โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
10 อันดับ มนุษย์เลวววที่สุดในโลก!!
HaHaHa FoTo
#1
20-08-2011 - 17:14:24

#1 HaHaHa FoTo  [ 20-08-2011 - 17:14:24 ]







อย่าเลววตามนั้น มิฉะนั้น คุณจะโดนแพ็กเกจกระทะทองแดงแน่ๆ

10
Delphine Lalaurie




มาดาม Delphine Lalaurie เจ้าของ LaLaurie Mansion สาวไฮโซ แห่งนิวออลีน แต่มีเบื้องหลังเป็นฆาตกรโรคจิตดีๆ นี่เองครับ เรื่องมันแดงขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน คศ.1834 เกิดอัคคีภัยที่แมนชั่นของเธอ นักดับไฟได้พบทาสที่ถูกล่ามกับเตาไฟ โดยที่พวกเขานั้นเป็นคนก่ออัคคีภัยขึ้นเองเพื่อให้คนภายนอกเข้ามาพบ และทาสคนอื่นๆได้นำนักดับเพลิงไปที่ห้องใต้หลังคาและพบว่าทาสมากกว่า 12 คนที่มีลักษณะพิกล พิการอย่างน่าตกใจ เช่นถูกหักแขนขาให้มีลักษณะคล้ายปู อยู่กรงเล็กๆ บางคนถูกทำให้เสียโฉม บางคนถูกตัดทั้งแขนและขาทำให้เคลื่อนไหวเหมือนหนอนผีเสืออย่างน่าสมเพช

อีกจำนวนหนึ่งถูกเย็บปากติดเพื่อให้อดอาหารจนตายและหลายศพถูกนำมือไปเย็บติดกับส่วนต่างๆของร่างกาย ส่วนใหญ่พบว่ามีคนตาย ส่วนที่รอดก็อยากตายมากกว่าอยู่เพราะความพิการอันทรมาน ส่วน she เผ่นแน่บหายจ้อยไม่กลับมาที่บ้านหลังนี้อีกเลย

คาดว่ามีทาสผิวสี ผู้ถูกกระทำอย่างโหด...มเช่นนี้ทั้งอยู่ (ในขณะนั้น) และเสียชีวิตไปแล้วรวมถึง 87 คน และเป็นผลทำให้บ้านหลังนี้ กลายเป็นบ้านผีสิงที่ดังที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา



LaLaurie Mansion บ้านผีสิงที่ดังที่สุดที่นึงในอเมริกา เป็นของ นิโคลัส เคจ นักแสดงฮอลลีวูดชื่อดัง ( 2007 – ปัจจุบัน)

สุดท้ายคุณคงคิดว่าคุณนายคนนี้จะไม่รอดข้อหาฆาตกรรมต่อเนื่องใช่มั๊ย ผิดครับ…. เธอมีญาติเป็นถึงผู้ว่า อีกทั้งร่ำรวย เธอใช้เงินซื้อความยุติธรรมมาได้ และเธอไม่ถูกจับ และก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าเธอเสียชีวิตที่ใด แต่ที่แน่ๆ บ้านหลังที่ว่ากลายเป็นบ้านผีสิงที่มีหลายคนพบเห็นวิญญาณหลอนหลายตัวในบ้าน The Haunted House ที่ นิวออร์ลีนส์

9
Ilse Koch




เอลส์วิทช์ โคช์ส เจ้าของฉายา “หญิงแพศยาแห่งบูเชนวาล์ด” เข้าร่วมกองทัพนาซี ในปี 1932 มีนิสัยทารุณเมื่อเกิดตัณหา ความโหดร้ายของเธอที่มีต่อนักโทษนั้นเป็นที่เลื่องลือ เธอเป็นภรรยาของ นายพลคาร์ล คอชห์ ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งค่ายกักกันคนแรกแห่งค่ายบูเชนวาล์ด (1937-1941) และต่อมาย้ายไปประจำการที่ มาจดาเนค (1941-1943)

บูเชนวาล์ด = Konzentrationslager Buchenwald (Buchenwald Concentration Camp)

เธอเป็นคนบ้าอำนาจ นิยมความรุนแรง มีเรื่องเล่ากันว่าเธอชอบเดินในค่ายโดยมีแส้อยู่ในมือ และให้นักโทษชายแก้ผ้า ถ้าชายใดมีแสดงว่ามีอารมณ์ทางเพศ แอบมอง หรือส่งสายตาให้เธอจะถูกลงโทษด้วยแส้อย่างทารุณ (บรึ๋ยส์…)
ในปี 1940 เธอสร้างสนามกีฬาในร่มซึ่งมีราคากว่า 250,000 มาร์ค ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากผู้ต้องหา ในปี 1941 ขณะนั้นเธอมีตำแหน่งเป็น Oberaufseherin (chief overseer) และดูแลค่ายบูเชนวาล์ดต่อจากสามี – ส่วนสามีย้ายไปประจำการที่ มาจดาเนค (1941-1943)



และเมื่อเธอได้ทำงานแทนสามี (และได้ห่างสามี) เธอก็มีเวลาว่างแสนสนุกสนานกับการทรมานและข่มขืนนักโทษในค่ายกักกันจนฉาวโฉ่ จนเป็นที่ร่ำลือในความคาวโลกีย์ และสิ่งสร้างชื่อของเธอคือการสะสมหนังมนุษย์ที่มีรอยสัก ว่ากันว่าเธอต้องการหนังมนุษย์ที่มีรอยสักนี้เพื่อสร้าง (ส่วนโคม) โคมไฟหนังมนุษย์ !!! แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันได้ว่าเธอสร้างสิ่งประดิษฐ์น่าสยองนี้จริง





นำมาสร้างเป็นภาพยนต์ ในปี 1974 (อิงจากคาแรคเตอร์ของ Ilse ซึ่งเป็นนาซีหญิง ในหน่วย ss)

