โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
ขยายความปริศนาต่างๆ
jerrysoft
#1
02-01-2010 - 10:30:47

#1 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 10:30:47 ]




ใครกันแน่คือแจ็คเดอะริปเปอร์? คนไข้โรคจิต ศัลยแพทย์มือฉมัง คนขายเนื้อ ชายซึ่งวางยาพิษฆ่าเมียตัวเอง หรือแม้แต่หลานชายของควีนวิคตอเรียแห่งอังกฤษ ก็ล้วนแล้วแต่พัวพันกับสมญานามของฆาตกรสุดโหดแห่งไวต์แชปเพิลผู้นี้


แจ็คเดอะริปเปอร์ เป็นสมญานามของฆาตกรต่อเนื่องซึ่งก่อคดีสะเทือนขวัญในกรุงลอนดอน ช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน ปี 1888 เหยื่อของแจ็คเดอะริปเปอร์ล้วนเป็นหญิงโสเภณีในย่านไวต์แชปเพิล แหล่งสลัมเสื่อมโทรมในเขตอีสต์เอนด์ สมญานามนี้ได้มาจากชื่อในท้ายจดหมายซึ่งโผล่ออกมาระหว่างที่เกิดการฆาตกรรมขึ้น

เหยื่อของแจ็คจะเป็นผู้หญิงหากิน ซึ่งล้วนถูกของมีคมเชือดคอและโดนคว้านเอาอวัยวะออกไป ปัจจุบันผู้ที่หลงใหลในการศึกษาเกี่ยวกับคดีฆาตกรสุดโหดนี้จำนวนมาก จนมีกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักริปเปอร์วิทยาเลยทีเดียว(ripperologist)


ตำนานสยองขวัญเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม เมื่อมีคนพบร่างของ แมรีแอน นิโคลส์ (พอลลี)วัย 43 ปี การฆาตกรรมโสเภณีคนหนึ่งดูจะไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญเท่าใดนัก แม้ว่าตำรวจลอนดอนต่างช็อกกับสภาพศพที่เห็นก็ตาม หลังจากเกิดเหตุตำรวจได้ตัวผู้ต้องสงสัยหลายคนแต่ก็จับใครไม่ได้ ชื่อพอลลีดูเหมือนจะเลือนหายไปแล้วกระทั่งผู้หญิงหากินอีกรายถูกพบกลายเป็นศพเมื่อวันที่ 8 กันยายนในปีเดียวกัน แอนนี แชปแมนถูกฆ่าปาดคอ และอวัยวะบางส่วนรวมทั้งมดลูกถูกคว้านออกและหายไปจากที่เกิดเหตุ เหตุการณ์นี้สร้างความสะพรึงกลัวไปทั่วลอนดอน และสื่อมวลชนก็เริ่มเข้ามามีบทบาท

ขณะที่ตำรวจก็ไม่มีเบาะแส เพราะคนร้ายไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ให้ตามจับได้ ข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับการฆาตกรรมก็สะพัดไปทั่วเมือง ตอนนี้ฆาตกรได้ฉายาจากสื่อว่า "ผ้ากันเปื้อนหนัง" มีการตั้งข้อสงสัยว่ามือสังหารคือแพทย์ที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับชิ้นส่วนต่างๆ ของมนุษย์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย


สามสัปดาห์หลังจากนั้นสิ่งที่น่าสยดสยองมากกว่านี้เกิดขึ้นอีกในค่ำคืนของวันที่ 30 กันยายน อลิซาเบธ สไตรด์ หรือ ลอง ลิซ วัย 45 ปี ออกจากผับแห่งหนึ่งและเดินกลับบ้าน แต่เธอกลับไม่ถึงบ้าน ศพของเธอถูกพบในวันถัดมา บริเวณลำคอมีบาดแผลเป็นทางยาว แต่ยังสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยดี คาดว่าฆาตกรคงถูกขัดจังหวะในขณะกำลังจะจัดการชำแหละเหยื่ออย่างเคย

แคทเทอรีน เอดโดวส์ หรือเคท วัย 46 ปี เป็นเหยื่อของแจ็คอีกรายที่สภาพศพน่ากลัวที่สุด โดนควักลูกตา เฉือนจมูก ลำคอถูกเชือด ช่องท้องถูกกรีดเป็นบาดแผลเหวอะ ไตถูกควักออกไป โดยมีข้อความเขียนไว้บนกำแพงในละแวกที่พบศพว่า "The Juwes are the men that Will not be Blamed for nothing." แปลความได้ว่า "ชาวยิวเป็นกลุ่มคนที่จะไม่ถูกกล่าวโทษ ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม"


ข้อความบนกำแพงนี้อาจจะมีอยู่ก่อนแล้วและไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม กระนั้นข้อความนี้ทำให้การสืบสวนพุ่งเป้าไปยังชาวยิว มีการวิพากษ์วิจารย์กันไปต่างๆ นานา จนเซอร์ชาร์ลส์ วอร์เรน ผู้บัญชาการตำรวจนครลอนดอนสมัยนั้นสั่งให้ลบข้อความดังกล่าวเพื่อลดกระแสต่อต้านยิว และก็มีการจับตัวชาวยิวหลายคน รวมทั้งจอห์น ไพเซอร์ ซึ่งต่อมาก็พบว่าเขาไม่ได้มีเอี่ยวใดๆ

ตำรวจรู้สึกกดดันอย่างหนักเมื่อยังหาตัวฆาตกรไม่ได้ ผู้ชายโชคร้ายหลายคนโดนควบคุมตัวแต่ก็ไม่มีข้อพิสูจน์อะไรบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นคือฆาตกรที่แท้จริง ชาวอีสต์เอนด์ก็คิดว่าเคทคงเป็นเหยื่อรายสุดท้ายแล้ว แต่ขณะที่เจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งไปเก็บค่าเช่าบ้านกับแมรี จีน เคลลี สาวไอริชหน้าตาดีคนหนึ่ง หลังจากเคาะประตูแล้วไม่มีเสียงตอบเขาจึงไปดูทางหน้าต่าง และก็ต้องตกตะลึงกับภาพหญิงวัย 25 ปีอยู่ในสภาพนอนกางขาบนเตียงนอน ผิวหนังโดนถลก มีมดลูกกองอยู่ปลายเท้า มือข้างหนึ่งถูกจับล้วงเข้าไปในท้องที่โดนควักตับไตไส้พุงออก หัวใจถูกปลิดออกจากขั้วหายไป เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วห้อง ทั้งนี้เป็นที่รับรู้กันว่าตอนนั้นเคลลีกำลังตั้งครรภ์




เคลลีอาจจะใช่หรือไม่ใช่เหยื่อรายสุดท้ายของแจ็ค ในช่วงเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงข้างถนนอีกหลายคนถูกฆาตกรรม บางรายอาจจะเป็นฝีมือของแจ็คก็ได้เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงกับเหยื่อรายก่อนๆ อย่างไรก็ตามเป็นที่ยอมรับในหมู่สาวกของแจ็คว่าเหยื่อของแจ็คนั้นมี 5 รายดังกล่าว ขณะที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ฆาตกรโหดรายนี้ต้องมีความรู้ในการในการผ่าตัดหรือทางการแพทย์อยู่พอสมควร


ใครกันแน่

เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด อัลเบิร์ต วิคเตอร์ หรือเจ้าชายเอดดี ดยุคแห่งแคลเรนซ์ หนังสือหลายเล่มอ้างว่าพระองค์เคยเสด็จไปเที่ยวซ่องในย่านอีสต์เอนด์ และสันนิษฐานว่าพระองค์เรียนรู้เทคนิคในการชำแหละมาจากการล่าสัตว์ และทรงติดเชื้อซิฟิลิส ขณะที่สาเหตุอย่างเป็นทางการระบุว่าพระองค์สิ้นพระชนม์จากอาการปอดอักเสบ หนังสือหลายเล่มชี้ว่าพระองค์เป็นผู้ลงมือเองหรือไม่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมเพื่อปิดปังพฤติกรรมอันเหลวแหลก ทฤษฎีนี้แพร่หลายมากเพราะนักประวัติศาสตร์มีชื่อ อย่างไรก็ตามสาวกของแจ็คส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากบันทึกเกี่ยวกับพระกรณียกิจของเจ้าชายยืนยันว่าในขณะที่การฆาตกรรมเกิดขึ้นพระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในลอนดอนเลย อย่างไรก็ตามกลุ่มที่เชื่อทฤษฎีนี้โต้ว่าเจ้าชายเอดดีอาจจะแอบมาลอนดอน หรือมิเช่นนั้นบันทึกของทางการอาจจะเป็นสิ่งที่ "แต่ง" ขึ้นมาก็ได้


มอนเทกิว จอห์น ดริตต์ เขาเป็นครูและศึกษาด้านการแพทย์ขณะที่สอบได้เนติบัณทิตแล้ว ดริตต์มาจากครอบครัวที่ดีและมีการศึกษาแต่กลับมีอาการวิกลจริต สองวันหลังจากที่เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนแบล็กเฮลท์เขาก็ฆ่าตัวตายด้วยการถ่วงตัวเองให้จมน้ำด้วยหินที่ซุกไว้ตามกระเป๋า และทิ้งข้อความลาตายไว้ว่า "ตั้งแต่วันศุกร์แล้วผมรู้สึกว่ากำลังจะเป็น (บ้า)เหมือนแม่ และการตายคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมในตอนนี้" ตำรวจพบกระดาษโน้ตจากศพของเขาที่ลอยมาตามแม่น้ำเทมส์เมื่อ 31 ธันวาคม ปี 1888 ทั้งนี้ เขาหายตัวไปหลังจากที่พบศพเหยื่อรายที่ 5 ได้ไม่นาน การสอบสวนของตำรวจระบุว่าเขาฆ่าตัวตายเนื่องจากอาการซึมเศร้า และสรุปว่าเขาคือแจ็คเดอะริปเปอร์ ตำรวจปิดคดีได้สำเร็จโดยที่เขาตกเป็นแพะรับบาป มีคนตั้งข้อสงสัยว่าเขาฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรมเสียเองกันแน่ ขณะที่การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ซึ่งแสดงต่อศาลระบุว่าการตายของเคลลีและการตายของดริตต์มีความเกี่ยวโยงกัน บ้างระบุว่าดริตต์มีอาการป่วยทางจิตหลังจากการสังหารเหยื่อรายที่ 5 ของเขา


อย่างไรก็ตาม มีผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแจ็คอีกนับไม่ถ้วน ทั้งผู้ต้องหาที่มีประวัติวางยาพิษภรรยา แพทย์ ข้ารับใช้ราชสำนัก รวมถึงศิลปินที่ผลงานของเขาแสดงถึงความเกลียดชังผู้หญิง

