โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
รวมเรื่องลึกลับ ตำนาน และความหลอน [เลิกอัพกระทู้นี้ถาวร]
Nebula Eva
#1
20-02-2012 - 03:13:50

#1 Nebula Eva  [ 20-02-2012 - 03:13:50 ]





quote :
เรื่องราวที่หามาให้อ่านในกระทูนี้หามาจากแหล่งที่มาต่างๆ ดังนั้นโปรดใช้วิจรณญาณในการอ่าน ไม่เข้าใจหรือสงสัยอะไรที่นอกเหนือจากนี้สามารถสอบถามได้นอกจากคอมเม้นแล้วห้ามดัน!




สารบัญความหลอน

(ลิงค์ใช้ได้แล้วค่ะอยากอ่านเรื่องไหนคลิกที่ชื่อเรื่องได้เลยค่ะ)


10 สุดยอดคำสาปของโลก!!
10 ตำนานเรื่องเล่าลึกลับที่น่าขนหัวลุก
แจ็ก เดอะริปเปอร์
อาถรรพ์มนต์ดำ
10 ตำนานเรื่องเล่าลึกลับที่น่าขนหัวลุก 2
666 เลขอาถรรพ์
10 วิธีเห็นผีสุดสยอง
เดอเมสธิด แมลงผีดิบ กินซากศพ !!!
ไสยศาสตร์
ตำนานผีญี่ปุ่น
พยายมราช
อาถรรพ์ศุกร์ 13
ตำนานแม่มด
บริการพิเศษไส้เดือนแห่งท้องทะเลลึก
ราชาและราชินีแห่งความมืด
เรื่องเล่าจากประสบการจริง ตอน ของแก้บน
อาถรรพณ์ลึกลับ กับ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
10 อันดับปรากฏการณ์หลอนรอบโลก
10 อันดับคดีฆาตกรรมปริศนาที่ยังไขไม่ออก
แฟรงเกนสไตน์ ผีดิบผู้น่าสงสาร
ปรากฏการณ์ปริศนา Doppelganger
การเล่นแร่แปรธาตุ / Alchemy
สัตว์ประหลาดพิศวง บันยิพ / Bunyip
ตำนานแห่งเอลฟ์
ศาสตร์แห่งมังกร
หมอผี
เทพเจ้าโอลิมปัส
ตำนานมนุษย์หมาป่า
เรื่องต้องห้ามที่คนโบราณถือ
สัปเหร่อ
เรื่องเล่าจากประสบการณ์จริง ตอน คนทำศพ!!
บทปลงสังขาร
ประวัติย่อพระพุทธเจ้า 28 พระองค์
กฏแห่งกรรม ตอน ชีวิตคือมายา
กฏแห่งกรรม ตอน ทะเลกรรม
กฏแห่งกรรม ตอน ฉันชื่อราตรี
กฏแห่งกรรม ตอน ปลาเป็นเหตุ
กฏแห่งกรรม ตอน วิบากกรรมที่ทำให้ "ปากเหม็น"
กฏแห่งกรรม ตอน เมียน้อยเสี่ย
15 เครื่องทรมานโหด(ยุโรป)
การประหารชีวิต 10 อันดับที่สยองและโหดที่สุดในโลก
10 เด็กนรกร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
10+1สุดยอดการดัดแปลงพันธุกรรม
Giuseppe Tartini คนที่หลายคนเชื่อว่าทำสัญญากับปีศาจ
5 ฆาตกรโรคจิตสะท้านโลก(ที่กฏหมายเอาผิดไม่ได้)
5 อารยธรรมที่น่าสะพรึงกลัวสุดๆ ในประวัติศาสตร์ของโลก
ตำนานสาวปากฉีก
นิกซ์
สุดสยอง คำสาป ประธานาธิบดีสหรัฐ
อาถรรพ์ การล่มของเรือไททานิค(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
ค่ายนรก เอาชวิตซ์
โครงกกระดูกผีดูดเลือด
โครงกระดูกมนุษย์บนดวงจันทร์(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
บุรุษชุดดำ (MEN IN BLACK)(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
Caddy Cadborosaurus(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
วิหารบนดาวอังคาร(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
มนุษย์ดาวอังคาร เกรย์(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
ยานอวกาศยักษ์ที่ดาวเสาร์(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
Black Helicopter(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
NASA กับดาวอังคาร(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
NASA's Satellites(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
มนุษย์สี่ขา_ไม่เกี่ยวกับ เซนทอร์(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
แปลงชายเป็นหญิงได้หรือ(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
สาวสองปาก(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
คนมาจากลิงจริงหรือ?(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
ตำนานเรือไททานิค(บรรณารักษ์ฝึกหัด)
มนุษย์ต่างดาว เอเลี่ยน กับการท่องเที่ยวอันน่าลึกลับ
ตำนานแม่นาคญี่ปุ่น
สุดสยอง การทดลอง ตัดหัวหมาแล้วไม่ตาย
เปิดกรุผีไทย
ตำนาน..เนสซี (Nessie) แห่งทะเลสาบล็อกเนสส์
ความหมายของ UMA(จขกท. บ่น)
ยมทูต
ไรขนตา ( Eyelash Mites )
ดอกซากศพ ดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ( Titan Arum )