แต่ผลสุดท้ายเธอถูกองทัพสหรัฐจับ ในวันที่ 8 กค. 1948 และขอลดโทษหลายต่อหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายเธอแขวนคอฆ่าตัวตายใน เรือนจำหญิงอิคช์แอคช์ ในวันที่ 1 กย. 1967 รวมอายุได้ 60 ปี

8
Shirō Ishii




ดร.ชิโร อิชิอิ นักจุลชีววิทยา ตำแหน่งพลโท แห่ง หน่วย 731, หน่วยสงครามจุลชีวะแห่งกองทัพจักรพรรดิ์ญี่ปุ่น
จบการศึกษาด้านการแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ในปี 1932, เขาริเริ่มขั้นแรกของสมครามจุลชีวะ ในโครงการลับของกองทัพญี่ปุ่น. เมื่อปี 1936, หน่วย 731 ได้ถูกก่อตั้งขึ้นที่เมืองฮาร์บิน, ประเทศจีน

อิชิอิเป็นผู้คิดค้นระบบทำน้ำให้บริสุทธิ์ แต่ต่อมาเขาก็ชักนำมหาวิทยาลัยหลายแห่งในญี่ปุ่นให้เข้าร่วมในการวิจัยอาวุธชีวภาพ โดยมีหน่วย 731 ของกองทหารญี่ปุ่นดำเนินการวิจัยหลายโครงการด้วยกัน

การทดลองที่สำคัญทุกชิ้นจะใช้มนุษย์เป็นหนูตะเภา โดยจักรพรรดิฮิโรฮิโตะของญี่ปุ่นให้การอนุมัติโครงการอาวุธเชื้อโรคนี้งานที่ดำเนินไปเปนกิจวัตรประจำวัน เช่น

-การผ่าตัดมนุษย์โดยไม่ใช้ยาสลบ
-การใส่สารพิษที่คิดค้นใหม่ลงในอาหารและน้ำดื่ม เพื่อฆ่าประชาชนทีละมากๆ
-การบังคับให้หญิงสาวร่วมเพศกับชายที่ป่วยเป็นโรคชิฟิลิสนับสิบคนเพื่อศึกษาและพัฒนาเชื้อซิฟิลิสที่รุนแรงที่สุด
-การฉีดเลือดที่มีเชื้อเข้าร่างกายของมนุษย์ที่ถูกจับมาเป็นเหยื่อ เพื่อดูผลการแพร่เชื้อในมนุษย์ในมนุษย์เป็นๆ
-การจับเหยื่อห้อยหัวลงจนกว่าจะตายเพื่อทดสอบความทนในการเอาชิวิตรอด
-การจับเหยื่อเข้าไปทดลองและอัดความดันอากาศหรือดูดอากาศออกจนร่างระเบิดเละ
-การจับมนุษย์เปลือยผ้าร่างแข่ในน้ำที่อุณหภูมิเป็นลบ
-การ ตัดชิ้นส่วนของมนุษย์ออก เช่น ตัดกระเพาะออก นำลำไส้ต่อตรงมาที่หลอดอาหารเพื่อดูว่ามนุษย์ที่ไม่มีกระเพาะอาหารจะมีชีวิต อยู่ได้หรือไม่
-การตัดแขนขา และนำมาต่อใหม่ด้วยการสลับข้าง

หน่วย 731 ประจำการอยู่ที่เมืองฮาร์บิน (ตอนเหนือของจีนใกล้รัสเซีย) ในช่วงแรก แต่ต่อมาทางหน่วยก็ย้ายศูนย์กลางการวิจัยไปทางตะวันออกเฉียงใต้ และไปตั้งอยู่ที่เมืองเป่ยอินเหอที่อยู่ห่างไกล โดยญี่ปุ่นเผาทำลายบ้านเรือนและร้านค้าราว 300 แห่งเพื่อสร้างพื้นที่ว่างไว้สำหรับก่อตั้งศูนย์วิจัยลับแห่งนี้

ได้มีการนำเรื่องราวมาสร้างภาพยนต์โดยใช้ชื่อเรื่องว่า จับคนมาทำเชื้อโรค ( Men behind the sun หรือ Unit 731 ) เมื่อปี 1988 ซึ่งนับว่าเป็นหนังโหด ภาพสมจริงมาก (ในยุคนั้น)



ชิโร่ อิชิอิ ไม่เคยต้องโทษติดคุก หรือรับผลใดๆในสิ่งที่เขาได้กระทำ และตายเมื่ออายุ 67 ปี ด้วยโรคมะเร็งทางเดินอาหาร

7
Ivan IV of Russia ( lvan Kalita )




Ivan The Terrible – อีวานที่ 4 แห่งรัสเซีย,มีฉายาว่า อิวาน โกรซินี่ ( Ivan Grozny ) คำว่า”โกรซินี่”นั้นเป็นคำภาษารัสเซีย เมื่อแปลเป็นภาษาอังกฤษ แปลออกมาเป็นคำว่า Terrible แปลเป็นไทยอีกทีจะแปลได้ประมาณว่า อิวานจอมโหด, อีวานประสูติเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 1530 ที่กรุงมอสโก พอพระชนม์ได้สามขวบเศษพระบิดาก็สวรรคต

อิวานซึ่งมีพระชนม์ได้เพียง 5 ชันษาก็ครองบัลลังก์ตามลำพัง โดยมีพระญาติผู้ใหญ่คอยชักใยกุมอำนาจอยู่เบื้องหลังสนุกกันไป แต่ผู้สนับสนุนเจ้าชายน้อยก็มีเยอะ ไม่งั้นพระองค์คงไม่สามารถยึดอำนาจกลับคืนมาได้เมื่อพระชนม์เพียง 13 ชันษาหรอก แต่ก็อย่างว่าละครับ โดยที่ยังทรงพระเยาว์อยู่มาก ถึงจะเป็น อิสระจากอำนาจของเจ้านาย ฝ่ายหนึ่งก็ตกอยู่ใต้อำนาจของเจ้านายในสกุลกลินสกี้ อีกจนกระทั่งอิวานทรงเบื่อหน่าย จึงเสด็จออกประพาสทั่วแว่นแคว้นของพระองค์ สัมผัสกับความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฎร์ทำให้ทรงทราบว่าชาวรัสเซียที่แท้ นั้นมีความเป็นอยู่อย่างไร