ล่าสุด เทรเวอร์ แมริออต อดีตนักสืบหัวเห็ดสังกัดเบดฟอร์ดเชียร์ซึ่งหันมาศึกษาเรื่องแจ็คด้วยเทคนิคสืบสวนสมัยใหม่ออกมาตั้งข้อสันนิษฐานว่า แจ็คเดอะริปเปอร์นั้นอาจจะไม่ใช่ชาวลอนดอน แต่เป็นกะลาสีชาวนิการากัวหรือเยอรมันซึ่งเดินทางมาค้าขายในอังกฤษและติดโรคร้ายจากการเที่ยวผู้หญิงและต้องการแก้แค้น

หนังสือของเทรเวอร์ "Jack the Ripper: The 21st Century Investigation" บอกว่าตำรวจสันนิษฐานอย่างผิดๆ ว่าฆาตกรนั้นอาศัยและทำงานในอีสต์เอนด์ และตำรวจยังไม่รู้วันเวลาของการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ โดยถูกทำให้เขวและเลือกที่จะไม่มองถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ลงมือนั้นอาจจะเป็นกะลาสีเรือ


เทรเวอร์เชื่อว่าช่วงที่เกิดเหตุสยองขวัญนั้นฆาตกรเดินทางมากับเรือจำนวนไม่มากที่มาทอดสมอในท่าเรือของอีสต์เอนด์หรือใกล้เคียง อย่างไรก็ตามเขาบอกว่าชื่อของลูกเรือก็ถูกทำลายหรือไม่ก็สูญหายทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะชี้ชัดลงไปว่าเป็นลูกเรือคนใด

เทรเวอร์อ้างข้อมูลที่พบว่ามีผู้หญิงขายตัว 6 คนถูกชำแหละในสไตล์ของแจ็คในนิการากัว ในช่วง 10 วันของเดือนมกราคม ปี 1989 หรือเพียงสองเดือนที่เชื่อว่าการฆาตรรมได้สิ้นสุดลง แต่การฆ่าชำแหละศพในนิการากัวตามมาด้วยการฆาตกรรมแบบเดียวกันอีกครั้งในลอนดอนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และอีกหนึ่งคดีที่ท่าเรือเฟลนเบิร์กในเยอรมนีในตุลาคม และอีกหนึ่งคดีในลอนดอนเมื่อเดือนกรกกฎาคม ปี 1891


นอกจากนี้ เทรเวอร์ยังเชื่อว่าแจ็คไม่ได้มีความรู้ด้านการแพทย์ ซึ่งตรงข้ามกับที่หลายฝ่ายเชื่อ โดยเขาบอกว่าหากแจ็คเคยฝึกผ่าตัดอยู่บ้างเขาก็คงจะลำบากที่จะจัดการเฉือนอวัยวะออกจากร่างเหยื่อตามตรอกซอยที่มืดสลัว ส่วนอวัยวะที่ถูกคว้านออกมานั้นก็เพื่อเอาไปขายในตลาดค้าอวัยวะมนุษย์ซึ่งผิดกฎหมายแต่เฟื่องฟูในยุคนั้น

ทฤษฎีของอดีตนักสืบรายนี้ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างมาก ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการบอกว่าเทรเวอร์เอาเรื่องเก่านำมาเล่าใหม่เท่านั้น ขณะที่อีกกลุ่มยังสำทับว่าประด็นกะลาสีเรือนี้ถูกตั้งขึ้นมาตั้งแต่มีการฆาตกรรมแล้ว

 72334


jerrysoft
#2
02-01-2010 - 10:31:55

#2 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 10:31:55 ]




นักทฤษฏี คดี แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เชื่อว่า เหตุผลที่เขาใช้ชื่อลงท้ายว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ให้คำขยายว่า แจ๊ค เป็นชื่อสามัญ ที่ทุกคนรู้จักดีไม่จำเป็นต้องให้คำขยายใดๆ และ อีกประเด็นคือ แจ๊ค เป็นชื่อของ อาชญากรในอดีตผู้โด่งดังหลายราย เช่น หัวขโมยนักแหกคุก แจ๊ค เช้พผาร์ด เขาตายในปี 1724 จากนั้น แฮร์รสัน เอนสเวิร์ธ นำประวัติของเขามาเขียนใหม่อีกครั้ง และยังมี แจ๊ค แรนน์ ฉายา แจ๊ค 16เส้น เนื่องจากเวลาขี่ม้าเขาชอบประดับขากางเกงด้วยเส้นไหม คนต่อมา แจ๊ค เท้าสปริง เป็นฉายาที่รู้จักกันดี เป็นวายร้ายที่เก่งกาจ ในการปลอมตัวทุกรูปแบบ สร้างความหวาดกลัวทั่วลอนดอนในปี 1837-38 ดังนั้น แจ๊ค จึงเป็นชื่อของ อาชญกร โด่งดังในอดีต เพียงแต่บางคนมองว่า เป็นชื่อของ อาชณกรในนิยายราคาถูก ส่วนคำว่า ริปเปอร์ แปลว่า ผู้ตัด - ฉีก อันเป็นวิธีในการฆาตกรรมของเขา รวมแล้ว ชื่อของเขาก็คือ แจ๊คนักฆ่าชำแหละศพนั่นเอง ส่วนจดหมายที่ถูกส่งมาในวันที่ 25 กันยายน 1888 ถูกเขียนด้วยหมึกแดง ว่า
เจ้านายที่เคารพ
ผมได้ยินอยู่เรื่อยว่าตำรวจจะจับผม แต่พวกเขายังหาตัวผมไม่ได้เลย ผมได้แต่หัวเราะเมื่อดูพวกเขาช่างฉลาดล้ำและคุยโวว่ากำลังตามตัวไปถูกทาง เรื่องตลกเกี่ยวกับ ผ้ากันเปื้อนหนัง ทำให้อดหัวเราะไม่ได้จริงๆ ผมอยากกำจัดพวกโสเภณีและผมไม่สามารถหยุดเชือดพวกหล่อนได้จนกว่าจะเอาพวกหล่อนมาคาดรอบพุง งานชิ้นสุดท้ายช่าง ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ผมไม่ให้โอกาสสุภาพสตรีผู้นั้นร้องแม้แต่แอะเดียวตำรวจจะจับผมได้อย่างไรกัน ผมรักงานของผมและอยากจะลงมืออีก ในไม่ช้า คุณ จะได้ยินเรื่องราวของผมอีก เล็กๆน้อยๆ เป็นงานอันสนุกของผม ผมอุส่าเกบเลือดไว้ในขวดเบียร์เพื่อเอาไว้ใช้เขียน แต่มันข้นเหมือนกาวผมเลยใช้มันไม่ได้ แค่หมึกแดงก็เพียงพอแล้วสำหรับผม ฮ่าๆๆๆ งานต่อไปของผมก็คือ ผมจะตัดหูของสุภาพสตรีส่งให้
 72336


jerrysoft
#3
02-01-2010 - 10:38:19

#3 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 10:38:19 ]





jerrysoft
#4
02-01-2010 - 10:39:05

#4 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 10:39:05 ]




 72348


jerrysoft
#5
02-01-2010 - 10:40:02

#5 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 10:40:02 ]