กลับมาอีกครั้งของNebula Eva รอบนี้เดินหน้าเต็มกำลังสูบ


Gloomy Sunday


ประวัติเพลง Gloomy Sunday

"วันอาทิตย์ที่แสนเศร้า"
เป็นเพลงที่แต่งขึ้นโดยนักกวีชาวฮังการีผู้หนึ่ง
ชื่อว่า เรสโซ เซเรสส์ (ReszoSeress)

มันเริ่มมาจากเมื่อเดือนธันวาคม ปี1932
เรสโซเป็นที่เป็นนักแต่งเพลงยากจน
เขาพยายามหาเลี้ยงชีพอยู่ในนครปารีส แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ
เพราะเพลงแต่ละเพลงของเขาไม่ได้รับความสนใจ
อีกทั้งคนรักของเขาก็ไม่เห็นดีด้วยจนทะเลาะกันหลายครั้ง
ในที่สุดในวันหนึ่ง ทั้งคู่ก็ต้องถึงคราวแยกทางกัน

ด้วยเหตุนี้ ในวันอาทิตย์วันหนึ่ง มันเป็นวันฝนตก
เรสโซที่ทั้งหดหู่และเศร้าหมองด้วยเหตุการณ์ต่างๆ
เขาได้แต่งเพลงนี้ขึ้นในวันนั้น
ซึ่งเป็นการบรรเลงทำนองด้วยเปียโน
เขาใช้เวลาเพียง 30 นาทีก็ประพันธ์เพลงเสร็จ
จากนั้นจึงได้ส่งไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ
แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับ

และสุดท้ายก็มีสำนักพิมพ์บทประพันธ์แห่งหนึ่งรับไว้
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น
หลังจากเพลงนี้ได้ถูกเผยแพร่ไป
ยังมหานครต่างๆทั่วโลก...

ที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมันนี
ชายหนุ่มคนหนึ่งได้ขอให้วงดนตรีเล่นเพลงกลูมมี่ซันเดย์ให้ฟัง
หลังจากนั้น เขากลับบ้านและระเบิดศีรษะด้วยปืนรีวอลเวอร์
หลังจากบ่นกับญาติๆว่าเขารู้สึกกดดันอย่างรุนแรงกับ
ท่วงทำนองเพลงที่เขาไม่อาจลบมันออกไปได้

สัปดาห์ต่อมาที่กรุงเบอร์ลินสาวผู้ช่วยร้านขายของ
แขวนตัวตายอยู่ในแฟลตที่พัก
พบบทเพลงกลูมมี่ซันเดย์อยู่ที่ห้องของเธอด้วย


สองวันหลังจากนั้น เลขานุการในนิวยอร์กได้ฆ่าตัวตาย
ในจดหมายลาตายได้ขอร้องให้เล่นเพลงนี้ในงานศพของเธอ


สัปดาห์ถัดมา ชาวนิวยอร์กอีกรายเป็นชายวัย 82
ได้กระโดดหน้าต่างอพาร์ตเมนท์ชั้น 7 ลงมาตาย
โดยก่อนตายเขาได้เล่นเพลงนี้

ในเวลาไล่เลี่ยกัน
วัยรุ่นกรุงโรมก็กระโดดสะพานฆ่าตัวตายหลังจากที่ได้
ฟังเพลงมรณะนี้เช่นเดียวกัน



ผู้ดูแลกระทู้
Nebula Eva(บรรณารักษ์ตลอดกาลประจำกระทู้)[อัพเดตเรื่องราวต่างๆลงกระทู้ในวัน พฤ , ศ , ส , อา รวมทั้งเสาะหาข้อมูลตามที่ผู้อ่านต้องการ]
เอ็ดเวิร์ด(บรรณารักษ์ฝึกหัด)[อัตเดตเรื่องราวที่น่าสนใจต่างๆลงกระทู้ในวัน จ , อ , พ อาจรวมถึงตอบข้อมูลที่ผู้อ่านต้องการเวลาเราไม่อยู่]


quote :
กิจกรรมประจำกระทู้!!


กิจกรรมตอนนี้คือ ประกวดวาดภาพ"สัตว์ประหลาดในจิตนาการ"


ขอบคุณ Pepopammy น้องสาวแสนดีที่ทำรูปภาพWelcomeให้นะจ๊ะ


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-04-28 19:16:11
faiucenter
c-dim Lovejustin
satananne
Pepopammy
green
otsuchio
lovely_billmade
ThEMaTChA
batao
ptwoktwot
msepmesa


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
240141ka
#2
20-02-2012 - 15:20:49

#2 240141ka  [ 20-02-2012 - 15:20:49 ]




น่ากลัว!!!