ความสนุกสนานส่วนพระองค์ในปฐมวัย ได้แก่การที่พระองค์ได้ทรงไต่ขึ้นไปบนหอคอยของพระราชวังเครมลิน เพื่อโยนสัตว์ตัวเล็กๆ ออกไปนอกหน้าต่าง และเมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุพอที่จะทรงม้าได้ พระองค์จะทรงม้าและถือแส้ไปรอบๆ กรุงมอสโก เซอร์ไกล์ เฟรทเชอร์ ได้เขียนบรรยายไว้ว่า

” ถ้าพระองค์ไม่ชอบหน้าผู้ใด หรือใครก็ตามที่พระองค์ทรงพบตามทางเสด็จพระราชดำเนิน หรือเมื่อใดที่ใครก็ตามเงยหน้าขึ้นมาดูพระองค์ พระองค์จะสั่งให้ทหาร นำผู้นั้นไปตัดเสียศรีษะเสีย และโปรดให้นำศรีษะบุคคลนั้น มาให้พระองค์ทอดพระเนตรด้วย”

ปี ค.ศ.1539 พวกกลินสกี้ พยายามกำจัดเสี้ยนหนามให้หมดสิ้นด้วยการบุกวังของอีวานและจับกุมบรรดา มหาดเล็กคนสนิทของพระองค์ที่เหลืออยู่เพื่อแสดงความมีอำนาจบาตรใหญ่ของพวกตน พวกกลินสกี้ได้ถลกหนังมหาดเล็กผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ทั้งเป็นและนำไปแขวน ไว้ที่จัตุรัสกรุงมอสโคว์ให้คนอื่นได้เห็น

เหตุการณ์ ในครั้งนั้นทำให้ส่งผลกระทบด้านอารมณ์อย่างรุนแรงต่ออีวาน พระองค์ทรงระงับความโศกเศร้านี้โดยการดื่มอย่างหนัก พระองค์เข้าร่วมกลุ่มอันธพาลวัยรุ่นที่ก่อความไม่สงบไปทั่วมอสโคว์ด้วยการ ทุบตีผู้คนที่เดินผ่านมาและฉุดกระชากผู้หญิงไปข่มขืน

ใน เดือนธันวาตม ค.ศ.1543 พระองค์ตัดสินใจจะต่อสู้กับศัตรูแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ทรงจับเจ้าชายแอนดรู กลินสกี้โยนให้ฝูงสุนัขล่าสัตว์ที่กำลังหิวโหยขยำทั้งเป็น พระองค์ทรงแขวนคอกองทหารโบยาร์ 30 เรียงรายไปตามถนนในกรุงมอวโคว์ ส่วนผู้ก่อการอื่นๆ บ้างก็ถูกตัดหัว บ้างก็ถูกตัดลิ้น และการที่พระองค์ทรงปฏิบัติการลงโทษรุนแรงและโหด...มนี้ทำให้พระองค์ สามารถยึดอำนาจทั้งหมดไว้ได้

อิวานได้ขุนนางคู่พระทัยคนหนึ่งชื่อ “มาการี” (Makary) ซึ่ง ทรงไว้วางพระทัยและมีอิทธิพลเหนือพระองค์ไม่น้อย ทรงร่วมมือกับมาการีจัดระบบราชสำนักที่ไม่เข้าท่าให้เรียบร้อย ใครทำผิดก็ประหารลูกเดียวไม่มีอุทธรณ์ ฎีกา ซึ่งอาจเป็นการ “เชือดไก่ ให้ลิงดู” ผู้ คนจะได้เกรงกลัวอำนาจของเจ้าชายหนุ่มน้อยมากขึ้นกว่าเดิม พอวางระเบียบในราชสำนักให้รัดกุมดี แล้ว อิวานก็มีพระบัญชาให้มาการีจัดพิธีราชาภิเษกพระองค์ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

ด้วยวัยเพียง 17 ชันษา อิวานที่ 4 ประกาศว่า พระองค์ไม่ได้เป็นเพียง “Grand Prince” อีกต่อไปแล้ว แต่จะต้องเป็น “Tsar of All Russia!” ซึ่งคำว่า “ซาร์” นี้ย่อมาจาก “ซีซาร์” ดัง กล่าวมาข้างต้น ตำแหน่งนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลยในรัสเซีย จึงทำให้ผู้คนพากันตกตะลึงไปตามๆกัน ถึงอย่างไรอิวานก็ราชาภิเษกเป็นซาร์องค์แรกของรัสเซียจนได้ในวันที่ 16 มกราคม 1547 และต่อมาในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน ก็ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอนาสเตเซีย การินายูเรวา ผู้มาจากราชสกุลซึ่งต่อมาได้แก่ราชวงศ์โรมานอฟนั่นไงครับ



“พระองค์จะทรงถือพระแสงหอกไปด้วยเสมอและเมื่อข้าราชบริพารคนใดทำสิ่งใดให้ พิโรธ พระองค์ก็จะทรงใช้พระแสงนั้นทิ่มแทงผู้ที่เคราะห์ร้ายนั้นเสีย”
น่าแปลกที่ว่า ถึงภาพพจน์ของพระองค์จะเลวร้ายในสายตาคนนอก โดยเฉพาะทรงสังหารโอรสแท้ๆสิ้นชีพไปด้วยความมุทะลุเดือดดาล แต่กับชีวิตสมรส ก็มีความสุขราบรื่นดี ทรงมีมเหสีถึง 6 องค์ แต่พระนางอนาสเตเซีย ทรงมีอิทธิพลเหนือพระสวามีอยู่ไม่น้อย พระนางเป็นผู้มีพระทัยอ่อนโยน จึงมักช่วยให้เรื่องร้ายกลายเป็นดีไปได้เสมอๆ สมแล้วที่เป็นมเหสีหมายเลขหนึ่ง หรือซาริน่าองค์แรกของรัสเซีย

