระทั่งเครื่องบินที่มีรายงานว่า มีคลื่นแทรกรบกนระบบมาก จนไม่สามารถจับสัญญาณอะไร การติดต่อเป็นเสียงขาดๆ จางๆ มีปรากฎการณ์"หมอกเรืองแสงสีขาว" พื้นน้ำเป็นสีขาว เข็มทิศหมุนติ้ว แล้วก้อจากหายไป จึงมีการขนานนาม เจ้าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า นี้ว่า "ทะเลปีศาจ"(Devil sea)



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1439619#ixzz1J0LlN1JW


  • 1
  • 2

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 9th May 2024 20:15

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