The girl who believed in larry & ziam
ponza1144
#3
20-02-2012 - 15:22:21

#3 ponza1144  [ 20-02-2012 - 15:22:21 ]





อยากเจออะทุกอันเลย



นานๆครั้งเข้ามาเว็ปที ชอบกินเนื้อมากกว่าผักอะผิดเร...
Nebula Eva
#4
20-02-2012 - 17:06:06

#4 Nebula Eva  [ 20-02-2012 - 17:06:06 ]





10 สุดยอดคำสาปของโลก!!....
ตำนานคำสาปที่ภูกกล่าวขานจนถึงทุกวันนี้


อันดับ 10 เพชรโฮป (Hope Diamond)
เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมยมาจาก พระนลาฏ(หน้า ผาก) เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ. 1600 โดยหารู้ไม่ว่า โคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ มันผู้ใดที่
ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป!
และ ก็จริงตามคําสาป นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้จากนายทราวิเนียร์ พระองค์และพระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจากการปฏิวัติของฝรั่งเศส พระราชินี มารีย์ อังตัวเนด แห่ง ฟรั่งเศสผู้สวมใส่ เพชรโฮป ก็ทรงสิ้นพระชนม์จากการประหารด้วยกิโยติน ตลอด กระทั่งนาย เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์ (พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี) ล้วนประสบกับอัปมงคล จนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์ ฮาร์รีย์ วินสตัน ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวมใส่ในงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน ในที่สุด ทายาทตระกูลวินสตันจึง มอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธโซเนียนของสหรัฐฯ เป็นผู้อนุรักษ์แทน

อันดับ 9 วิหารกระดูก แห่งเมือง อีโวรา, โปรตุเกส
วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 โดยพระนิกายฟรานซิสกัน วิหารมีความประหลาดพิสดารคือ ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คน เท่านั้นไม่พอ มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย! ตํานานวัดระบุว่า ครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่น ในคาทอลิก แต่ได้ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของเธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต เธอได้สาปให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก แม้แต่พื้นพสุธา ก็จะไม่ยินดีรับร่างของเขาไว้ ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจนปัญญา พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ ผนังวิหารดังกล่าว สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธิ ก็นับเป็นคําสาปที่ขลังยิ่ง

อันดับที่ 8 ละครเรื่อง แม็คเบ็ธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์
ละครเรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มดและ คําสาปมนต์ดํา ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้นเคืองแค้น ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขามาเปิดเผย จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไป-หากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่น บทแม็คเบ็ธ ผลของคําสาปอุบัติขึ้นตั้งแต่หนแรกสุดที่ละครนี้ออกแสดง โดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที
และนับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด เช่น มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่าพรึงเพริดที่สุด ก็คือ ในปี ค.ศ. 1947 นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน เป็นผู้รับบทแม็คเบ็ธ ในระหว่างการดวลดาบนั้น คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่ครอบปลายดาบ พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา

อันดับ 7 คําสาปของ อลิสแตร์ ครอว์ลีย์
พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์, สกอตแลนด์
ปี 1899 ครอว์ลีย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว ทางตอนใต้ของทะเลสาบที่ลือลั่น ในเรื่องอสุรสัตว์ กล่าวกันว่าเขานั้น ขมังในเรื่องเวทมนตร์ และ เลี้ยง วิญญาณภูตไว้ถึง 115 ตน เขาสามารถดลบันดาลให้ เพื่อนบ้านหลายคนมีอันเป็นไปนานา จนเป็นที่หวาดหวั่นไปทั่ว ก่อนตาย ครอว์ลีย์ ได้
สาปทิ้งท้ายไว้กับยอด เขาแห่งหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า “ปล่องไฟปีศาจ” ชื่ง ครอว์ลีย์เคยหลงทางที่ยอดเขานี้ ทําให้เขาขัดเคืองใจ จึงสาปว่า เมื่อใดที่ยอดเขานี้พังทลาย สิ่งชั่วร้ายต่างๆก็จะถูกปลดปล่อยแผ่กระจายไปด้วย
“ปล่องไฟปีศาจ” ยืนหยัดอยู่นานนับพันปี แต่แล้วในเดือนเมษายน 2001 ยอดสูงราว 70 เมตร ก็มีอันถล่มทลายลงมาในทะเล เรื่องนี้ทําให้ผู้ที่เชื่อถือในตํานานพากันผวาไปตามกันเลย ป่านนี้นรกคงครอบคลุมแผ่นดินแล้ว!

อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์, สหรัฐฯ
แม่มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว
ทั้งนี้ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้ครับ เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นไหว้ด้วยเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน แล้ว เปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ (ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร) ไม่เชื่อก็เดินทางร่วมทัวร์ไปพิสูจน์ได้