อิวานทรงทำสงครามหลายครั้ง ปราบปรามพวกตาร์ตาร์จนราบคาบ และปราบพวกที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์สลาฟจนเรียบ ทำให้ดินแดนรัสเซียขยายอาณาเขตออกไปอีกมาก แต่ในการทำสงครามกับลิทัวเนียระหว่างปี 1558-1582 อันมีความสำคัญมากนั้น รัสเซียทำไม่สำเร็จ เป็นเหตุให้ไม่มีทางออกสู่ทะเลบอลติค ได้ดังพระประสงค์ อิวานพิโรธโกรธกริ้วเป็นการใหญ่ ในการนี้ผู้ที่ทรงวางพระทัยให้ไปรบคือโอรสองค์แรก ผู้เป็นรัชทายาทที่ทรงรักมากที่สุด และทรงพระนามว่าอิวานเหมือนกัน เมื่อเจ้าชายอิวานทำให้ผิดหวังก็ทรงกริ้วจนสุดขีด ถึงกับใช้ธารพระกรฟาดเศียรโอรสไม่ยั้ง จนเป็นแผลฉกรรจ์และทำให้เจ้าชายสิ้น พระชนม์ในที่สุด แต่เจ้าชายอิวานก็ทรงเข้าพระทัยในความผิดหวังของพระบิดา เพราะทรงต้องการเห็นรัสเซียมีทางออกสู่ทะเลเพื่อก้าวไปสู่ความเจริญมั่งคั่ง ทางพาณิชยนาวีได้ ก่อนจะสิ้นพระชนม์ เจ้าชายจึงตรัสออกมาแผ่วเบาว่า “หม่อมฉันเข้าใจและให้อภัยเสด็จพ่อ ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองพระองค์ด้วยเถิด”

การที่ อิวานตีโอรสจนตายในครั้งนี้ ผู้ที่ไม่ชอบพระองค์ตลอดจนนักประวัติศาสตร์หลายคนพากันกล่าวหาว่า ดูสิ คนอะไรร้ายถึงกับฆ่าลูกได้ เป็นจอมโหดแท้ๆเชียว…กับทั้งในสงครามนี้แหละครับ อิวานสั่งประหารผู้คนและเชลยศึกไปรวดเดียวตั้ง 3,000 คน จึงได้รับฉายาว่า “เดอะ เทอร์ริเบิ้ล” ตั้งแต่นั้นมา ทั้งที่ความจริงในภาษารัสเซียให้สมัญญาพระองค์ว่า “อิวานกรอสนีย์” (Grozny)
เรื่องเล่าเกี่ยวกับความโหดร้ายของพระองค์ก็แพร่สะพัดออกมามากมาย เป็นต้นว่า ทรงชอบทรมานคนเป็นความสนุก บ้างก็วิเคราะห์ไปถึงวัยเด็กของพระองค์ซึ่งถูกบีบคั้นจากผู้ต้องการอำนาจ ครั้นเมื่อทรงมีอำนาจเสียเองก็ใช้อย่างไม่ถูกทำนองคลองธรรม…ก็สุดแท้แต่จะ วิเคราะห์ กันไปล่ะครับ มีเรื่องหนึ่งซึ่งเล่ากันว่า ในสมัยที่ทรงไปล้อมเมืองเล็กๆ ซึ่งมีป้อมปราสาทแข็งแรงมาก เจ้าเมืองกับคนในป้อมรู้ความ ช่างทรมานคนของอิวานเป็นอย่างดี จึงเห็นว่าหากยอมแพ้ถูกจับเป็นเชลยศึกละก็ มีหวังถูกทรมานจนตายด้วยวิธีแผลงๆ ต่างๆ ให้ทุกข์ทรมานแสนสาหัส จึงตกลงใจกันว่าจะยอมตายอยู่ในป้อมปราสาทนี้ ดีกว่าตายด้วยพระหัตถ์ของอิวาน พวกเขาเอาดินปืนมาเทจนทั่วปราสาท แล้วทหารใจเด็ดคนหนึ่งก็เป็นคนจุดไฟ…

บรึ้มมมม! ป้อมพังพินาศ ทุกชีวิตในนั้นตายเรียบไม่มีเหลือ ยกเว้นคนจุดไฟเท่านั้นที่ตายเป็นคนสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้ตายสงบเหมือนพรรคพวกหรอกครับ เพราะเขายังมีชีวิตอยู่ เมื่ออิวานพาทหารบุกเข้าไป พระองค์จึงสั่งให้จับชายคนนี้ขึ้นเสียบไม้แหลมประจานไว้หน้าประตูเมืองให้ เห็นทั่วกัน

ความแค้นยังไม่สิ้น…เมื่ออิวานเห็นว่าเจ้าเมืองในปราสาทกระด้างกระเดื่องต่อ พระองค์ถึงเพียงนี้ก็อย่าเอาเมืองนี้ไว้เลย…จึงสั่งให้จับชาวเมืองทุกคน ฆ่าเสียให้หมดมิให้เหลือเลยสักรายเดียว วิธีฆ่าก็ มีต่างๆกัน บ้างก็ตัดร่างกายออกเป็นท่อนๆ บ้างก็เผาทั้งเป็น บ้างก็เสียบเหล็กแหลม ฯลฯ จนกระทั่งชาวเมืองหลายพันคนตายเรียบหมดทั้งเมืองเลยครับ!