ดาราหน้าหนึ่งคนแรกของหนังสือพิมพ์ข่าวชาวบ้านแห่งศตวรรษที่ยี่สิบ เขายังคงเป็นนักฆ่าหลายศพที่อื้อฉาว และลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์
แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ( Jack the Ripper ) ก่อคดีสยองสุดร้ายกาจถึงห้าคดีในระยะเวลาเพียงสิบสัปดาห์ในมหานครลอนดอน (London) เมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี 1888 ยังผลให้เกิดข่าวลือ, คำซุบซิบนินทา, และความหวาดสะพรึงไปทั่ว แต่ก็ไม่อาจจับกุมเขาได้เลย
ภาพยนตร์เรื่อง "FROM HELL" สร้างอ้างอิงจากนวนิยายบรรยายภาพสุดบรรเจิดที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เต็มไปด้วยตำนานสยองของ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ( Jack the Ripper ) ที่จะกระตุกประสาททุกเส้นให้ตึงเครียด และตีแผ่เบื้องหน้าเบื้องหลังของขบวนการสมทบคบคิดที่โยงใยขึ้นไปยังกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศอังกฤษ ( England ) เลยทีเดียว
ภาพยนตร์เรื่อง "FROM HELL" นำแสดงโดย จอห์นนี่ เด็ป ( Johnny Depp ), ฮีทเธอร์ เกรแฮม ( Heather Graham ), เอียน โฮล์ม ( Ian Holm ), เจสัน เฟล็มมิ่ง ( Jason Flemyng ), และ ร็อบบี้ คอลเทรน ( Robbie Coltrane ) ผลงานการกำกับ และบริหารงานอำนวยการสร้างภาพยนตร์โดย อัลเล็น และ อัลเบิร์ต ฮิวจ์ ( Allen and Albert Hughes จาก Dead Presidents, Menace II Society, และ American Pimp ) และร่วมบริหารงานอำนวยการสร้างภาพยนตร์กับ เอมี่ รอบินสัน ( Amy Robinson จาก Autumn in New York ), และ โธมัส เอ็ม. แฮ้มเมล ( Thomas M. Hammel ) รวมทั้ง ดอน เมอร์ฟี่ ( Don Murphy จาก Bully, และ Natural Born Killers ) กับ เจน แฮมเชอร์ ( Jane Hamsher จาก Natural Born Killers ) เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ด้วย
ภาพยนตร์เรื่อง "FROM HELL" สร้างจากบทของ เทอร์รี่ เฮย์ ( Terry Hayes ), และ ราฟาเอล เกลเซียส ( Rafael Yglesias ) เป็นผลงานการสร้างภาพยนตร์ของ Underworld Pictures / Don Murphy and Jane Hamsher / Amy Robinson พร้อมด้วยนักแสดงสมทบคับคั่ง อาทิ เลสลี่ ชาร์พ ( Lesley Sharp จาก "The Full Monty" ), ซูซาน ลินช์ ( Susan Lynch จาก "Waking Ned Devine" ), แคทริน คาร์ทลิดจ์ ( Katrin Cartlidge จาก "Breaking the Waves" ), และ เทอเร้นซ์ ฮาร์วี่ย์ ( Terence Harvey จาก "Prime Suspect" )
สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ส่วนใหญ่ก็มีปราสาทโบราณนอกกรุงปร้าก ( Prague ) และโรงถ่ายที่เนรมิตย่าน Whitechapel ของมหานครลอนดอน ( London ) ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมอื้อฉาว โดยสร้างกันบนพื้นที่ 20 เอเคอร์ใกล้ Barrandov Studios ชื่อดัง และคงความสมจริงของย่าน Whitechapel ที่มีบ้านเรือนร้านค้า และถนนหินกรวดสายแคบ ๆ ที่ตัดคดเคี้ยวผ่านสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมหญิงโสเภณีทั้งห้ารายที่จบชีวิตลงอย่างสยดสยอง
มาร์ติน ชายด์ ( Martin Childs จาก "Shakespeare in Love" ) ผู้ออกแบบสร้างสรรค์ฉากเจ้าของรางวัลออสการ์ ( Academy Award ) พร้อมด้วยคณะศิลปิน และช่างไม้ช่างสีมือฉมังถึงเจ็ดสิบชีวิตร่วมกันสร้างฉากให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งหมดในภาพยนตร์เรื่อง "FROM HELL" นี่มีตัวละครที่มีบทพูดมากกว่าหกสิบชีวิต และยังมีบางฉากต้องใช้นักแสดงมากกว่าสองร้อยห้าสิบคนแต่งตัวย้อนกลับไปถึงยุค Victorian England กันเลย หรือไม่ก็สวมใส่เสื้อผ้าชุดขาดวิ่นรุ่งหริ่ง งานนี้ได้ คิม บาร์เร็ต ( Kym Barrett จาก "The Matrix," และ "William Shakespeare's Romeo + Juliet" ) พร้อมด้วยคณะช่วยกันตัดเย็บเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมากกว่าสี่ร้อยชุดเพื่อใช้แสดงในภาพยนตร์ตลอดทั้งเรื่อง
นอกจากนั้นยังมีคณะผู้สร้างภาพยนตร์มือฉมังร่วมงานด้วยอีกมากมาย รวมทั้ง ปีเตอร์ เด็มมิ่ง ( Peter Deming, ASC จาก "Scream 2", "Scream 3", และ "Austin Powers: International Man of Mystery" ) มาเป็นผู้กำกับภาพ ซึ่งพี่น้องตระกูลฮิวจ์ ( Hughes brothers ) ประทับใจผลงานการกำกับภาพของเขาจาก "Lost Highway"
ส่วนงานเอ็ฟเฟ็คเมค-อัพพิเศษก็มอบหมายให้ Millennium Effects ที่เคยสร้างผลงานสุดประทับใจมาแล้วใน "Saving Private Ryan" และ "Gladiator" ทั้งยังได้ จอร์จ กิ๊บ ( George Gibbs จาก "Indiana Jones and the Last Crusade" ) มาเป็นผู้ดูแลงานสเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็ค, งานตัดต่อภาพยนตร์ก็ได้ แดน เล็บเบ็นทัล ( Dan Lebental จาก "Dead Presidents" ) และจอร์จ บาวเออร์ ( George Bowers, A.C.E. จาก "How Stella Got Her Groove Back" ) ส่วน เทรเวอร์ โจนส์ ( Trevor Jones จาก "Notting Hill" ) เป็นผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่อง FROM HELL หรือ "ฟร็อม เฮล .. ชำแหละพิสดารจากนรก" จะดูราวกับเป็นผลงานดราม่าร่วมสมัยที่เปิดตัวสองพี่น้องตระกูลฮิวจ์ ( the Hughes brothers ) แต่ทั้งคู่หลงใหลกับเรื่องราวของ เดอะ ริปเปอร์ ( the Ripper ) สุดอื้อฉาวซึ่งเกิดขึ้นในมหานครลอนดอน ( London ) มาตั้งแต่ปี 1888 โน้นเลยทีเดียว ความแตกต่างกันราวฟ้ากับดินของฐานะผู้คนในมหานครแห่งนี้ทำให้เกิดกลุ่มชนยากไร้ และขัดสนข้นแค้นจำนวนมหาศาล พวกเขาส่วนใหญ่มักจะชุมนุมกันอยู่ในย่านเสื่อมโทรมที่เรียกขานกันว่า ไว้ท์ชาเพล ( Whitechapel ) ถิ่นสลัมแสนสกปรกรกรุงรังที่กลายเป็นที่หลบเสพยา, ค้าเนื้อสดขายตัว, ร่ำสุรากันจนหัวราน้ำ, และก่อคดีอาชญากรรมตามท้องถนนสายเล็กสายน้อยบ่อยครั้ง
อัลเบิร์ต ฮิวจ์ ( Albert Hughes ) กล่าวว่า "นี่เป็นเรื่องราวของชนกลุ่มน้อยในสังคม มันว่าด้วยความยากจนข้นแค้น, ความรุนแรง, และการฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งเราเจาะจงตีแผ่ในหนังเรื่องนี้เพราะเราหลงไหลเสียเหลือเกิน ตัวละครทั้งหมดที่ในหนังเรื่องนี้ล้วนเป็นคนผิวขาว แต่คนยากคนจนต่างก็มีปัญหาแบบเดียวกัน
"นอกจากนั้นเราก็ยังประทับใจกับวิธีคิดแนวจิตวิทยาของ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ( Jack the Ripper ) ทั้งนิสัยใจคอ และอารมณ์ลุ่มลึกที่กระตุ้นให้เขาลงมือก่อคดีอื้อฉาว"
ส่วน อัลเล็น ฮิวจ์ ( Allen Hughes ) กล่าวว่า "การเล่าเรื่องราวครั้งก่อน ๆ เท่าที่ผ่านมาล้วนบิดเบือน, มักจะเป็นมุมมองของชนชั้นสูง เราจึงตีแผ่จากมุมมองของผู้คนที่อาศัยใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนผู้ยากไร้ ในย่านที่คดีอื้อฉาวเกิดขึ้นกันเลยทีเดียว"
ความเป็นมาของภาพยนตร์
คำว่า FROM HELL หรือชื่อของภาพยนตร์เรื่อง "ฟร็อม เฮล … ชำแหละพิสดารจากนรก" นี่ได้มาจาก คำลงท้ายจดหมายที่เขียนโดย เดอะ ริปเปอร์ ( the Ripper ) อ้างตนว่าเป็นคนที่อาศัยอยู่ ใน นรก และพยายามจะเอาชีวิตให้รอดภายใต้สภาวะที่กดดันน่าสยดสยอง บุคคลสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดเป็น หญิงโสเภณีห้าคน ที่มีมิตรภาพเหนียวแน่นต่อกัน และยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเขย่าขวัญจากฆาตกรสยอง
แมรี่ เคลลี่ ( Mary Kelly รับบทโดย ฮีทเธอร์ เกรแฮม - Heather Graham ), เค็ธ เอ็ดดาว ( Kate Eddowes รับบทโดย เลสลี่ ชาร์พ - Lesley Sharp ), ลิซ สตรายด์ ( Liz Stride รับบทโดย ซูซาน ลินช์ - Susan Lynch ), ดาร์ค แอนนี่ แชพแมน ( Dark Annie Chapman รับบทโดย แค็ทริน คาร์ทลิดจ์ - Katrin Cartlidge ), และ พอลลี่ ( Polly รับบทโดย แอนนาเบล แอพชั่น - Annabelle Apsion ) ต่างใช้ชีวิตอยู่อย่างยากแค้น, หากินจากเรือนร่างของตัวเอง ในสังคมที่ไม่เคยให้เกียรติ และตักตวงเอาจากพวกเธอเสียด้วยซ้ำ พวกเธอแทบจะไม่มีสมบัติติดตัวเลยสักชิ้น หนำซ้ำยังต้องต่อสู้กับศัตรูตัวฉกาจที่หมายปองจ้องเอาสิ่งมีค่าที่สุกที่พวกเธอมีเหลืออยู่ ซึ่งก็คือ ชีวิตของพวกเธอ นั่นเอง
ฮีทเธอร์ เกรแฮม ( Heather Graham ) กล่าวว่า "ตัวละครของดิฉัน และพวกเพื่อน ๆ ของเธอนี่ต้องใช้ชีวิตอยู่กันอย่างอด ๆ อยาก ๆ ในย่านสลัมที่น่ากลัว ต่างก็มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ แค่มีที่ให้ซุกหัวนอนได้นี่ก็หรูสุด ๆ แล้ว สิ่งเดียวที่ยังคงช่วยให้ แมรี่ เคลลี่ ( Mary Kelly ) มีกำลังใจต่อไปได้อีกวันหนึ่ง ๆ ก็คือ ความฝันที่หวนคืนสู่ไอร์แลนด์ ( Ireland ) บ้านเกิด และบ้านที่เธออาศัยอยู่เมื่อตอนยังเป็นเด็กสาว"
มีอยู่ฉากหนึ่งที่สะเทือนใจไม่น้อยก็คือฉากห้องนอนที่บรรดาสาว ๆ ถูกมัดเรียงติดอยู่กับเก้าอี้นั่งยาวเพื่อใช้เป็นที่นอน มันเป็นทางเลือกที่ไม่สบายนักสำหรับคนยากไร้ที่ไม่มีปัญญาหาที่หลับนอนเป็นเตียงได้ เจ้าของบ้านจะเข้ามาในตอนเช่าเพื่อตัดเชือกที่มัดไว้ แล้วก็ปล่อยให้พวกเธอกลับไปใช้ชีวิตในถนน ซึ่งพวกเขาก็ต้องออกไปหาเงิน เพื่อซื้อหาอาหาร และเป็นค่าที่พักอาศัยในค่ำคืนถัดไป มันเป็นวัฏจักรของการเอาชีวิตให้รอดไปวันหนึ่ง ๆ ที่ทั้งโหดร้าย และดูราวกับจะไม่สิ้นสุดลงได้ง่าย ๆ
"ชีวิตของพวกผู้หญิงเหล่านี้ช่างน่าสังเวช และดูมืดมนไร้อนาคต" เลสลี่ ชาร์พ ( Lesley Sharp ) กล่าว "การใช้ชีวิตเอาตัวให้รอดไปวันหนึ่ง ๆ ของพวกเธอนี่ต้องเผชิญหน้ากับการข่มขู่สารพัดรูปแบบ ทั้งจากพวกแมงดาหน้าเลือด, ลูกค้าโหด ๆ ที่ชอบใช้กำลัง, อาชญากรรมข้างถนน, โรคร้าย, และการติดสารเสพติด"
ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตของพวกเธอยิ่งเสี่ยงอันตรายเมื่อมีส่วนล่วงรู้ความลับสำคัญที่อาจโค่นล้มบัลลังก์กษัตริย์ ( the Crown ) และถึงขั้นปลิดชีพพวกเธอเองด้วยซ้ำ
มีเพียงเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ดูราวกับจะคอยช่วยเหลือปกป้อง "ผู้เคราะห์ร้าย" เหล่านี้ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มองเป็น การสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เขาคือ นักสืบเฟร็ด แอ็บเบอร์ไลน์ ( Inspector Fred Abberline รับบทโดย จอห์นนี่ เด็ป - Johnny Depp ) แอ็บเบอร์ไลน์ ก็เป็นคนอมทุกข์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนอื่น ๆ เขาทนทุกข์ทรมานจากความทรงจำอันเลวร้าย จนต้องหันไปพึ่งฝิ่น เขาติดฝิ่นจนเห็นภาพหลอน ซึ่งแม้จะช่วยให้ลืมความทรงจำอันโหดร้ายนั้นไปได้บ้าง แต่ก็ทำให้เขาหย่อนสมรรถภาพในการทำงานไปด้วยเหมือนกัน "แอ็บเบอร์ไลน์ ชอกช้ำกับชีวิตแสนลำเค็ญ" จอห์นนี่ เด็ป ( Johnny Depp ) เล่า "เขาสูญเสียทั้งภรรยาและลูก จนต้องเยียวยาตายวิธีของเขาเองเพื่อให้ประทังชีวิตอยู่ได้ไปวันหนึ่ง ๆ " นักสืบหนุ่มได้เลื่อนขั้นเพื่อดูแลท้องที่ ไว้ท์แชพเพิล ( Whitechapel ) หลังจากเป็นนายตำรวจมานานหลายปี แต่กลับต้องเรียนรู้บทเรียนโหดว่า แท้ที่จริงแล้วมันเป็นท้องที่เกิดเหตุคดีสะเทือนขวัญที่ก่อขึ้นโดยน้ำมือของ เดอะ ริปเปอร์ ( the Ripper ) เอมี่ รอบินสัน ( Amy Robinson ) ผู้บริหารงานอำนวยการสร้างภาพยนตร์กล่าวว่า "แอ็บเบอร์ไลน์ เป็นตัวละครที่ทำให้ย้อนนึกถึงบุคลิกของตัวละครสำคัญในนิยายคลาสสิคยุคทศวรรษที่สิบเก้า เขาจะเป็นพวกฮีโร่ที่มีปมด้อย ซึ่งพยายามต่อสู้กับกำลังใจที่ถดถอยอยู่ภายในอย่างท้อแท้ ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ร้ายแรงน่าสะพรึงที่เกิดขึ้นกับชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า"