อันดับ 5 คําสาป ตุตันคาเมน, อียิปต์
''มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์''
ข้อความนี้เป็นคำสาปที่นักบวชไอยคุปต์ได้บรรจุไว้ในสุสานลี้ลับของ ฟาโรห์ตุตันคาเมน และ มันก็แสดงผลในเวลาต่อมาว่าขลังและเปี่ยมด้วยอาถรรพณ์อันน่าพึงสยดสยองจริงๆ
บรรดาผู้ใกล้ชิดคลุกคลีกับการเปิดสุสานและหีบศพของพระองค์...คนแล้วคนเล่ามีอันต้องตายด้วยลักษณะแปลกๆโดยไม่คาดฝันถึง 22 คน !...! ประหนึ่งว่ามรณะได้โบยบินมาสังหารทุกผู้ทุกคนที่รังควานนิทรารมย์แห่ง ยุวราชา ตามคำสาปแช่งทุกประการ ที่แปลกกว่านั้น หลังจากมรณกรรมของผู้คนจำนวนมากเมื่อห้าสิบปีก่อนผ่านไป ก็ยังมีการตายที่น่าแปลกที่เชื่อกันว่าเป็นเพราะฤทธิ์คำสาปเกิดขึ้นซ้ำอีก ครั้ง
สุสานตุตันคาเมนถูกเปิดในปี ค.ศ. 1922(พ.ศ. 2465) หลังจากนั้นผู้ร่วมพิธีเปิดได้เสียชีวิตไป 22 คน ครั้น ห้าสิบปีผ่านไป เมื่อมีการแสดงสมบัติตุตันคาเมนเพื่อฉลองครบรอบห้าสิบปีแห่งการเปิดสุสาน ก็เกิดมรณกรรมแก่ผู้ที่บังอาจรบกวนฟาโรห์อีกครั้งอย่างไม่น่าเป็นไปได้
ความตายตามคำสาปครั้งที่สองเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1972 (พ.ศ.2515) หลังจากที่ทางราชการอียิปต์เก็บบรรดาสมบัติชิ้นสำคัญๆ ไว้ในพิพิธภัณฑ์กรุงไคโร จนกระทั่งทางอังกฤษคิดจะจัดเสดงสมบัติ ตุตันคาเมน ขึ้นในกรุงลอนดอนเพื่อฉลองวาระครบ 50 ปี ที่ได้เปิดสุสานยุวราชา
บุคคลสำคัญในการลำเลียงสมบัติของฟาโรห์ออกจากพิพิธภัณฑ์ คือ อธิบดีกรมโบราณณณคดีของอียิปต์ ซึ่งขณะนั้นได้แก่ ดร.กามาล เมห์เรช เขา เป็นผู้ที่นำเอาครอบพระพักตร์ทองคำและโลงศพทองคำของตุตันคาเมนออกมาจากที่ เก็บ เพื่อบรรจุหีบห่อแล้วส่งขึ้นเครื่องบินไปยังลอนดอนเพื่อเตรียมเปิดการแสดง ครั้งสำคัญนี้ ดร.เมห์เรช ไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาได้รังควานสันติสุขของฟาโรห์อีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้มีการเปิดสุสานเป็นต้นมา !
ฟิลิปป์ แวนเดนเบอร์ก ได้ไปสัมภาษณ์ท่านอธิบดี ได้หยิบเอาเรื่องคำสาปในสุสานขึ้นเป็นหัวข้อสนทนา ดร. เมห์เรชยังกล่าวอย่างมั่นใจยืนยันความเชื่อเดิมว่า "มันเป็นเรื่องบังเอิญทั้งนั้น"
แวนเดนเบอร์กถามว่า "ท่านแน่ใจหรือว่าคำสาปไม่มีจริง" ท่านอธิบดีโบราณคดีก็ตอบว่า "ไม่ เชื่อว่ามันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ดูผมเป็นตัวอย่างซิ ผมคลุกคลีอยู่กับสุสานและโบราณวัตถุของฟาโรห์ไอยคุปต์มามากมายนับไม่ถ้วน ตั้งหลายสิบปีแล้ว "
ท่านอธิบดีโบราณคดีย้ำแล้วย้ำอีก ก่อนที่จะนำสมบัติของกษัตริย์ตุตันคาเมนจากกรุ ในพิพิธภัณฑ์บรรจุหีบห่อเป็นพิเศษ ส่งไปแสดงยังลอนดอน...หลังจากที่ทำงานนี้เสร็จไม่กี่วันฟิลิปป์ แวนเดนเบอร์กก็ได้รับข่าวสลดใจกะทันหัน ดร.กามาล เมห์เรช อธิบดีวัย 52 ปี ผู้มีร่างใหญ่ แข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วย อยู่ๆก็เป็นลมล้มตึงในห้องทำงาน และเสียชีวิตตั้งแต่ยังไม่ได้นำส่งโรงพยาบาล หมอลงความเห็นว่าหัวใจวายเฉียบพลัน
มรณกรรมของ ดร.เมเรช อย่างปุบปับหลังจากเข้าไป "รังควาน" สมบัติของตุตันคาเมนเป็นครั้งที่สอง จึงกลายเป็นหัวข้อให้คนที่เชื่อเรื่องลึกลับเอามาร่ำลือกันว่าท่านต้อง อาถรรพณ์คำสาปฟาโรห์เข้าให้อย่างช่วยไม่ได้ เลยยิ่งส่งให้ความขลังและอาถรรพณ์ของคำสาปรุนแรงมากขึ้น ตามจารึกในสุสานที่ว่าเป็นปีกแห่งมรณะจะโบยบินมาสังหารผู้รังควานความสงบของ พระองค์จริงๆ