และ วีรกรรมความโหดที่โด่งดังที่สุดก็คือ ตอนที่พระองค์มีพระบัญชาให้สร้างมหาวิหารเซนต์บาซิลขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ แห่งชัยชนะที่มีต่อพวกมองโกล โดยสถาปนิกผู้ออกแบบคือ ปอสนิก ยาคอฟเลฟ ซึ่งหลังจากสร้างเสร็จ สถาปนิกผู้เคราะห์ร้ายก็โดนควักลูกตาทั้งสองข้าง เพื่อไม่ให้ไปออกแบบสิ่งใดที่สวยงามยิ่งกว่ามหาวิหารแห่งนี้ พฤติกรรม ทำนองนี้เป็นผลลบอย่างแน่นอน และทำให้ความดีที่ทรงสร้างแก่รัสเซียแทบถูกลืมเลือนไปด้วย

ว่ากันว่า ซาร์อีวานทรงประสบกับการหลอกหลอนจากกรรมต่าง ๆ ที่ได้ทรงกระทำไว้ในอดีตจนพระเกศาร่วงหมดและทรงร้องครวญครางอยู่ทุกคืน กล่าวกันว่า พระองค์สวรรคตในปี วันที่ 18 มีนาคม 1584 ด้วยพระชนม์เพียง 54 ชันษา ชาวรัสเซียก็พากันถอนใจโล่งอกไปตามๆกัน

6
โอลิเวอร์ ครอมเวลล์




โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ เป็นผู้นำทางการทหารและทางการเมืองชาวอังกฤษที่เป็นที่รู้จักกันดีในการเกี่ยวข้องกับเปลี่ยนระบบการปกครองของอังกฤษเป็นแบบสาธารณรัฐในฐานะ “เจ้าผู้พิทักษ์” (Lord Protector) แห่งอังกฤษ, สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ ครอมเวลล์เป็นแม่ทัพคนหนึ่งของกองทัพตัวอย่าง (New Model Army) ผู้ได้รับชัยชนะต่อกองทัพของ ฝ่ายกษัตริย์นิยม (Cavalier) ในสงครามกลางเมืองอังกฤษ หลังจากปลงพระชนม์สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ในปี ค.ศ. 1649แล้ว ครอมเวลล์ก็มีอิทธิพลต่อเครือจักรภพแห่งอังกฤษ อยู่เพียงชั่วระยะเวลาสั้นในขณะเดียวกับที่ได้รับชัยชนะในการปราบปรามสกอตแลนด์และไอร์แลนด์ และปกครองในฐานะ “เจ้าผู้พิทักษ์” ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1653 จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1658
ครอมเวลล์เป็นบุตรของชนชั้นผู้ดีชั้นกลางและไม่ได้เป็นที่รู้จักจนเมื่ออายุได้ 40 ปี และได้ใช้ชีวิตอย่างเกษตรกรผู้มีอันจะกินจนกระทั่งมามีฐานะดีขึ้นบ้างเมื่อได้รับเงินมรดกจากลุง ในช่วงนั้นครอมเวลล์ก็เปลี่ยนศาสนาและมายึดแนวชีวิตแบบเพียวริตันเป็นหลัก ครอมเวลล์ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในแขวงเคมบริดจ์ในสมัยรัฐสภาสั้น (ค.ศ. 1640) และ รัฐสภายาว ระหว่างปี ค.ศ. 1640 ถึงปี ค.ศ. 1649 ต่อมาก็เข้าร่วมสงครามกลางเมืองอังกฤษ ทางฝ่ายรัฐสภา (Roundheads)
ครอมเวลล์เป็นนายทหารที่มีสมรรถภาพที่ได้รับสมญาว่า “Ironsides” และได้เลื่อนจากการควบคุมกองทหารกองเดียวไปจนเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพอังกฤษ ครอมเวลล์เป็นคนที่สามที่ลงนามในการสั่งปลงพระชนม์พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ในปี ค.ศ. 1649 และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐสภารัมพ์ระหว่างปี ค.ศ. 1649 ถึงปี ค.ศ. 1653 และได้รับเลือกจากรัฐสภาให้เป็นผู้นำทัพในการรบในไอร์แลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1649 ถึงปี ค.ศ. 1650 หลังจากนั้นครอมเวลล์ก็นำการต่อสู้ในสกอตแลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1650 ถึงปี ค.ศ. 1651 เมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1653 ครอมเวลล์ก็บังคับยุบรัฐสภารัมพ์โดยใช้กำลังและก่อตั้ง “รัฐสภาแบร์โบนส์” (Barebones Parliament) อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อนที่ได้รับเลือกให้เป็น “เจ้าผู้พิทักษ์” แห่งอังกฤษ, สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1653 จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1658 ร่างของครอมเวลล์ถูกฝังไว้ที่แอบบีเวสต์มินสเตอร์แต่เมื่อฝ่ายฟื้นฟูราชวงศ์ได้อำนาจคืนในปี ค.ศ. 1660 ร่างของครอมเวลล์ก็ถูกขุดขึ้นมาประหารชีวิตโดยการแขวนด้วยโซ่และตัดหัว

5
เจียง ชิง




เจียง ชิง ภรรยา ของ เหมา เจ๋อตุง อดีตผู้นำเผด็จการของจีน ด้วยความฉลาดของเธอ เธอได้เลื่อนตำแหน่งเป็น ประธานพรรคคอมนิวนิสต์ ในช่วงสั้นๆ เธอเป็นเบื้องหลังของการปฏิวัติวัฒนธรรมจีน แน่นอนว่า สิ่งก่อสร้างยุคโบราณ สิ่งประดิฐษืยุคโบราณ หนังสือ และรูปวาดโบราณ ถูกทำลายโดย กลุ่มยุวชนแดง 10 ปีของ การปฏิวัติวัฒนธรรม ยังนำระบบการศึกษา ที่จะหยุดการเสมือนจริง และปัญญาชนจำนวนมากถูกส่งไปยังค่ายกักกัน
คนหลายล้านคน หมดสิทธิในการแสดงออก หลายล้านคนโดนบังคับให้พลัดถิ่น ยอดผู้เสียชีวิตในการปฏิวัติ ประมาณ 5 แสน คนในปี 1966-1969 แต่บางคนมีการประมาณการสียชีวิตสูงถึง 3 ล้านคน และ 36 ล้านคน ที่ถูกข่มเหง