นักสืบหนุ่มยังโชคดีอยู่บ้างที่มี ผู้ช่วย เป็นเพื่อนคู่ใจในการสืบสวนคดีฆาตกรรมสยอง เขาคือ จ่าก็อดลี่ ( Sgt. Godley ) ซึ่งรับบทโดย ร็อบบี้ คอลเทรน ( Robbie Coltrane จาก "The World Is Not Enough" ) ก็อดลี่ เป็นเพื่อผู้ซื่อสัตย์ ที่คอยยื่นมือให้ความช่วยเหลือและเป็นห่วงเป็นใย แอ็บเบอร์ไลน์ ตลอดช่วงที่เขายังไม่ฟื้นจาก "การไล่ล่ามังกร" ( "chases the dragon" ) หรือ ฤทธิ์ของการเสพฝิ่น นั่นเอง "ก็อดลี่ เป็นตำรวจเลือดสก็อต ( Scottish ) ที่โผงผางตรงไปตรงมา ที่จะสรุปคดีปิดลงได้ก็ต่อเมื่อได้หลักฐานสมบูรณ์สนับสนุนเท่านั้น" คอลเทรน กล่าว "อย่างพวกเลือดบนคมมีด และพยานบุคคลแน่นหนา เขายังปลื้มกับวิธีการสืบสวนสอบสวนแปลกใหม่ และอาศัยสัญชาตญาณเป็นหลักของ แอ็บเบอร์ไลน์ ไม่น้อยเหมือนกัน มันช่างแตกต่างจากธรรมชาติของการสืบสวนคดีแบบ ก็อดลี่ โดยสิ้นเชิง แต่เขาก็ยอมรับ วิสัยทัศน์ที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง ของ แอ็บเบอร์ไลน์ ทั้งยังกระตือรือร้นที่จะสืบสวนสอบสวนแนวทางใหม่เสียด้วยซ้ำ" จอห์นนี่ เด็ป ( Johnny Depp ) กล่าวว่า "ก็อดลี่ เป็นเพียงบุคคลเดียวในโลกที่ แอ็บเบอร์ไลน์ ยอมรับนับถือ และยอมรับฟังเหตุผล ก็อดลี่ พยายามช่วยให้เขายังชีพอยู่ได้ คอยดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด ก็อดลี่ เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเขาเลยล่ะครับ"
เมื่อคดีฆาตกรรมในย่านไว้ท์แชพเพิล ( Whitechapel ) สูงขึ้นเรื่อย ๆ นักสืบหนุ่มสองคนก็ถูกเพ่งเล็งจากเจ้านายเบื้องบน ที่พยายามจะปกปิดคดีสยดสยองไม่ให้เล็ดลอดล่วงรู้สู่สาธารณชน มากกว่าที่จะพยายามหาตัวฆาตกรมาลงโทษอย่างจริงจัง จะมีเพียงท่านเซอร์ วิลเลี่ยม กัล ( Sir William Gull รับบทโดย เอียน โฮล์ม - Ian Holm ) เท่านั้น นอกจากเขาจะเป็นแพทย์ประจำราชวงศ์แล้ว ก็ยังมีอำนาจมากพอที่จะสนับสนุนนักสืบหนุ่มที่ใครต่อใครหันหลังให้อีกด้วย
"กัล มั่นใจว่า คดีฆาตกรรมทั้งหมดเกิดจากน้ำมือของบุคคลที่มีความรู้ความชำนาญทางการแพทย์" เอียน โฮล์ม ( Ian Holm ) กล่าว "ฆาตกรมีความสามารถเชิงศัลยแพทย์เกินกว่าที่คนฆ่าสัตว์, พ่อค้าเนื้อ, หรือคนงานใด ๆ จะทำได้ ทั้งยังมีลัทธิความเชื่อพิสดาร และน่าสะพรึงเข้ามาพวพันเกี่ยวข้องด้วยนะ"
กัล ยังแนะนำให้ แอ็บเบอร์ไลน์ รู้จักกับเครื่องไม้เครื่องมือที่ฆาตกรอาจจะนำมาใช้ในการก่อคดีสะเทือนขวัญด้วยซ้ำ ซึ่งคำแนะนำของเขาช่วยให้ แอ็บเบอร์ไลน์ ตัดข้อสงสัยที่ว่าคดีฆาตกรรมอาจโยงใยไปถึง Order of Freemasons ซึ่งอาจกลายเป็นการรับบัญชาสนองเบื้องพระยุคลบาทไปได้นั่นเอง
กลุ่ม Freemasons เป็นคณะบุคคลผู้ทรงอำนาจมหาศาล เป็นองค์กรคล้ายกับลัทธิ ที่มีสมาชิกสืบทอดเจตนารมย์ต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ส่วนหนึ่งเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุด และทรงอานุภาพที่สุดในโลกด้วยซ้ำ กลุ่ม Freemasons เคยเป็นตัวการของกระบวนการสมทบคบคิดหลายต่อหลายครั้ง ทั้งยังมีพิธีกรรมต้อนรับคนใหม่เข้าร่วมลัทธิ, และสาบานตนว่าจะรักษาความลับยิ่งชีวิตด้วย
การเชื่อมโยงราชวงศ์ ( Crown ) เข้ากับคดีฆาตกรรม แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ( Jack the Ripper ) ทั้งหมดมีมูลน่าเชื่อถือไปทั่วทวีปยุโรป ( Europe ) ซึ่งมีการนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างแจ่มชัดมากกว่าในหมู่ชนชาวอังกฤษ ( British ) เฉกเช่นเดียวกับที่อเมริกันชน ( Americans ) รับรู้ข่าวสารการลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ ( JFK assassination ) เลยทีเดียว ความเชื่อมโยงความรับผิดชอบของราชบัลลังก์ถึงการลักลอบสมรสอย่างลับ ๆ ปรากฎในนิยายของ อัลลัน มัวร์ ( Alan Moore ) เรื่อง From Hell ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1999 เป็นตอน ๆ ถึงสิบตอนในนิตยสารรวมเรื่องสั้นชื่อ Taboo ภาพประกอบที่วาดโดยศิลปินชื่อ เอ็ดดี้ แคมพ์เบล (Eddie Campbell ) ก็ประทับใจ ดอน เมอร์ฟี้ ( Don Murphy จาก "Natural Born Killers" ) ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ และขอซื้อลิขสิทธิ์ไว้ทั้งหมด
เมอร์ฟี้ เล่าว่า "อัลลัน มัวร์ ( Alan Moore ) เป็นนักเขียนนิยายภาพชั้นครู ผมเป็นแฟนเหนียวแน่น และชื่นชมผลงานของเขามานานหลายปีแล้ว ผมติดใจ From Hell เอามาก ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันเกี่ยวข้องกับ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ( Jack the Ripper ) มันยอดเยี่ยมมาก, ซับซ้อน, และน่าลุ้นน่าติดตาม ทั้งยังทำการบ้านมาแน่น มีการอ้างอิงงานวิจัยและบทคัดย่อยืนยันสารพัด"
นิยายของ มัวร์ ถูกดัดแปลงมาเป็นบทภาพยนตร์โดย เทอร์รี่ เฮย์ ( Terry Hayes ) และ ราฟาเอล เกลเซียส ( Rafael Yglesias ) ซึ่งรายหลังนี่มาช่วยตีความมุมมองของการสมทบคบคิดได้อย่างเหนือชั้นด้วย
"ไม่ว่าราชวงศ์อังกฤษ ( British monarchy ) จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมของเจ้า เดอะ ริปเปอร์ ( the Ripper ) มากน้อยหรือไม่เลยก็ตามที มันก็ไม่อาจลบล้างประเด็นกดขี่ทางชนชั้นให้ลดถอยลงไปได้" เกลเซียสกล่าว "ทางการปฏิเสธแม้จะลองพิจารณาความเป็นไปได้ที่ว่า ผู้ต้องสงสัยอาจจะเป็นผู้รากมากดีมีฐานะที่เชี่ยวชาญผลงานยุควิคตอเรี่ยน ( Victorian era ) ความบกพร่องของสังคมถูกตราหน้าว่าเกิดจากคนจนผู้ยากไร้ และคนชั้นกรรมาชีพอยู่ร่ำไป"
ในฐานะที่เธอก็เป็นชนชั้นกรรมาชีพคนหนึ่ง, อาจจะเรียกว่า หญิงโสเภณี ก็ได้, แมรี่ เคลลี่ ( Mary Kelly ) ก็ไม่อาจเข้ากับสังคมของผู้ "มีชื่อเสียงหน้าตาควรค่าแก่การเคารพ" ได้อย่างสนิท อย่างน้อยก็ตอนที่เธอไม่ได้ทำงาน ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ และความระแวงว่าจะตกเป็นเครื่องมือ ทำให้เธอปฏิเสธการสืบสวนสอบสวนของ แอ็บเบอร์ไลน์ ในตอนแรก
"พวกหญิงสาวที่ทำมาหากินข้างถนนมักปกป้องตัวเองก่อนเสมอ" อัลเล็น ฮิวจ์ ( Allen Hughes ) กล่าว "แมรี่ เคลลี่ ( Mary Kelly ) มองว่า แอ็บเบอร์ไลน์ ก็เป็นเพียงผู้ชายอีกคนหนึ่งที่หวังใช้ประโยชน์จากตัวเธอ ความสุภาพ และความจริงใจของเขานั่นเองที่ค่อย ๆ หังปราการป้องกันตัวเองของเธอลงได้ และเธอจึงค่อย ๆ ไว้วางใจเขามากขึ้น ๆ "
เมื่อมิตรภาพแนบแน่นยิ่งขึ้น มันก็ลึกซึ้งเกินกว่าที่ชนชั้นทางสังคม หรือชนชั้นที่แตกต่างกันของทั้งคู่จะมาขวางกั้นได้ อันตรายแห่งการสบทบคบคิด และความไร้เมตตาปรานีมุ่งตรงมายังหัวใจรักของทั้งสอง และชะตากรรมของทั้งคู่ตกอยู่ในเงื้อมมือของฆาตกรอำมหิตที่หมายจะสร้างชื่อให้ประวืตศาสตร์ต้องจารึกชื่อของเขาไว้ในหน้าใดหน้าหนึ่งให้จนได้
ในทางกลับกัน เดอะ ริปเปอร์ พยายามจะอวดอ้างตัวเองว่าเป็นผู้ยกระดับความรุ่งเรืองของศตวรรษที่ยี่สิบ หากแต่เป็นการนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์ของหนังสือพิมพ์ชาวบ้านที่เจาะจงเสนอข่าวเลือดสาดเป็นหลัก และลัทธิคลั่งคนดัง บรรดาหนังสือพิมพ์เจ้ากรมกระพือสะพัดของอังกฤษ ( British tabloids ) โดดตระคลุบข่าวอื้อฉาวแบบนี้แทบจะในทันที และโหมประโคมกันจนกลายเป็นตำนานไปในที่สุด
จอห์นนี่ เด็ป ( Johnny Depp ) ซึ่งคุ้นเคยกับข่าวคราวแนวนี้มากที่สุด กล่าวว่า "ก่อนเกิดเหตุของ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ( Jack the Ripper ) มีหนังสือพิมพ์วางขายในมหานครลอนดอน ( London ) เพียงไม่กี่ร้อยฉบับ แต่เมื่อถึงจุดที่ข่าวฆาตกรรมแพร่สะพัดไปทั่วทุกหัวระแหงแล้ว ก็มีหนังสือพิมพ์เปิดตัวรองรับกระแสอีกหลายพันฉบับเลยเชียว" ถือได้ว่า แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ( Jack the Ripper ) โด่งดังก็เพราะสื่อมวลชน และยังกลายเป็น "ดาราข่าวชาวบ้าน" ( "tabloid star" ) คนแรกไปเลยด้วย
คดีฆาตกรรมของเดอะ ริปเปอร์ ( The Ripper ) ยังก้าวล้ำหน้าวิทยาการชันสูตรของทางตำรวจ ซึ่งยังอยู่ในขั้นเริ่มแรกในยุค 1880 เลยทีเดียว อัลเล็น ฮิวจ์ ( Allen Hughes ) กล่าวว่า "ในเวลานั้น ถ้าตำรวจไม่อาจจับฆาตกรได้คาหนังคาเขาใกล้ ๆ กับศพ พร้อมด้วยเลือดเปื้อนคามือแล้วล่ะก็ เขาไม่อาจดำเนินคดีกับคุณได้เลย มันยังไม่มีกระบวนการที่ได้มาตรฐานของการตรวจสอบลายนิ้วมือ หรือการทดสอบเม็ดเลือกล้ำสมัยเช่นในปัจจุบัน แต่คดีฆาตกรรมครั้งประวัติศาสตร์นี้ช่วยก่อกำเนิดพัฒนาการของกระบวนการเชิงวิทยาศาสตร์ และเครื่องไม้เครื่องมือที่จะนำมาต่อกรกับคนร้ายได้"
แน่นอนว่า แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ( Jack the Ripper ) ไม่เคยถูกจับกุมตัวได้ รูปพรรณสัณฐานของเขายังคงมืดมน, ความกล้าบ้าบิ่นของเขาในการก่อคดีฆาตกรรมอย่างโหดร้ายทารุณในที่สาธารณะ, และความสามารถเฉพาะตัวที่หลบหนีไปในความมืดได้อย่างไร้ร่องรอย ยังคงสร้างความคลางแคลงใจกับสาธารณชนมากนานกว่าศตวรรษ "เขาขึ้นชื่อเป็นอาชญากรตัวฉกาจที่เหมาะจะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์มากที่สุด" ร็อบบี้ คอลเทรน ( Robbie Coltrane ) ยอมรับ
อัลเบิร์ต ฮิวจ์ ( Albert Hughes ) ตั้งข้อสังเกตว่า "สิ่งที่ท้าทาย และดึงดูดความสนใจของพวกเราก็คือการได้ตีแผ่ตำนานที่โด่งดังและเต็มไปด้วยความลึกลับซ่อนเงื่อน มาผสมผสานเข้ากับจินตนาการของเราเอง และสร้างให้มันกลายเป็นเรื่องราวที่มีหลายมิติได้" อัลเล็น ฮิวจ์ ( Allen Hughes ) กล่าวเสริมว่า "จะเห็นว่า เหยื่อทุกคนของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ( Jack the Ripper ) ไม่เคยถูกมองว่าเป็นคนเลยแม้สักรายได้ เราต้องการสร้างให้พวกเขามีชีวิตเป็นผู้เป็นคนในสังคม ไม่ใช่เป็นแค่เหยื่อธรรมดา ๆ คนหนึ่ง พวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน
 72349