อันดับ 4 อีกา แห่งป้อมปราสาท ลอนดอน (Tower of London)
ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูก ใช้เป็นที่คุมขังและ ประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมาย หลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่ง อังกฤษ!
เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17 ด้วยนะครับ ไม่ใช่ เรื่องเลื่อนลอยแต่ อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็น เรื่องจริงจังอ ย่างเคร่งครัด เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา ถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน

อันดับ 3 คําสาปตะกั่วแห่งกรีซ
ค.ศ. 1979 มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์ ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่ แผ่น ตะกั่วนี้เรียกกันว่า คาตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง เชื่อกันว่าตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับ วิญญาณผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น
นอกจากนี้ การฝากหรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ ซึ่งแผ่นคาตาเรส กว่า 100 แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโรมัน

อันดับ 2 คําสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นี่ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก นั่นคือ ปธน. สหรัฐฯ ท่านใดที่ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องถึงแก่ มรณกรรมในหน้าที่ ตํานานระบุว่า ผู้ที่สาปก็คือ เตคัมเซ่ หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ผู้คับแค้นจากการถูกชนผิวขาวเข้ามายํ่ายีแย่งแผ่นดิน เขาได้สาปไว้ก่อนที่จะถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1813
ปธน. คนแรกที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ วิลเลียม เฮนรีย์ แฮร์ริสัน ที่ได้รับเลือกตั้งใน ค.ศ. 1840 ถัดจากนั้นคําสาปก็เป็นจริงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ลินคอล์น (1860) การ์ฟิลด์ (1880) แม็คคินลีย์ (1900) ฮาร์ดิ้ง (1920) รูสเวลท์ (1940) เคนเนดี้ (1960)
เพิ่งมีรอดรายเดียวคือ ปธน. เรแกน (1980) แต่ท่านก็ถูกมือปืนชื่อ จอห์น ฮิงค์ลีย์ ยิงบาดเจ็บสาหัสในปี 1981 นัยว่าปืนที่ใช้นั้นไร้ประสิทธิภาพท่านจึงรอดพ้น อาถรรพณ์มาได้อย่างหวุดหวิด

อันดับ 1 คําสาปในสวนอีเดน (Garden of Eden)

นับเป็นคําสาปแรกเริ่มสุดๆ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลกโน่นเลย โดยปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า ก็อด ทรงเสกอาดัม - มนุษย์ผู้ชายขึ้นก่อน จากนั้นก็แซะเอาซี่โครงของอาดัมมาเสกเป็น อีฟ แล้วส่งทั้งคู่ไปอยู่ในสวนอีเดน พร้อมรับสั่งว่าจะกินอะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกเว้นผลไม้จากต้นแห่งความรู้หรือแอปเปิ้ล
แต่ X งูตัวแสบซิ มันยุยงอีฟให้หมํ่าแอปเปิ้ลเข้าไป หมํ่าคนเดียวไม่พอ อีฟยังชักชวนให้อาดัมหมํ่าด้วย เมื่อขัดคําสั่งของพระเจ้า ก็เป็นเรื่องซิทีนี้ โดยนายงูจอมแสบ โดนสาปให้ไปไหนมาไหน ด้วยการ ใช้ท้องไถไป อีฟ โดนสาปให้คลอดลูก ด้วยความ เจ็บปวดรวดร้าว ส่วนอาดัมต้องทํางานหา เลี้ยงท้องอย่าง เหน็ดเหนื่อยทั้งชีวิต ซึ่งคําสาปมหากาฬนี้ ก็ตกทอดมาถึงพวกเราทุกคนกระทั่งทุกวันนี้

เครดิต : http://gotoknow.org/blog/babyvox/282115 , http://gotoknow.org/blog/nutonnut/145847


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-28 06:29:12


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
faiucenter
#5
20-02-2012 - 17:08:03

#5 faiucenter  [ 20-02-2012 - 17:08:03 ]




ฮึก..ฮือ กลัว TTOTT'


Nebula Eva
#6
20-02-2012 - 17:17:06

#6 Nebula Eva  [ 20-02-2012 - 17:17:06 ]





quote : faiucenter

ฮึก..ฮือ กลัว TTOTT'




นี่แค่น้ำจิ้ม เดี๋ยวหาที่หลอนกว่านี้มาเพิ่ม



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
c-dim Lovejustin
#7
20-02-2012 - 17:47:02

#7 c-dim Lovejustin  [ 20-02-2012 - 17:47:02 ]








Nebula Eva
#8
20-02-2012 - 18:48:38

#8 Nebula Eva  [ 20-02-2012 - 18:48:38 ]





10 ตำนานเรื่องเล่าลึกลับที่น่าขนหัวลุก
(ที่กลายเป็นจริงซะงั้น)