4
พล พต



ซาลอท ซาร์ (Saloth Sar) หรือ พล พต (Pol Pot) ผู้นำกลุ่มเขมรแดง และนายกรัฐมนตรีกัมพูชาดำรงตำแหน่งในปี 1976 – 1979, (อันที่จริงยึดอำนาจมาตั้งแต่กลางปี 1975 แล้ว) ในช่วงเรืองอำนาจนั้น,พอล พตใช้วิธีที่รุนแรง เพื่อปรับปรุงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมพึ่งตัวเอง รวมถึงการโดดเดี่ยวประเทศออกจากอิทธิผลต่างชาติ ปิดโรงเรียน โรงพยาบาล โรงงาน ยกเลิกระบบธนาคาร เงินตรา ฯลฯ และจัดให้พวกที่ทำมาหากินอยู่ในเขตเมือง ออกไปทำงานในฟาร์มนอกเมือง

ผลกระทบโดยรวมของการใช้แรงงานทาส, การขาดสารอาหาร, การดูแลทางการแพทย์ที่ยากจนและการดำเนินการคาดว่าจะมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชา 2 ล้านคน (ประมาณ 1 ใน 3 ของประชากร) เขมรแดงได้สังหารหมู่ จำนวนมากในพื้นที่ ที่รู้จักกันในนาม “ทุ่งสังหาร” ซึ่งใช้ทิ้งศพในหลุมขนาดใหญ่รวมกัน , การสังหารหมู่นั้นบ่อยครั้งที่ใช้ ค้อน, ขวาน, หรือตะเกียบเหลาปลาย เพื่อประหยัดกระสุน

3
ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์




ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ เป็นผู้บัญชาการหน่วยเอสเอส และเกสตาโป ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้สมรู้เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว และเขาได้สร้างค่ายกักกันเอาชวิทซ์ในประเทศโปแลนด์ ซึ่งคราวหลังเขาถูกพันธมิตรจับกุมตัวได้และเขาได้ฆ่าตัวตาย ในปี ค.ศ. 1945

2
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์




อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (20 เมษายน ค.ศ. 1889 – 30 เมษายน ค.ศ. 1945) เป็นนักการเมืองเยอรมนีสัญชาติออสเตรียโดยกำเนิด หัวหน้าพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมัน หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ พรรคนาซี ฮิตเลอร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ระหว่างปี ค.ศ. 1933 จนถึง 1945 และ "ฟือแรร์" ประมุขแห่งรัฐของนาซีเยอรมนีระหว่างปี ค.ศ. 1934 ถึง 1945 ฮิตเลอร์ถูกจดจำว่ามีบทบาทสำคัญในการรุ่งเรืองของฟาสซิสต์ในทวีปยุโรป สงครามโลกครั้งที่สอง และการล้างชาติโดยนาซี

ฮิตเลอร์เป็นทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งได้รับรางวัลหลายรางวัล หลังจากนั้น ฮิตเลอร์ได้เข้าร่วมพรรคกรรมกรเยอรมัน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองก่อนหน้าพรรคนาซี ในปี ค.ศ. 1919 ก่อนที่จะได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซีใน ค.ศ. 1921 เขาได้พยายามก่อรัฐประหาร ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า กบฏโรงเบียร์ ในเมืองมิวนิก เมื่อวันที่ 8-9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 แต่ประสบความล้มเหลว ฮิตเลอร์ถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปี ซึ่งในระหว่างนั้นเองที่เขาเขียนบันทึกความทรงจำ ไมน์คัมพฟ์ (การต่อสู้ของข้าพเจ้า) หลังจากได้รับการปล่อยตัวเมื่อ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1924 เขาได้รับเสียงสนับสนุนจากการเสนอนโยบายรวมชาวเยอรมัน ต่อต้านชาวยิว ต่อต้านทุนนิยม และต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยการกล่าวสุนทรพจน์อันมีเสน่ห์และการโฆษณาชวนเชื่อ เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1933 และเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสาธารณรัฐไวมาร์เป็นจักรวรรดิไรช์ที่สาม รัฐเผด็จการพรรคการเมืองเดียว ภายใต้แนวคิดนาซีอันมีลักษณะเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จและอัตตาธิปไตย
ฮิตเลอร์ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะจัดระเบียบโลกใหม่ โดยให้นาซีเยอรมนีมีอำนาจครอบงำเหนือยุโรปภาคพื้นทวีป เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว เขาจึงดำเนินนโยบายต่างประเทศซึ่งประกาศเป้าหมายในการครองครองเลอเบนสเราม์ ("พื้นที่อยู่อาศัย") สำหรับชาวอารยัน และได้ระดมทรัพยากรของรัฐเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ซึ่งรวมไปถึงการสร้างเสริมกำลังอาวุธขึ้นใหม่ จนกระทั่งลงเอยด้วยการรุกรานโปแลนด์ ใน ค.ศ. 1939 สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสตอบสนองต่อพฤติการณ์ดังกล่าวด้วยการประกาศสงครามต่อเยอรมนี นำไปสู่การปะทุของสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป

ภายในระยะเวลาสามปี กองทัพเยอรมันและพันธมิตรในยุโรปได้ครองครองดินแดนส่วนใหญ่ของยุโรป และส่วนใหญ่ของแอฟริกาเหนือ และกองทัพญี่ปุ่นได้ยึดครองพื้นที่หลายส่วนของเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนมหาสมุทรแปซิฟิก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์พลิกผันไปหลังการรุกรานสหภาพโซเวียต ฝ่ายสัมพันธมิตรได้กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบนับตั้งแต่ ค.ศ. 1942 เป็นต้นไป ใน ค.ศ. 1944 กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรได้โจมตียุโรปส่วนที่เยอรมนียึดครองจากทุกด้าน กองทัพนาซีได้มีพฤติกรรมโหดร้ายนับครั้งไม่ถ้วนระหว่างสงคราม ซึ่งรวมไปถึงการสังหารพลเรือนกว่า 17 ล้านคนอย่างเป็นระบบ[3] รวมไปถึงชาวยิวที่ประมาณไว้กว่าหกล้านคนในการล้างชาติโดยนาซี และชาวโรมานีอีกระหว่างห้าแสนถึงหนึ่งล้านห้าแสนคน[4] นอกจากนี้ยังรวมไปถึงชาวโปแลนด์ พลเรือนโซเวียต เชลยศึกโซเวียต ผู้บกพร่องด้านความพิการ พวกรักร่วมเพศ ผู้นับถือนิกายพยานพระยะโฮวา และศัตรูทางการเมืองและศาสนาอื่น ๆ
ในช่วงวันสุดท้ายของสงคราม ระหว่างยุทธการเบอร์ลินใน ค.ศ. 1945 ฮิตเลอร์แต่งงานกับเอวา บราวน์ และเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ถูกจับกุมโดยกองทัพโซเวียต ทั้งสองทำอัตวินิบาตกรรมเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 โดยร่างของทั้งสองถูกเผา