jerrysoft
#6
02-01-2010 - 10:51:50

#6 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 10:51:50 ]




เนสซี (Nessie) คือสิ่งมีชีวิตลึกลับชนิดหนึ่งที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อกเนสส์ แคว้นสกอตแลนด์ เชื่อว่ามีรูปร่างคล้ายเพลสสิโอซอรัส (Plesiosaurus) หรือ อีลาสโมซอรัส (Elasmosaurus) สัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยในทะเลยุคเดียวกับไดโนเสาร์ มีผู้อ้างว่าเคยพบเห็นถึงปัจจุบันกว่า 4,000 ครั้ง และมีรูปถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพยนตร์มากมาย โดยเอกสารแรกสุดที่กล่าวถึงเนสซี คือ บันทึกของบาทหลวงเซนต์โคลัมบา เมื่อราว 1,400 ปี ที่แล้ว กล่าวถึงมังกรที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ และท่านเองก็เคยทำพิธีขับไล่มังกรตัวนี้ด้วย

ใน พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) ได้มีการตัดถนนผ่านทะเลสาบล็อกเนสส์ จึงมีผู้พบเห็นเนสซีมากขึ้น โดยมีผู้อ้างว่า ขณะเขาขับขี่มอเตอร์ไซค์นั้น เห็นเนสซีขึ้นมาบนบก ไฟจากหน้ารถที่ส่องไปถูกตัวทำให้เห็นว่าเนสซีมีรูปร่างคล้ายเพลสิโอซอรัส และต่อมาก็ได้มีผู้ถ่ายรูปไว้ได้มากมายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงเงาตะคุ่ม ๆ หรือคลื่นน้ำที่เคลื่อนไหวบนผิวน้ำเท่านั้น ต่อมา ทางมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมได้ทำการค้นคว้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยใช้เรือติดสัญญาณโซนาร์หลายลำแล่นไปบนพื้นผิวน้ำ เรียกว่า "ปฏิบัติการดีปสแกน" (Deepscan Operation) ปรากฏว่า โซนาร์ได้สะท้อนถึงเงาของวัตถุบางอย่างขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวใต้น้ำ แต่บางคนคิดว่าอาจเป็นเพียงฝูงปลาธรรมดา ๆ


รูปจากจอโซนาร์เรื่องราวเกี่ยวกับเนสซีมีทั้งผู้ที่เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อ โดยผู้ที่เชื่อนั้นเชื่อว่า เนสซีอาจเป็นไดโนเสาร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบล็อกเนสส์ในยุคโบราณนั้นเคยเป็นทะเลมาก่อน ไดโนเสาร์ในสมัยนั้นอาจเข้ามาอยู่อาศัยจนสภาพของพื้นที่เปลี่ยนไป กลายเป็นพื้นที่ปิดและปราศจากสิ่งรบกวน สัตว์ที่อาศัยอยู่ในนี้จึงยังหลงเหลืออยู่และมีสภาพไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งแรกที่เข้ามาอาศัย ไม่เพียงเท่านั้นแหล่งน้ำหรือทะเลสาบที่มีลักษณะใกล้เคียงกับล็อกเนสส์ที่อื่น ๆ และบริเวณใกล้เคียงกันก็มีรายงานของสิ่งประหลาดที่คล้ายกับเนสซีด้วย ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เชื่อนั้นเชื่อว่า รูปถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหวที่ได้นั้น อาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเนสซีเลย และทั้งหมดทำขึ้นก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ทะเลสาบแห่งนี้โด่งดังขึ้น โดยบางรูปเชื่อว่าเป็นเพียงหางของตัวนากที่กำลังดำน้ำหรือเป็นขอนไม้หรือวัสดุต่าง ๆ ที่กำลังลอยน้ำอยู่

ทุกวันนี้ เรื่องราวของเนสซีก็ยังเป็นเรื่องลึกลับที่เป็นที่สนใจของคนทั้งโลก มีผู้ไปสำรวจและศึกษามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดได้หลักฐานของเนสซีที่หนักแน่นสักราย อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของเนสซีก็สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลสกอตแลนด์และชุมนุมใกล้เคียงเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก


ภาพนิ่งที่มีชื่อเสียงอีกภาพหนึ่งของเนสซี ซึ่งเป็นภาพนิ่งที่ชัดเจนที่สุด ถ่ายในปี พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977)ปัจจุบันทางบริษัทวิลเลียมฮิลล์ บริษัทพนันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้ประกาศออกมาว่าจะให้เงินรางวัลจำนวน 1 ล้านปอนด์หรือประมาณ 70 ล้านบาทแก่ผู้ที่สามารถหาหลักฐานได้ว่าเนสซีมีอยู่จริง ในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) นายกอร์ดอน โฮล์มส เจ้าหน้าที่เทคนิคห้องแล็บได้อ้างว่า สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นเนสซีได้ด้วยความยาวถึง 2 นาทีครึ่งขณะนั่งชมทิวทัศน์อยู่ริมทะเลสาบล็อกเนสส์ ซึ่งภาพของนายโฮล์มสครั้งนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นของเนสซีที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา นายเอเดียน ไชน์ นักชีววิทยาสัตว์น้ำ ได้ตรวจสอบภาพของนายโฮล์มสแล้วมีความเห็นว่า เป็นการยากที่จะเป็นการตกแต่งหรือทำปลอมขึ้น เพราะภาพไม่ได้จับเฉพาะแต่สัตว์ประหลาด แต่ยังถ่ายไปถึงภูเขารอบทะเลสาบด้วย จึงสามารถเปรียบเทียบความเร็วและขนาดของสิ่งที่เคลื่อนไหวในน้ำได้ด้วย โดยเชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีความยาวประมาณ 15 เมตร เคลื่อนที่ด้วยการว่ายน้ำด้วยความเร็วถึง 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และภาพบางส่วนยังจับให้เห็นสิ่งที่คล้ายครีบด้วย ซึ่งวีดีโอภาพชุดนี้เป็นที่ฮือฮาและกล่าวขานอย่างมากในสหราชอาณาจักร เมื่อได้ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะโดยสำนักข่าวบีบีซีในอีก 3 วันถัดมา มีผู้คนมากมายที่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ และต่อมาไม่นานได้มีการเปิดเผยว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรเพิ่งจะเปิดเผยข้อมูลลับว่า ทางรัฐบาลเชื่อว่า เนสซีมีอยู่จริง ตั้งแต่สมัยนางมาร์กาเรต แทตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรี และอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองและอนุรักษ์สัตว์ป่าของอังกฤษที่ครอบคลุมทั้งสัตว์ที่รู้จักและไม่รู้จักหลายชนิด

 72363


jerrysoft
#7
02-01-2010 - 10:52:22

#7 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 10:52:22 ]




 72365


jerrysoft
#8
02-01-2010 - 10:54:08

#8 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 10:54:08 ]




 72368


jerrysoft
#9
02-01-2010 - 10:55:36

#9 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 10:55:36 ]





jerrysoft
#10
02-01-2010 - 10:55:57

#10 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 10:55:57 ]




^
^
^
คลิปเนสซี่


nick
#11
02-01-2010 - 11:04:10

#11 nick  [ 02-01-2010 - 11:04:10 ]




สนุกดีได้ความรู้


lliinattiill
#12
02-01-2010 - 11:27:37

#12 lliinattiill  [ 02-01-2010 - 11:27:37 ]




โห ห ห นึกว่าเกี่ยวกะเกม แต่ก็เจ๋งดี ไปเอามาจากไหนน่ะ??


jerrysoft
#13
02-01-2010 - 14:20:36

#13 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 14:20:36 ]




กว่า 500 ปีมากแล้วกับคำถามที่ว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) นั่นเป็นใคร ซึ่งยังเป็นปริศนา และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและแน่นอน ว่าบุคคลในภาพเขียนของ ลีโอนาร์
โด ดา วินซี่ (Leonardo da vin Ci 1452-1519) คือใครกันแน่ ภาพนี้วาดขึ้นราวๆ ค.ศ. 1503-1506 โดยแฝงรอยยิ้มที่ลึกลับ น่าเคลือบแคลง ไปด้วยปริศนามากมายลง
บนใบหน้าของ โมนา ลิซ่า ให้ผู้คนได้นึกคิด จินตนาการกันไปต่างๆ นานา ยาวนานถึง 5 ศตวรรษ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน คำถามที่ผู้คนสงสัย และได้ค้นคว้าหาคำตอบกันอย่างมากมาย ก็คือ โมนา ลิซ่า คือใคร?

ตามคำบอกเล่าของ "จิออร์โอ วาซารี" (Giorgio Vasari 1511-1574) จิตรกร สถาปนิก และ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะในสมัยนั้น เขากล่าวไว้ว่า โมนา ลิซ่า ก็คือภรรยาของ ฟรานเชสโก เดล จิโอกอนโด ซึ่งเป็นพ่อค้าไหมที่มั่งคั่งแห่ง เมืองฟลอเรนซ์ ขณะที่ ดาวินซี่ เขียนภาพนี้ซึ่งได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี เขาได้ไปว่าจ้าง นักร้อง นักดนตรี และตัวตลกมาให้ความบันเทิงแก่หญิงงามผู้เป็นแบบของ ภาพเขียน เพื่อให้เธอมีรอยยิ้มที่ปราศจากความเศร้าหมอง อย่างไรก็ตามจากคำ บรรยายของ วาซารี ก็เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพเขียนนี้ของ ลีโอนาร์โด แต่อย่างใด

จากหลักฐานอีกแหล่งหนึ่งจาก "อันโตนิโอ เดอ เบอาทิส" ผู้บันทึกปากคำของ ลีโอนาร์โดใน ค.ศ. 1517 ว่าผู้เป็นแบบในภาพคือสตรีชาว ฟลอเรนซ์ และ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ เป็นผู้ว่าจ้างให้เขียนภาพนี้ จากการที่ ไม่มีหลักฐานปรากฎที่แน่ชัดว่า ใครเป็นแบบให้กับ ลีโอนาร์โดวาดภาพนี้ จึงทำให้มีการตั้งข้อสันนิษฐานกันไป ต่างๆ นานา ไม่ว่าจะ -เป็น บุคคลใน ภาพอาจเป็น คอนสตันซ่า คาวารอส หรืออาจจะเป็น อิสซาเบลลา เดสเต ผู้อื้อฉาว หรืออาจเป็นภรรยาลับของ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ ทั้งนี้ ก็เพราะได้ปรากฎว่า มีโม
นา ลิซ่า (เปลือย) หลายภาพในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็น ที่โด่งดังมากกับภาพเปลือยของสาวผู้นี้

นอกจากนี้จากการที่ลีโอนาร์โดเองมีชื่อที่ถูกกล่าวขานกันว่าเขาเป็นพวก รักร่วมเพศ จึงเกิดการสันนิษฐานว่า โมนา ลิซ่า ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นภาพเหมือนจำแลง เพศของเด็กหนุ่มรูปงามคนใดคนหนึ่ง ซึ่งศิลปินมักเลี้ยงไว้ติดสอยห้อยตามในสตูดิโอ บ้างก็มีการนำภาพเหมือนของ ลีโอนาร์โดมามาเปรียบเทียบกับภาพของ โมนา ลิซ่า แล้วก็สรุปเอาดื้อๆว่าภาพเขียนอันลือชื่อนี้แท้ที่จริงคือ ภาพของ ลีโอนาร์โด ดาวิน ซี่ เองที่แปลงกาย แต่งตัวเป็นสตรีเพศ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สนับสนุนทฤษีนี้ยังกล่าวเสริม ต่อไปว่า ลายปักขดเชือกที่รอบคอเสื้อของ โมนา ลิซ่า คือลายเซ็นลับของ ดาวินซี่เอง เพราะในภาษาอิตาเลี่ยนคำว่า "ขดเชือก" จะตรงกับคำว่า "วินชีเร่" (Vincire)

แม้ว่าบุคคลในภาพ โมนา ลิซ่า ยังเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ครอบครองภาพนี้ยังพอมีข้อมูลอยู่บ้าง นั่นก็คือ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ลีโอนาร์โด ไม่ยอมพรากจากภาพเขียนนี้ และเขาได้นำติดตัวพร้อมกับทรัพย์สินสินมีค่าอื่นๆที่เขารัก หวงแหน ออกจากกรุงโรมเมื่อครั้งเดินทางมาที่ฝรั่งเศสเพื่อเป็นศิลปินแห่งราชสำนักของพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 (ค.ศ. 1479-1547) ใน ค.ศ. 1517 ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ครอบครองภาพ โมนา ลิซ่า คนแรกก็คือกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งโปรดให้นำภาพไปประดับที่ห้องสรงในพระ
ราชวัง ฟองแตนโบล แต่เมื่อจักรพรรดินโปเลียนขึ้นครองราชย์ ภาพโมนา ลิซ่า จึงถูกย้ายมาพำนักในห้องพระบรรทม และมีชื่อเรียกอย่าง สนิทสนมว่า "มาดาม ลิซ่า"

มุมมอง ทัศนะคติ และ ความคิดเห็นความรู้สึก ต่างๆ ที่มีต่อ Mona Lisa นั้นมีมากมายเหลือเกิน "จูลส์ มิเชอเลต์" ได้พรรณนาไว้ใน หนังสือประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสว่า "ภาพเขียนนี้ดึงดูดข้าพเจ้า พรํ่าเรียกข้าพเจ้า รุกรานข้าพเจ้า ซึมซาบเข้าไปในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตรงลิ่วเข้าไปหาโดยไม่รู้สึกตัว ประดุจนกบินดิ่งเข้าไปในปากงูพิษ" นี่คือทัศ-
นคติต่อ Mona Lisa ในศตวรรษที่ 16 ที่มองความงามในแบบอุดมคติ แต่มุมมองจากนักวิจารณ์ในศตวรรษที่ 19 กลับมองไปอีกด้านหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรแมนติคส์ที่มองว่า โมนา ลิซ่า เป็นสตรีมรณะ (Femme fatale) หรืออีกนัยหนึ่งคือสตรีผู้ยื่นความตายแก่บุรุษ

สำหรับ เธโอฟิล โกติเอร์ (Theophile Gautier) โมนา ลิซ่า มิได้เป็นสาวน้อยที่มี รอยยิ้มแสนหวานงามปานกลีบกุหลาบ ตามที่วาซารีเคยพรรณนาไว้แต่จะเป็นสาววัย สามสิบที่ร่องรอยแห่งเลือดฝาด และความสดใสแห่งชีวิตเริ่มที่จะอันตรธานหายไป สีของอาภรณ์ และผ้าคลุมผมของเธอ ซึ่งหมองคลํ้าเพราะกาลเวลา ทำให้เธอดูเหมือนหญิง หม้ายที่แฝงไว้ด้วยความทุกข์โศก


jerrysoft
#14
02-01-2010 - 14:21:41

#14 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 14:21:41 ]




อันดับ 10 : กะโหลกแก้ว (CRYSTAL SKULLS : SOUTHERN MEXICO)
ปริศนาจากชาวมายัน กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุก

ฟื้นตำนานเรื่องเล่า ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลาง

ความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวน

ตะลึง! ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบ ข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างคนอดีตสู่คนยุคปัจจุบัน


jerrysoft
#15
02-01-2010 - 14:22:05

#15 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 14:22:05 ]




อันดับ 9 : ภาพลายเส้นนาซคา (NAZCA LINES : NAZCA, PERU) ลายเส้นพิศวงกับปริศนาจากภาพเหล่านี้ คือข้อกังขาของที่มาของเรื่องทั้งหมด รูปภาพสัตว์ขนาดใหญ่ สุนัข แมงมุม ปลาวาฬ

ดอกไม้ ลิง เป็ด และนกกางปีก บนชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นคำถามที่คนพื้นเมืองในอดีตสร้างขึ้นเพื่อผูกปมเรื่องให้ใคร่คิด บ้าง