The Clown Status / The Clown Doll

ชาวอเมริกันบางคนกลัวตัวตลกครับ(จากการวิเคราะห์ของนักจิตวิทยาพบว่าเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบตัวตลก) ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ภาพยนตร์หลายเรื่องมักใช้ตัวตลกมาทำเป็นสัตว์ประหลาดทำร้ายคน นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าที่น่าขนหัวลุกเกี่ยวกับตัวมันอีก
โดยเรื่องเริ่มขึ้นว่าในระหว่างที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ในกลางคืนดึกวันหนึ่ง ระหว่างที่พ่อแม่ดูทีวีในห้อง อยู่นั้นก็มีเด็กซึ่งเป็นลูกของพวกเขามายังในห้อง(บางที่ก็บอกพี่เลี้ยง เด็ก) พ่อแม่เด็กถามเด็กว่าทำไมไม่ไปนอน ตื่นขึ้นมาหาพวกเขาทำไม เด็กคนนั้นตอบว่าช่วยจัดการกับรูปปั้นตัวตลก(ตุ๊กตาตัวตลก)ในห้องของผมที ครับ มันจ้องหน้าผมเวลานอนจนผมเป็นประสาทและนอนไม่หลับ
เมื่อพ่อแม่ได้ยินเด็กพูดดังกล่าวก็อึ้ง เพราะว่าบ้านพวกเขาไม่ได้มีรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนสักหน่อย และเขาก็ไม่เคยซื้อรูปปั้นดังกล่าวมาด้วย และรูปปั้นตัวตลกในห้องนั้นนั่นคืออะไรล่ะ? ด้วยความกลัว พวกเขาก็โทรเรียกตำรวจทันทีและผลปรากฏว่าไม่พบรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนของพวก เขา แต่พบว่ามีร่องรอยบุกรุกจากภายนอก สันนิษฐานว่าคนจรจัดไม่ก็คนบ้าได้ปลอมเป็นตัวตลกแอบบุกรุกในบ้าน หรือไม่ก็คนบ้าหลบหนีจากคุกเพื่อฆ่าเด็ก และเรื่องเล่าดังกล่าวก็เคยถูกนำมาแต่งเป็นนิยายของสตีเฟ่น คิง และถูกนำมาเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Stephen King's It (1990) หรือเรื่อง Killer Klowns(1988), Clownhouse(1990) ที่นำเสนอเป็นสัตว์ประหลาดที่มันจะออกมากินเด็กในเมืองนั้น
และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น? ในปี 1990 ที่ West Palm Beach ฟลอริด้า หญิงสาวคนหนึ่งชื่อเชียลา(shelia keen) อายุ 27 ปีถูกยิงตายโดยผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่าคนฆ่าอยู่ใกล้ศพของเธอนั้นแต่งตัว เป็นตัวตลกใส่วิกผมสีส้มทอง(และคดีนี้ไม่สามารถไขได้ จนกลายเป็นคดีปริศนาในเวลาต่อมา) แต่ฆาตกรตัวตลกนี้เทียบไม่ได้กลับฆาตกรต่อเนื่องนาม จอห์น เวยน์ เกซี(John Wayne Gacy 1942 ~ 1994) ที่ทำการฆาตกรรมฆ่าข่มขืนเด็กหนุ่ม 33 ชีวิตในระหว่างปี 1970-1978 ในเมืองชิคาโก้ รัฐอิลินอยส์ เขาถูกตั้งฉายาว่า “ฆาตกรตัวตลก” เนื่องจากเขาชอบ แต่งตัวเป็นตัวตลกไปเยี่ยมเด็กๆในโรงพยาบาลหรืองานกุศล สุดท้ายเขาก็ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด

The Living Severed Head

เป็นความเชื่อของคนหลายคนทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่อเมริกา โดยเชื่อว่าเมื่อคนโดนตัดหัวหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!!
และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น!! เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตา พะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม
เรื่องเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงที่กิโยตินหรือเครื่องตัดหัวเป็นที่นิยมใช้ ประหารนักโทษ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการประหารที่ทำให้ผู้ถูกประหายตายอย่างรวดเร็ว หมดจด สมองไม่เสียหาย เวลาประหารแต่ละทีจะทำท่ามกลางประชาชนที่มามุมแน่นขนัด และนั้นเองทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นหัวยังมีชีวิต หนึ่งในนั้นคือ สมัยปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม ชาร์ล็อตต์ คอร์เดย์(Charlotte Corday) สาวบ้านนอกที่ทำการฆาตกรรม พอล มารัต(Jean-Paul Marat)เธอถูกประหารด้วยกิโยติน หลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม พยานโดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจและได้พูด คำว่า “ไม่ได้”(couldn) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา ผลคือมีนักโทษหลายคนแสดงให้เห็นว่าแม้ถูกตัดหัวตนก็ยังมีชีวิตอยู่
ใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ(Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน(แท่นตัดคอนักโทษ ที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม) ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับดำเนินต่อไปนานถึงห้าถึงหกวินาที และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนเรียกชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องน่าขนลุกเมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอเปิดออกครั้งและจ้องมองเขา ทำให้เกิดความเชื่อว่าเมื่อคนหัวขาดอาจสามารถคลองสติได้ 15 วินาที
แพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุกจากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบหรือกลอก) ไม่ใช่สติรู้ตัว
แม้สมัยนี้กิโยตินถูกยกเลิกแล้ว แต่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อมีเหตุการณ์อุบัติเหตุเกิดขึ้น เช่นในเดือนมิถุนายนปี 1989 เมื่อคนสองคนนั่งแท็กซี่แล้วประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุก เพื่อถูกตัดศีรษะออก ส่วนอีกคนที่รอดได้พบเหตุการณ์น่าสยอง เธอได้เล่าเรื่องนี้หลังรอดชีวิตว่า
"หัวนั้นหงายหน้ามองฉัน ฉันยังสังเกตว่า ปากของเขาพยายามพูดสื่อสารอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ แม้ตอนนั้นฉันกำลังสับสน หวาดกลัวและเศร้าโศก แต่ฉันไม่พูดเกินความจริง เขายังกะพริบตาและจ้องกับฉัน ก่อนที่หัวนั้นจะหลับตาลงและไม่ตื่นอีกเลย”

