ทำไมคนไทยถึงรักในหลวง
"เดิมพันของเรานั้นสูง"
ครั้งหนึ่งเมื่อหม่อมราชวงค์ศึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า "
"เคยทรงเหนื่อ ทรงท้อบ้างหรือไม่" ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสตอบ
ว่า" ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรา
นั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ"
(ข้อมูลจากไทยรัฐ ฉบับที่ 5 ธค.32)
"ราษฎรยังอยู่ได้"
พุทธศักราช 2513 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนิน
ไปเยี่ยราษฎร์ที่อำเภอหนึ่งของจังหวัดพัทลุง อันเป็นแหล่งที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ปฎิบัติการ
รุนแรงที่สุดในภาคใต้เวลานั้น ด้วยความห่วงใยอย่างล้นพ้น ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบ
บังคมทูลขอให้พระองค์รอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เสียก่อน แต่คำตอบที่ทางกระทรวง
มหาดไทยได้รับคือ " ราษฎรเขาเสี่ยงภัยยิ่งกว่าเราหลายเท่า เพราะเขากินอยู่ที่นั่นเขายังอยู่ได้
แล้วเราจะขลาดแม้แต่ไปเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของเขาเชียวหรือ..คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียว
ไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยากควรต้องแบ่งปันความทุกข์ยากของเขาบ้าง ตามกำลัง
และความสามารถเท่าที่ทำได้"
(ข้อมูลจาก คำอภิปรายเรื่อง"พระบิดาของประชาชน")
"เขาเดินมาเป็นวันๆ"
..มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าอายุ 18 ปี ได้ตามเสด็จ...ต้องนั้นเป็นช่วงหลังพิธีพระบรมราชาภิเษก
เสด็จเยี่ยมราษฎรทุกจังหวัดและอำเภอใหญ่ๆ ก็เสด็จประมาณ 9 โมงเช้า เสด็จออกทรงเยี่ยม
ราษฎรมาเรื่อยๆ ทีนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า แหมนานเหลือเกิน ตอนนั้นยังไม่กางร่ม ตอนนั้นยังไม่ค่อย
กลัวแดด ไม่ใส่หมวก รู้สึกแดดเปรี้ยง หนังเท้ารู้สึกไหม้เชียว ก็เดินเข้าไปกระซิบท่านว่า พอหรือยัง
ก็โดนกริ้ว "นี่เห็นไหมราษฎร์เขาเดินมาเป็นวันๆ เพื่อมาดูเราแม้แต่นิดเดียว แต่นี่เรายืนอยู่
ไม่เท่าไรล่ะ ตอนนี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว"
(พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ 11 สิงหาคม 2534)
"เก็บร่ม"
การเสด็จพระราชดำเนินทุกครั้ง แม้จะต้องเผชิญกับแดดร้อยหรือลมแรง ราษฎรก็ไม่เคยย้อท้อ
ที่จะอดทนรอรับเสด็จให้ถึงที่สุด แม้ฝนจะตกหนักแค่ไหนก็ไม่มีใครยอมกลับบ้าน
ครั้งหนึ่งที่โครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่ออเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝกตกมาอย่างหนัก
ราษฎร์และข้าราชการที่มาเข้าแถวรอรับเสด็จต่างเปียกปอนกันหมด แต่ก็ยังตั้งแถวเป็นระเบียบ
เรียบร้อยอยู่อย่างนั้น
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ นายตำรวจราชองค์รักษ์ที่ตาม
เสด็จได้เข้าไปกางร่มถวาย ทรงทอดพระเนตรเห็นบรรดาข้าราชการและราชฎรที่มายืนตั้งแถว
รอรับเสด็จอยู่ต่างก็เปียกฝนโดยทั่วกัน "จึงมีรับสั่งให้เก็บร่ม และทรงเปียกฝนเช่นเดียวกับ
ข้าราชการและราษฎร์ทั้งหลายที่ยืนรอรับเสด็จในขณะนั้น"
(ที่มา บทความจาก "พระบารมีปกเกล้าฯที่อำเภอท่ายาง")
"ฉันทนได้"
ในเดือนหนึ่งของปี 2528 พระทนต์องค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหักเฉียด
โพรงประสาทฟัน พรงทนต์องค์นั้นต้องการการถวายการรักษาอย่างเร่งด่วน ขณะนั้นกรุงเทพฯ
ก็กำลังประสบปัญหาอุทกภัย ต้องการการบรรเทาทุกข์เร่งด่วนเช่นกัน
เมื่อทันตแพทย์เข้ามาถวายการรักษา พระบาทสมเด็จทรงรับสั่งถามว่า "จะใช้เวลานานเท่าใด"
ทันตแพทย์กราบังคมทูลว่าอาจจะใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง พระบาทสมเด็จพระเจ้อยู่หัวทรงรับสั่งว่า
"ขอรอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้ วันนี้ของไปดูราษฎร์และช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมก่อน"
"คำสอนประโยคเดียว"
เมื่อนิตยสาร "สไตล์" ฉบับปี 2530 ได้ตั้งคำถามกับ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ถึงคำสอนของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประทับอยู่ในหัวใจของ ดร.สุเมธ ซึ่งดำรงค์ตำแหน่งผู้อำนวยการ
สำนักเลขานุการ กปร. ตอบว่าคำสอนประโยคเดียวก็เกินพอนั้นคือพระราชดำรัสที่ว่า
"มาอยู่กับฉันนั้นฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้แก่
ผู้อื่น"
แล้วคุณหล่ะ ทำไมถึงรักในหลวง