เชื่อเรื่องทางเดินสู่แหล่งน้ำของชนเผ่าต่างๆ บ้างก็เชื่อมนุษย์ต่างดาวใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบิน หรือมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของ

ปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ สมมติฐานทั้งหมดก็ช่วยให้เราสนใจภาพวาดเหล่านั้นยิ่งขึ้น
 72546


jerrysoft
#16
02-01-2010 - 14:23:37

#16 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 14:23:37 ]




อันดับ 8 : สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (BERMUDA TRIANGLE : ATLANTIC OCEAN)
ความลึกลับ อาถรรพณ์ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นยังคงกล่าวขานถึง สู่หายนะกับสถานที่แห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มฤตยู

กลางมหาสมุทรแอตแลนติก เหตุการณ์ที่ไม่สามารถหา คำอธิบายได้ ความจริงที่เครื่องบิน เรือ ที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมมรณะ

ถูกดูดกลืนสูญหายไปอย่าง ไร้ร่องรอยโดย ไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่สภาพอากาศ และทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีข้อสรุป คำตอบ หรือ

ข้ออ้างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ปริศนาที่ยังค้างคาใจ ผู้คนจนถึงปัจจุบัน

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนเหนือของ

เบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดาและจากฟลอริดามุ่งตรงไปทาง ตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง

ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณา บริเวณแห่งนี้ กลาย

เป็นรูปสามเหลี่ยมและอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่ง กำเนิด ปรากฏการณ์อันลี้ลับมหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศ

ของชาวเราในปัจจุบัน เป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 มาจน

ถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือเดินสมุทรจำนวนอีกมากหายได้หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสาม

เหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้ โดยไม่มีร่องรอยชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับพาหนะโดย

ไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆ ของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่อง

บิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม- เบอร์มิวดา ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ชาติ

ต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า หาสาเหตุ แห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้

อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกสาเหตุและหาทางป้องกันจากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่

เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์หรือสถานีปลายทางเป็นไป

อย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบและแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหาย

เครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไป อย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าวทางวิทยุให้หน่วยควบคุมการบิน

ทราบได้ แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติ

การได้ ซึ่งทุกรายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะ

หมุนปั่น จะไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศ

แจ่มใสและแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบกลับปั่นป่วนขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้

อุบัติการณ์ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และเครื่องบินเป็นจำนวนมากในดินแดนแห่ง

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดายังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการสูญหาย หน่วยยามฝั่งที่เจ็ด

ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความล้มเหลว ที่จะพบพยานหลักฐาน ซึ่งจะนำไป

สู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง และในที่สุดกองทัพเรือสหรัฐก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำ

วิจารณ์ใดๆ แก่ประชาชนที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยม

เบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้งๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยายามจะปกปิดเรื่องราวเหล่านี้ไว้ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคายต่างๆ และ

เชื่อว่า จะต้องมีแรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับอย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน และ

ยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีข่าวรายงานว่า มีนักบินและนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญในดินแดน

ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดี จวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใด ที่สามารถให้

คำอธิบายแจ่มชัดเกี่ยวแก่ความลึกลับและความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ไม่และการสาบสูญก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป

โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้นถึงจะเป็นดินแดนที่ลึกลับ แต่ก็มีคนที่รอดกลับมาได้ 3คน เขาเล่าว่าตอนที่เขาบินอยู่เขาได้หลงทางเข็ม

ทิศไม่ทำงาน ทำให้เขาไม่รู้ทิศเขาไดเลี้ยวกลับไปจนผ่านมาได้ จนมียานลึกลับไล่ตามมาโดยมีแสงสีเหลืองจ้า แต่เขาไหวตัว

ทัน จึงได้ดึงร่มชูชีพไหวตัวทันเฉพาะ กัปตัน และ ลูกทีมอีก2คนยังค้างอยู่ในนั้น จึงได้จบชีวิตลงอย่างอนาถซึ่งทำให้ มี

ประสบการณ์ และ ไม่กล้า บินผ่านเบอร์มิวดาอีกเลย

และในวันหนึ่งในเวลา 13.00น. ในวันที่13 ก.พ.1923 ได้มีเหตุการณ์ ยานลึกลับตกลงมาสู่พื้นดิน ผู้พบเห็นเหตุการณ์เล่าว่า ในเ

วลา12.57ได้มียานลำหนึ่งดิ่งลงมาผู้พบเห็นเหตุการณ์เลยพูดว่าคงมือใหม่ขับและในเวลา12.59ยานลำนั้นได้ตกสู่พื้นดินเข้าอย่าง

จัง แต่ที่น่าสงสัยก็คือยานนั้ไม่ระเบิดหรอการกระทบกระเทือนแม้แต่น้อย และคนได้มุงดูอย่างสงสัย ตำรวจและทหารได้บุกเข้า

ไปในยานลำนั้นแต่ไม่พบผู้บาดเจ็บแต่อย่างใด 6เดือนผ่านไปมีช่างสร้างเหล็ก ได้บอกว่ายานลำนี้ทำด้วยเหล็กกล้าหนา12นิ้วซึ่ง

อาวุธอะไรก็ไม่สะทบสะท้านแต่โชคดีที่ยานลึกลับตก ประตูได้เปิดออก แต่ที่ยังเป็นปัญหาคาใจคือ ยานลึกลับมาจากไหน

ทำไมไม่มีสิ่งมีชีวิตและยังมีความลึกลับแฝงอีกเยอะโปรดติดตามดู

ขณะนี้ยานลึกลับ ก็ยังทวีความรุนแรงขึ้นเยอะจนขณะนี้ยาน ต่างต่างได้ถูกกลืนไปยังสายลมที่โดดเดี่ยว พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่า

เขากำลังถูกฆ่าโดยแสงที่ปะปนมาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งทำให้กลมกลืนจนมองไม่เห็นจึงไม่รู้ตัว และได้ถูกกลืนไปหลาย ร้อยลำ

แล้ว และในตอนกลางคืนผู้พบเห็น พูดว่าได้มียานขึ้นจากสนามบินขณะที่เขากำลังส่องดู ดาวอยู่ และได้มีแสงสีเหลืองเร่งความ

เร็วเปล่งแสงสีเหลืองจ้าแต่ยาน boing455 สามารถเร่งได้เร็วเพราะ ถูกพัฒนาแล้วและยานลึกลับได้เร่งความเร็วขึ้นถึง1000 ซึ่ง

boing455 ได้เร่ง3000 แต่ยานลึกลับได้เร่งตามอีก จนเขาถูกดูดไปนหายแวบภายในพริบตา

เมื่อปี1984 ได้มียานลึกลับพุ่งตรงมาจากท้องฟ้า5ลำ ได้มาทำความพินาศให้เมืองลอนดอนซึ่งทำให้เมือง ลอนดอนทั้งเมือง ได้

พินาศลงอย่างสยดสยองโดยมีลำแสงพุ้งตรงมาที่อาคารแต่มันไม่ทำความพินาศมันเป็นลำแสงที่ทำลายเฉพาะคนแต่ ไม่ทำลาย

อาคารนักวิทยาศาสตร์จึงได้นำตัวอย่างมาทดสอบต่อไป

ในวันที่15 เดือนสิงหาคมได้มีเครื่องบินรบ2ลำบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อไปตามยานลึกลับ1ลำ จนเขาได้หลงไปในแดนลี้ลับ เราได้

ติดต่อกับเขาว่า เข็มไม่ทำงาน มีเกาะ2เกาะอยู่ข้างทางเขาจึงเร่งเพื่อให้พ้นเกาะนั้นแต่ที่แปลกประหลาดคือมีพระอาทิตย์2ดวง

ดวงหนึ่ง สีฟ้า ดวงที่สองสีแดง ซึ่งทำให้เขา2คนตื่นตระหนกมาก และในที่สุดเราได้ขาดการติดต่อจากเขา ตลอดการ

นั่นเป็นประสบการณ์ให้นักบินทั้งหลายไม่กล้าบินผ่านเบอร์มิวดาร์อีกเลย --__--
วันหนึ่งจอร์นได้ไปฉลองงาน วันเกิดของเขา และได้ฉลองกันจน บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไป ท้องฟ้าสีแดง เหมือนว่าเรือลอยอยู่บนอากาศ และได้มียานรูปทรงกลมโผล่มาเหนือเมฆ และมีคนออกมา 2คน รูปร่างคล้ายกบตัวลายจุด และได้ออกมาคล้ายกับว่าซ่อม ยานและ5นาทีผ่านมายานนั้นได้หายไป บรรยากาศกลับเป็นเหมือนเดิม และเมฆหมอกได้หายไปกลายเป็นน้ำ จนเขาได้ตกใจอย่างยิ่ง
ทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

มีนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักสมุทรวิทยา และอีกหลายอาชีพ ให้ความเห็นและทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา มาดังนี้

1. ทฤษฎีที่ว่า อาจจะเป็นไปได้ที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ตั้งอยู่ในจุดสมดุลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กับพลังของสนามแห่งแรงโน้มถ่วงพอดี ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างของอีกมิติหนึ่งในห้วงเวลาอวกาศ และเมื่อเรือหรือเครื่องบินแล่นเข้าสู่ช่องว่างแห่งนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติหายลับไปทันที แต่เนื่องจากว่าวิทยาการทางเทคนิคของเราในปัจจุบันนี้ยังไม่มีความรู้พอที่ จะแก้ไขสถานการณ์อันนี้ได้ การหายสาบสูญของพวกเรา ก็เป็นไปในทำนอง เดินทางเดียว เท่านั้น คือเมื่อมิติถูกเปลี่ยนไปแล้ว ก็ไม่อาจจะทำให้กลับคืนสู่มิติเดิมได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตปัญญาสูงจากนอกโลกที่มาจากจานบิน คงจะทราบและเข้าใจในกฎเกณฑ์อันนี้เป็นอย่างดีจึงได้ใช้ช่องว่างที่เกิดจาก สมดุลอันนี้ เป็น ประตู ทางเข้าออกในการเปลี่ยนแปลงทางมิติเพื่อเข้าสู่โลก ด้วยเหตุจึงมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยๆ (สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยที่สุดและมากที่ สุดในโลก) และมันจะหายตัวไปแบบฉับพลัน ซึ่งตอนนั้นเองที่จานบินเปิดประตูมิติ เรือหรือเครื่องบินผ่านมาบริเวณนั้นพอดี ก็เลยแล่นเข้าสู่ประตูมิติ


2. ทฤษฎีที่ว่า บริเวณใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้นเป็นจุดที่ อาณาจักรแอตแลนติสจมลง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชาวแอตแลนติสมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต้องมีพลังงานอะไรบางอย่างที่ชาวแอตแลนติสสร้างเอาไว้ ทำให้เรือและเครื่องบินบริเวณนั้นหายสาบสูญแบบไร้ร่องรอย