Mummy Funhouse

ในระหว่างวันหยุด ชายหญิงคู่หนึ่งไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับเครื่องเล่นต่างๆ ก่อนที่จะจบลงที่ทั้งสองตัดสินใจไปเที่ยวบ้านผีสิง และข้างในบ้านที่สิงนั้นทั้งสองได้เห็นมัมมี่สยองตัวหนึ่ง มันเหมือนจริงมาก ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังหรือกระดูกมนุษย์ มันสมจริงเกินกว่าที่จะทำด้วยไม้อัด ระหว่างที่ทั้งสองสำรวจนั้นเองก็พบว่ามันคือของจริง!!
มันเป็นจริงซะงั้น!! คงจะเคยได้ยินมาบ้างใช้เปล่าครับที่ว่าไปเที่ยวบ้านผีสิงอยู่ดีๆ กับพบศพของจริงซะงั้น และเรื่องนี้กลายเป็นจริงเหมือนกัน เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1976 ทีมงานสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์ชุด(เรื่อง The Six Million Dollar Man)ได้ยกกองไปถ่ายทำบ้านผีสิง(Amusement Park in Long Beach) ในสวนสนุกลองบีช แคลิฟอร์เนีย ที่มีมัมมี่ตัวหนึ่งแขวนอยู่ การถ่ายทำดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั้งลูกมืองกองถ่ายคนหนึ่ง ร้องเอะอะขึ้นมาด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อแขนข้างหนึ่งของมัมมี่เกิดหลุดจากร่วงร่วงลงมาที่พื้น เศษเนื้อเศษหนังที่หุ้มกระดูกมนุษย์กระจายเกลื่อน มันไม่ใช้มัมมี่ของปลอมหากแต่มันเป็นของจริง!!
มัมมี่ตัวนั้นถูกส่งไปยังห้องชันสูตรของนครลอส แองเจลีส โดยมีนายแพทย์โธมัส โนกูชิ พนักงานชันสูตรทำการบอกเอาขี้ผึ้งซึ่งหุ้มไว้หลายชั้นออกก่อน จึงได้พบว่าข้างในนั้นเป็นร่างเหี่ยวๆ ของชายคนหนึ่งอายุอานาม 30 ปีเศษซึ่งเสียชีวิตมานานแล้วจากบาดแผลรอยกระสุนถูกยิง
จากการสอบถามพบว่ามัมมี่ตัวนี้คือ เอลเมอร์ แม๊กเคอร์ดี้ (Elmer McCurdy) อดีตวายร้ายชื่อกระฉ่อนแห่งโอ๊คคลาโฮม่า ที่เที่ยวออกอาละวาดปล้นรถไฟและธนาคารอยู่แถบโอ๊คลาโฮม่าสมัยที่ยังเป็นบ้าน ป่าเมืองเถื่อน ก่อนที่จะจบชีวิตลงด้วยการถูกยิงตายในการดวลปืนหมู่เมื่อเดือนตุลาคม 1911
ทำไมศพวายร้ายเรร่อนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเขา ถึงต้องมีการดองเก็บไว้ไม่ให้เน่า ใครเป็นคนทำ และเพื่ออะไร คงไม่มีใครตอบได้ นอกจากสันนิษฐานว่าสัปเหร่อคงมองเห็นช่องทางทำเงินให้กับเจา จึงเก็บมาดองแล้วตั้งไว้มุมห้องเก็บศพ ใครที่อยากเห็นวายร้ายตัวจริงๆ ก็ต้องจ่ายเงิน 1 นิคเกิ้ล หรือ 5 เซนต์ให้กับคนจัดงานคาร์นิวัลเร่ ซึ่งเขาขายต่อให้สวนสนุกอีกทอดหนึ่ง
การสันนิษฐานนี้เป็นเรื่องจริงหรือนิยายก็ยังไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ มัมมี่ตัวนั้นถูกยกให้พิพิธภัณฑ์โอ๊คลาโฮม่าเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1977 และเขาก็ไม่มีโอกาสโชว์ตัวอีกเลยเมื่อเขากลับบ้านเกิดที่โอ๊คลาโฮม่าแล้วถูก ฝังลงในสุสานบู๊ตฮิลล์ในที่สุด