1
โจเซฟ สตาลิน




โจเซฟ สตาลิน เป็นผู้นำของสหภาพโซเวียต ตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1920 ถึง ค.ศ. 1953 และดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (ค.ศ. 1922-1953) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เปรียบได้กับหัวหน้าพรรค
สตาลินสืบทอดอำนาจจาก วลาดิมีร์ เลนิน และนำโซเวียตก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็เป็นหนึ่งในขั้วอำนาจในการทำสงครามเย็นกับสหรัฐอเมริกา

โจเซฟ สตาลิน ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ชื่อจริงของเขาคือ โยเซบ เบซาริโอนิส ดเซ จูกาชวิลลี เขาเกิดที่เมือง โกรี ประเทศจอร์เจีย รัฐจอร์เจีย ตำแหน่งเมืองนั้นตั้งอยู่บนเนินสูงของเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐของจักรวรรดิรัสเซียสมัยนั้น เขาก็เป็นชาวจอร์เจียนโดยกำเนิด โดยชื่อ สตาลิน นี้เขาตั้งขึ้นมาเองขณะทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ (stalin ในภาษารัสเซียแปลว่า เหล็กกล้า)

ด้วยความทะเยอทะยานทำให้สตาลินได้เริ่มมีบทบาทสำคัญในพรรคบอลเชวิค หลังจากที่พรรคบอลเชวิคทำการปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์ลงได้ สตาลินก็ได้รับตำแหน่งคอมมิสซาร์ประชาชนเพื่อกิจการชนชาติต่างๆ[1] จนเมื่อเลนินล้มป่วย สตาลินก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นไปอีก จนได้เป็นเลขาธิการพรรคใน ค.ศ. 1922

จนกระทั่งเมื่อเลนินเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1924 ก็ได้เกิดการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างสตาลินกับ ลีออน ทรอตสกี สุดท้ายสตาลินก็ชนะ จึงได้เป็นประธานาธิบดีต่อจากเลนิน ทำให้ทรอตสกีต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ เม็กซิโก แต่ในที่สุด ทรอตสกีก็ถูกลอบสังหารที่แม็กซิโกนั่นเอง
ใน ค.ศ. 1940 ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง ผู้นำของสหภาพโซเวียต เขาถูกเรียกว่า บิดาแห่งชาวสหภาพโซเวียตทั้งปวง เมื่อศาสนาเป็นสิ่งผิดกฎหมายในรัฐคอมมิวนิสต์ บทบาทของพระเจ้าก็ถูกเล่นโดยสตาลิน เขานำระบบ คอมมูน มาใช้ ทุกคนถูกห้ามมีทรัพย์สินส่วนตัว ทุกอย่างรวมทั้งตัวบุคคลเป็นของพรรคหรือคอมมูน ผู้ต่อต้านถูกส่งไปค่ายกักกันและเสียชีวิตราว 10 ล้านคน ไมมีการสำรวจประชากรว่าระหว่างเขาเป็นผู้นำประชากรโซเวียตลอดไปเท่าไร ในช่วงที่มีการปฏิวัติระบบ นารวม มีคนอดตายอีกเป็นล้านๆ คน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นกับรัสเซีย ปี ค.ศ. 1941 - ค.ศ. 1945 เขานำโซเวียตชนะสงคราม โดยประชาชนเสียชีวิต 20 ล้านคน ทหารเสียชีวิต 10 ล้านคน เขาสั่งพัฒนาประเทศต่อไปอย่างไม่รีรอ
เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1953 หลังสตาลินตาย ครุฟซอฟ ผู้นำคนใหม่ได้ผ่อนคลายความเข้มงวดในระบบสตาลินลง พร้อมทั้งประณามขุดคุ้ยความโหดร้ายของเจ้านายคนเก่าของเขา จนในที่สุดทุกๆ ที่ ที่มีรูปปั้นสตาลินถูกทุบทิ้ง เพลงชาติถูกลบชื่อของเขาออก ศพของเขาถูกย้ายจากข้างๆ เลนิน ไปฝังอยู่ในกำแพงวังเครมลิน

อย่าลืม...

เวลาคุณเข้ามาอ่านกระทู้ ส่วนเจ้าของก็ดูคนมาเม้น
ถ้าอ่านแล้วไม่เม้นเขียนไม่เป็น เจ้าของเห็นหมดแน่กำลังใจ

เบื่อแล้วกับพวกนักอ่านเงา แล้วถ้าคุณเป็นเราคิดว่าไง
แค่คำว่า"ขอบคุณ"ไม่เป็นไร มารยาทไทยรักษาไว้ตลอดกาลเอย



แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2014-04-11 15:13:35
wondercandy
BunnieZ
GIA
pink0855
simsmy
Natsu
viigolf
ระยำ
paozaa
1999ฉันรักคุณ
August_ScalE
ppim0241
lafail2
zizaxzax
Nene2
บุ้ง
Pajaree
dnaenae
khing sritabtim
fon119
ilovecartoon
ggee
cccccccccc
praiya0994
best10210
MC-TS
Fah_nuinu