3. ทฤษฎีที่ว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นเหมือนสถานีที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญากว่ามาสร้างเอาไว้ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้คนพบเห็นแสงไฟจากใต้น้ำบ้าง จานบินใต้น้ำบ้างและก็มีผู้พบเห็นจานบินโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดำดิ่งลงไปในน้ำ ความเร็ว 150 นอตต่อชั่วโมงเท่ากับเฮลิคอปเตอร์ และในปัจจุบันก็ยังไม่มีเรือดำน้ำให้ทำความเร็วได้ขนาดนั้น บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดที่พบเห็นจานบินบ่อยและมากที่สุดในโลก เพราะบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดบอดของสนามแม่เหล็กจึงสามารถทำให้ สามารถนำยานลงจอดซึ่งมีไม่กี่แห่งบนโลก


4. ทฤษฎีที่ว่า มีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ตามหลักของชีววิทยา สิ่งมีชีวิตจะเริ่มต้นมาจากทะเลก่อน และเนื่องมากจากท้องทะเลมีอาณาเขตมากกว่าพื้นดินถึงสองเท่า มนุษย์ใต้มหาสมุทรเหล่านี้จึงมีเนื้อที่สำหรับ การแพร่ขยายพันธุ์มากกว่าเรา และจากเหตุที่พวกนี้ได้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์เรา ดังนั้น การพัฒนาทางเทคนิคของพวก เขาก็คงล้ำหน้าไปกว่าเรามากทีเดียว เท่าที่ผ่านมาเป็นเวลานาน มนุษย์ใต้สมุทรเหล่านี้จะไม่ติดต่อเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา ถือว่าต่างคนต่างอยู่ แต่จากความก้าวหน้าทางเทคนิคของพวกเราในปัจจุบัน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อมของพวกเขาได้ พวกนี้จึงเปลี่ยน นโยบายที่ว่าต่างคนต่างอยู่ ออกมาสังเกตความเป็นไปของชาวเรา ที่อยู่บนพื้นโลกอย่างลับๆและเงียบสงบ ซึ่งบางทีบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อาจเป็นบริเวณที่สะดวกที่สุดที่พวกเขาจะออกมาสำรวจโลกเบื้องบน


5. ทฤษฎีที่ว่า เป็นจุดที่มีแรงดึงดูดของโลกมากที่สุด เนื่องจากแรงดึงดูดของบริเวณนี้สูงกว่าบริเวณอื่น จะทำให้เครื่องบิน หรือเรือ จมลงทะเล


6. ทฤษฎีที่ว่า เป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มข้นสูงที่สุด ซึ่งจะทำให้เครื่องบิน หรือเรือที่ใช้เครื่องยนต์ โดนสนามแม่เหล็กทำให้เครื่องยนต์เสียหาย และจมลงในที่สุด


7. ทฤษฏีที่ว่า เป็นบริเวณของประตูเวลาที่เกิดขึ้นโดยตัวเรายังคงอยู่ที่เดิมในขณะที่กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป หรือที่เรารู้จักมักคุ้นกันในนามของ ไทม์แมชชีน นั่นเอง ซึ่งหลังจากที่ประตูเวลาปิดตัวลง เมื่อนั้นเวลาก็จะคืนกลับสู่ความเป็นปัจจุบัน เราจึงไม่สามารถหาสถานที่แห่งนั้นได้พบ
ในปี ค.ศ. 1966 มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่พอจะเรียกได้ว่าเป็น


สงครามชักเย่อ ซึ่งเป็นการประลองกำลังระหว่างเรือลากจูงขนาด 2000 แรงม้า

กับพลังมหาศาลอันลึกลับจากใต้ท้องทะเลชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่อาจรู้ได้แน่ว่าเป็นอะไร

เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับบอกเล่ามาจากกัปตันเฮนรี่

เจ้าของบริษัทป้องกันภัยทางทะเลซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ไมอามี่


เขาเล่าว่า ในเดือนสิงหาคมของปี ค.ศ. 1966 เขาได้นำเรือชื่อ กู๊ดนิวส์


ซึ่งมีความยาว 160 ฟุต กำลังเครื่องยนต์ 2000 แรงม้า

ลากจูงเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่กลับจากเปอร์โตริโก


และหลังจากที่ได้ขนถ่ายน้ำมันที่นั่นจนหมดแล้ว จึงได้ลากโยงเรือเปล่ากลับ

แม้แต่เรือบรรทุกน้ำมันลำนี้จะเป็นเรือเปล่า น้ำหนักของมันก็ยังมากกว่า 2500 ตัน

เรือของเขาทิ้งระยะห่ างในการลากจูงประมาณ 1000 ฟุต โดยแล่นผ่านบรเวณที่เรียกกันว่า


สะดือทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา



ขณะนั้นเป็นเวลาบ่าย ลมฟ้าอากาศอยู่ในสภาพปกติในทันทีทันใด


กัปตัน เฮนรี่สังเกตเห็นว่าเข็มทิศเริ่มหมุนเปะปะ น้ำได้ทะลักเข้ามาหาเรือทั้งสอง

จากทุกทิศทุกทาง และแรงโหมของน้ำรอบๆลำเรือได้บดบังขอบฟ้าหมดทั่วทุกด้าน


ไฟฟ้าภายในเรือดับหมด ส่วนเครื่องปั่นไฟยังคงหมุนอยู่ตามปกติ

แต่ไม่ปรากฏว่ามีพลังกระแสไผผ้าออกมาเลย ช่างเครื่องพยายามเร่งเครื่องสตาร์ท

เครื่องปั่นไฟฟ้าสำรอง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อกัปตันเฮนี่มองเข้าไปที่เรือน้ำมัน

เขาเห็นมีอะไรคล้ายๆเมฆหมอกบดบังมืดมนไปหมด และกระแสคลื่น

บริเวณรู้สึกรุนแรงมากกว่าที่อื่นเขาพยายามเดินเครื่องเดินเรืออย่างเต็มท

ี่ที่จะมุ่งออกไปข้างหน้า รู้สึกว่าสายสลิงเหล็กที่ต่อกับเรือน้ำมันตึงแน่น

และมีพลังมหาศาลกระชากเรือน้ำมันกลับ แต่เครื่องยนต์ขนาด 2000 แรงม้าของเขาไม่ยอมถอย

สามารถดึงเรือน้ำมันกลับมาได้ จนในที่สุดสามารถหลุดพ้นจากห้วงน้ำมหาภัยแห่งนั้นได้

และเมื่อเขามองดูรอบๆ ก็ไม่เห็นว่ามีเมฆหมอกแต่อย่างไร

ทัศนวิสัยกลับปลอดโปร่งมองเห็นได้ไกลกว่าสิบไมล์



ต่อไปคือคำถามคำตอบระหว่างักข่าวกับกัปตันเฮนรี่


หลังจากที่ได้ผ่านเหตุกาณ์สยองขวัญมาไม่นาน

นักข่าว : ในขณะที่เกิดเหตุท่านนึกถึงแรงอาถรรพ์ของ

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาบ้างไหม

เฮนรี่ : แน่นอนที่สุดสิ่งเดียวที่ผมคิดคือชื่อของผมจะไปปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อ

ของผู้ที่หายสาบสูญในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

นักข่าว : ท่านมีประสบการณ์ทำนองนี้ในท้องที่บริเวณแห่งไหนมาก่อนไหม

เฮนรี่ : ไม่เคย แต่ก็เคยทราบว่ามีบางรายที่คล้างคลึงกันซึ่งในนามีวิกฤต

เรือลากจูงได้ตัดสายลากโยงปล่อยให้เรือพ่วงถูกดูดจมหายลงสู่ก้นมหาสมุทร

ที่ลึกหลายพันฟุต สำหรับผม เหตุการณ์ครั้งนี้ครั้งเดียวก็พอแล้ว



นี่เป็นอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสามเหลี่ยมเบอร์วิดา ส่วนสาเหตุนั้น


ก็มีไม่ผู้ใดทราบ ว่าเพราะอะไร ????
 72549


jerrysoft
#17
02-01-2010 - 14:23:56

#17 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 14:23:56 ]




อันดับ 7 : บพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ (ARK OF THE COVENANT : ETHIOPIA) คำตอบกับการเปิดทางสู่โลกพระเจ้า การค้นคว้าทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ ปริศนาศิลาจารึกที่อยู่ข้างในบพระบัญญัติ คือ เครื่องมือ

ติดต่อถึงองค์พระเจ้าโดยตรง คำสอนศาสนา บทองคำ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่องค์พระศาสดาตระหนักรู้ อาจรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะ

สมกับการเปิดเผย แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้
 72550


เเวมไพร์
#18
เเวมไพร์
02-01-2010 - 14:24:22

#18 เเวมไพร์  [ 02-01-2010 - 14:24:22 ]




อ่านไม่หมดอะคับตาลาย


jerrysoft
#19
02-01-2010 - 14:24:53

#19 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 14:24:53 ]




อันดับ 5 : นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน (THE BOSTON STRANGLER : BOSTON, MA) คดีแห่งปริศนา ฆาตกรรมอำพราง เมื่อหลายปีก่อนถูกคลี่คลาย แต่เร็วๆนี้ถูกนำมาสอบสวนใหม่ ชนวนที่ฆาตกรที่จับได้จะใช่

ฆาตกรตัวจริงหรือ? คดีที่โด่งดังไปทั่วอ่าวแบ็คเบย์ในบอสตัน นักฆ่าใจโหด ข่มขืนและฆ่ารัดคอผู้หญิง 11 คนตายในบ้านตัวเอง

คดีนี้ปิดฉากไปโดยตัวผู้รับสารภาพ อัลเบิร์ต เดอซาลโว แต่ต่อมาคดีฆาตกรรมปริศนาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เมื่อครอบครัวของ

หญิง 1 ในผู้ตายพบหลักฐานที่ส่อพิรุธ การรื้อคดีเป็นได้แค่การบังหน้าของตำรวจ ไม่มีความรับผิดชอบใดใดเพิ่มมากขึ้น

เดอซาลโว จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือเปล่า หรือว่านักฆ่าจอมโหดผู้นี้ยังคงลอยนวลต่อไป จนบัดนี้มันยังคงเป็นปริศนา???
 72554


jerrysoft
#20
02-01-2010 - 14:25:14

#20 jerrysoft  [ 02-01-2010 - 14:25:14 ]




อันดับ 4 : สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส (THE LOCH NESS MONSTER : INVERNESS, SCOTLAND)
บนโลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาด แห่งทะเลสาบล็อกเนส ในสก็อตแลนด์ เรื่อง

เล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับสัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ประมาณ 15 – 40 ฟุต มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจ

ติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้ แล้วบางอย่างก็เป็นจริง มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้องนี้ แต่ไม่

สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคนต่างเชื่อว่า เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้าย

ไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง
 72556


  • 1
  • 2

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