"เดิมพันของเรานั้นสูง"
ครั้งหนึ่งเมื่อหม่อมราชวงค์ศึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า "
"เคยทรงเหนื่อ ทรงท้อบ้างหรือไม่" ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสตอบ
ว่า" ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรา
นั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ"
(ข้อมูลจากไทยรัฐ ฉบับที่ 5 ธค.32)
"ราษฎรยังอยู่ได้"
พุทธศักราช 2513 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนิน
ไปเยี่ยราษฎร์ที่อำเภอหนึ่งของจังหวัดพัทลุง อันเป็นแหล่งที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ปฎิบัติการ
รุนแรงที่สุดในภาคใต้เวลานั้น ด้วยความห่วงใยอย่างล้นพ้น ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบ
บังคมทูลขอให้พระองค์รอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เสียก่อน แต่คำตอบที่ทางกระทรวง
มหาดไทยได้รับคือ " ราษฎรเขาเสี่ยงภัยยิ่งกว่าเราหลายเท่า เพราะเขากินอยู่ที่นั่นเขายังอยู่ได้
แล้วเราจะขลาดแม้แต่ไปเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของเขาเชียวหรือ..คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียว
ไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยากควรต้องแบ่งปันความทุกข์ยากของเขาบ้าง ตามกำลัง
และความสามารถเท่าที่ทำได้"
(ข้อมูลจาก คำอภิปรายเรื่อง"พระบิดาของประชาชน")
"เขาเดินมาเป็นวันๆ"
..มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าอายุ 18 ปี ได้ตามเสด็จ...ต้องนั้นเป็นช่วงหลังพิธีพระบรมราชาภิเษก
เสด็จเยี่ยมราษฎรทุกจังหวัดและอำเภอใหญ่ๆ ก็เสด็จประมาณ 9 โมงเช้า เสด็จออกทรงเยี่ยม
ราษฎรมาเรื่อยๆ ทีนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า แหมนานเหลือเกิน ตอนนั้นยังไม่กางร่ม ตอนนั้นยังไม่ค่อย
กลัวแดด ไม่ใส่หมวก รู้สึกแดดเปรี้ยง หนังเท้ารู้สึกไหม้เชียว ก็เดินเข้าไปกระซิบท่านว่า พอหรือยัง
ก็โดนกริ้ว "นี่เห็นไหมราษฎร์เขาเดินมาเป็นวันๆ เพื่อมาดูเราแม้แต่นิดเดียว แต่นี่เรายืนอยู่
ไม่เท่าไรล่ะ ตอนนี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว"
(พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ 11 สิงหาคม 2534)
"เก็บร่ม"
การเสด็จพระราชดำเนินทุกครั้ง แม้จะต้องเผชิญกับแดดร้อยหรือลมแรง ราษฎรก็ไม่เคยย้อท้อ
ที่จะอดทนรอรับเสด็จให้ถึงที่สุด แม้ฝนจะตกหนักแค่ไหนก็ไม่มีใครยอมกลับบ้าน
ครั้งหนึ่งที่โครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่ออเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝกตกมาอย่างหนัก
ราษฎร์และข้าราชการที่มาเข้าแถวรอรับเสด็จต่างเปียกปอนกันหมด แต่ก็ยังตั้งแถวเป็นระเบียบ
เรียบร้อยอยู่อย่างนั้น
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ นายตำรวจราชองค์รักษ์ที่ตาม
เสด็จได้เข้าไปกางร่มถวาย ทรงทอดพระเนตรเห็นบรรดาข้าราชการและราชฎรที่มายืนตั้งแถว
รอรับเสด็จอยู่ต่างก็เปียกฝนโดยทั่วกัน "จึงมีรับสั่งให้เก็บร่ม และทรงเปียกฝนเช่นเดียวกับ
ข้าราชการและราษฎร์ทั้งหลายที่ยืนรอรับเสด็จในขณะนั้น"
(ที่มา บทความจาก "พระบารมีปกเกล้าฯที่อำเภอท่ายาง")
"ฉันทนได้"
ในเดือนหนึ่งของปี 2528 พระทนต์องค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหักเฉียด
โพรงประสาทฟัน พรงทนต์องค์นั้นต้องการการถวายการรักษาอย่างเร่งด่วน ขณะนั้นกรุงเทพฯ
ก็กำลังประสบปัญหาอุทกภัย ต้องการการบรรเทาทุกข์เร่งด่วนเช่นกัน
เมื่อทันตแพทย์เข้ามาถวายการรักษา พระบาทสมเด็จทรงรับสั่งถามว่า "จะใช้เวลานานเท่าใด"
ทันตแพทย์กราบังคมทูลว่าอาจจะใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง พระบาทสมเด็จพระเจ้อยู่หัวทรงรับสั่งว่า
"ขอรอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้ วันนี้ของไปดูราษฎร์และช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมก่อน"
"คำสอนประโยคเดียว"
เมื่อนิตยสาร "สไตล์" ฉบับปี 2530 ได้ตั้งคำถามกับ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ถึงคำสอนของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประทับอยู่ในหัวใจของ ดร.สุเมธ ซึ่งดำรงค์ตำแหน่งผู้อำนวยการ
สำนักเลขานุการ กปร. ตอบว่าคำสอนประโยคเดียวก็เกินพอนั้นคือพระราชดำรัสที่ว่า
"มาอยู่กับฉันนั้นฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้แก่
ผู้อื่น"
แล้วคุณหล่ะ ทำไมถึงรักในหลวง