นานๆเข้าที
อะไรเนื่ย_อะไรกัน
#2
อะไรเนื่ย_อะไรกัน
20-08-2011 - 17:17:54

#2 อะไรเนื่ย_อะไรกัน  [ 20-08-2011 - 17:17:54 ]






แต่ละคน..แม่เจ้าโรคจิตล้วนๆ โอ..............สุดยอดจริงๆ


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-08-20 18:43:14

limonkamo
#3
20-08-2011 - 17:21:48

#3 limonkamo  [ 20-08-2011 - 17:21:48 ]




น่ากลัวจัง


Leonie CluB GiRl ZaA
#4
Leonie CluB GiRl ZaA
20-08-2011 - 17:23:12

#4 Leonie CluB GiRl ZaA  [ 20-08-2011 - 17:23:12 ]






ที่เหลือ ที่จะตามมา มาไวๆ นะคะ



คิดถึง
fresh_greenich
#5
20-08-2011 - 17:25:51

#5 fresh_greenich  [ 20-08-2011 - 17:25:51 ]




โอ้วโหด หนูรับไม่ได้รับไม่ได้


ladyzaza
#6
20-08-2011 - 17:36:49

#6 ladyzaza  [ 20-08-2011 - 17:36:49 ]





ขาดเจ้าชายไปนะ[เจ้าชายแห่งโรมาเนียน่ะ]



ARTPOP
panglove
#7
20-08-2011 - 17:51:33

#7 panglove  [ 20-08-2011 - 17:51:33 ]





เลว เลว จริงๆ ไม่ไหวนะคนอย่างงี้


panglove
#8
20-08-2011 - 17:55:05

#8 panglove  [ 20-08-2011 - 17:55:05 ]





ขอโทษนะคะ มันค้าง เลยกดเยอะไปหน่อย


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-08-20 17:58:25

panglove
#9
20-08-2011 - 17:56:10

#9 panglove  [ 20-08-2011 - 17:56:10 ]





ขอโทษอีกครั้งนะคะ


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-08-20 17:57:36

ew 555
#10
20-08-2011 - 18:07:21

#10 ew 555  [ 20-08-2011 - 18:07:21 ]




โหด


The Sniper Death
#11
20-08-2011 - 18:12:20

#11 The Sniper Death  [ 20-08-2011 - 18:12:20 ]






กะไว้แล้วว่าต้องมีชื่อ 2 คนนี้

สตาลิน กับ ฮิตเลอร์



เรื่องความโหดร้าย ส่วนใหญมักจะเกิดขึ้นในช่วงสงคราม ยกตัวอย่างเลย สงครามโลกครั้งที่ 2

ทั้งเรื่อง การเช่นฆ่า ค่ายกักกัน การสังหารหมู่ เยอะแยะไปหมด


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-08-20 18:16:51
HaHaHa FoTo

jok1050king
#12
20-08-2011 - 18:22:45

#12 jok1050king  [ 20-08-2011 - 18:22:45 ]




ไม่มีคนไทย



"Insert some good status here"
ohmakung
#13
20-08-2011 - 18:26:36

#13 ohmakung  [ 20-08-2011 - 18:26:36 ]




การตายของฮิตเลอร์ไม่แน่ชัดหนิครับ


tunchanok204
#14
20-08-2011 - 18:28:44

#14 tunchanok204  [ 20-08-2011 - 18:28:44 ]




ยังดีที่ไม่มีคนไทยคะ


sine555
#15
20-08-2011 - 18:31:06

#15 sine555  [ 20-08-2011 - 18:31:06 ]







อันดับ10 น่ากลัว TT


patzy123
#16
20-08-2011 - 18:34:17

#16 patzy123  [ 20-08-2011 - 18:34:17 ]





ฮิตเลอร์ 5555555
ฮิตเหรอ ก็มี 55




The Sniper Death
#17
20-08-2011 - 18:40:07

#17 The Sniper Death  [ 20-08-2011 - 18:40:07 ]






quote : ohmakung

การตายของฮิตเลอร์ไม่แน่ชัดหนิครับ


อันนี้ ยังแน่ชัดว่า การตายของฮิตเลอร์นั้น เป็นการยิงตัวตาย หรือ กินยาพิษ

แต่โดยส่วนตัวนั้น คิดว่าเป็นการยิงตัวตายมากกว่า ถ้าดูจากรูป กลางหน้าผากนั้น เป็นร่องรอยกระสุน เจาะเข้าไปกลางหน้าผาก




ส่วนที่ว่ากินยาพิษฆ่าตัวตายนั้น น่าจะเป็น อีวา บราว ภรรยาของฮิตเลอร์

ส่วนเรื่องศพ ยังคงเป็นปริศนา จนถึงปัจจุบัน ว่าศพของฮิตเลอร์นั้น หายไปไหน


บ้างก็ว่า ทหารโซเวียตเอาศพไป แล้วนำไปทำลาย

บ้างก็ว่า ทหารเยอรมันเอง เป็นคนนำศพไปเผาทำลาย

ซึ่งมันยังไม่แน่ชัด และปัจจุบันยังคงไม่มีใครรู้ ว่าศพของฮิตเลอร์นั้น ใครเป็นคนนำศพไป ทำลาย


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-08-20 18:49:15
HaHaHa FoTo

icezi
#18
20-08-2011 - 18:48:24

#18 icezi  [ 20-08-2011 - 18:48:24 ]




คนที่9สุดยอด


cherrydoll18780
#19
20-08-2011 - 18:51:45

#19 cherrydoll18780  [ 20-08-2011 - 18:51:45 ]






เราว่าคิมจองอิล(ผู้นำเกาหลีเหนือ) เลวสุดๆแล้วล่ะ55+

(ถึงจะไม่เท่าหลายๆคนที่ติดอันดับก็ตาม แต่ก็เลวเวอร์)


momoza123
#20
20-08-2011 - 18:56:39

#20 momoza123  [ 20-08-2011 - 18:56:39 ]








SV

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 10th April 2024 16:51

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