The Body in the Bed

มีชายหญิงคู่หนึ่งไปลาสเวกัส เพื่อไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของพวกเขขา ทั้งคู่เช่าโรงแรม และเมื่อทั้งคู่เข้ามาในห้องก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพที่รุนแรงมาก พวกเขาพยายามหาที่มาของกลิ่นนั้นแต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่พบ ทั้งคู่เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่า ผู้จัดการขอโทษและอธิบายว่าตอนนี้ห้องโรงแรมเต็มเพราะมีการประชุมครั้งใหญ่ ไม่สามารถหาห้องว่างห้องอื่นได้ เขาเลยเสนอชดเชยอาหารกลางวันโรงแรมฟรีและส่งแม่บ้านเพื่อมาทำความสะอาดห้อง และพยายามกำจัดกลิ่น
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันทั้งคู่กลับมาที่ห้องนอนของตน พวกเขายังได้กลิ่นเหม็นเหมือนเดิม เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่าอีกครั้งและขอให้เปลี่ยนห้องเดี๋ยวนี้ ผู้จัดการบอกว่าตอนนี้ห้องเต็มเหลือแต่ห้องวีไอพีเท่านั้น แต่ทั้งคู่พึ่งเสียเงินไปกลับการพนันเลยไม่มีเงินมาเช่าห้องที่ดีกว่านี้ ผู้ชัดการเลยส่งแม่บ้านมาอีกครั้งคราวนี้สั่งให้เปลี่ยนของใช้ในห้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดพรม เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าม่าน วางตำแหน่งของต่างๆ ให้ต่างจากเดิม แต่ปรากฏว่าเมื่อทั้งคู่มาห้องนี้อีกครั้งก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนเดิม ฝ่ายผู้ชายหมดความอดทนและโมโหจัดจึงทำลายของใช้ในห้องจนเกือบหมด
และแล้วเมื่อเขาดึงที่นอนสปริงเขากลับว่าข้างในนั้นมีศพผู้หญิงยัดอยู่!!
มันเป็นจริงซะงั้น!! เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่นิยมกันในต่างประเทศ รวมถึงไทยด้วยนะครับ คงเคยได้ยินเรื่องผีช่องแอร์ใช่เปล่าครับ นั้นแหละมีเค้าโครงมาจากเรื่องนี้เช่นกัน และบางครั้งรายละเอียดจะแตกต่างกันบ้างแต่รวมๆ ก็แนวๆ นี้แหละ พักโรงแรม ได้กลิ่นเหม็นที่ห้อง และพบซากศพ
และตำนานที่ว่านี้ก็เป็นเรื่องจริงซะด้วยสิ เมื่อมีเหตุการณ์ใกล้เคียงที่เกิดขึ้นจริงในการพบศพนิรนามที่ไม่สามารถระบุ ได้ว่ามันมาได้อย่างไรในเตียงนอนของโรงแรม อีกทั้งมันอยู่ที่นั้นมานานหลายวันกว่าที่จะถูกค้นพบ เช่น ในแอตแลนติกซิตี นิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา ปี 1999 มีการพบร่างของ ซาอูล(Saul Hernandez) อายุ 64 ในห้องของโรงแรม Burgundy Motor หลังจากสองนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันนอนค้างคืนในห้องนั้นและบ่นว่าห้องมี กลิ่นหื่นจนออกมาบ่นกับผู้จัดการโรงแรมหลายครั้ง และแม่บ้านก็ไปทำความสะอาดห้องหลายครั้ง จนกระทั้งพบศพใต้เตียงดังกล่าว
ที่แคสซัสซิตี้ 14 กรกฎาคม 2003 เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกเรียกให้ไปสอบสวนกรณีมีการพบศพชายนิรนามถูกฆ่าและยัดใต้ ที่นอนในโรงแรมท้องถิ่น ซึ่งศพนั้นถูกยัดทั้งอาทิตย์แต่ไม่มีใครสังเกต จนกระทั้งแขกที่เข้ามาพักในห้องทันไม่ไหวต่อกลิ่นจนกระทั้งเรียกแม่บ้านมาทำ ความสะอาดก็พบเรื่องน่ากลัว
วันที่ 15 มีนาคม 2010 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เมนฟิสได้รับแจ้งว่ามีการพบศพที่ห้อง 222 ที่โรงแรม Budget lnn เป็นร่างกายของหญิงคนหนึ่งชื่อโซนี่ (Sony Millbrook) ที่พบภายในเตียงสปริง โดยฆาตกรได้ฆ่าเธอและยัดใส่เตียงสปริงเพื่ออำพรางคดี จากการสอบสวนพบว่าศพดังกล่าวอยู่ในห้องมานานโดยมีห้องเช่าที่มีศพในเตียง นั้นถึง 5 รายและทำความสะอาดหลายครั้ง โดยไม่เอะใจเลยว่าในเตียงสปริงมีศพอยู่
หรือจะเอาประเทศไทย ก็มีข่าวทำนองนี้มากมาย (ลองพิมพ์คำว่า ยัดศพใต้เตียง ที่กูเกิ้ลละกัน)

The Curiously Realistic Decoration

ในวันฮาโลวีน เด็กๆ กำลังไปขอขนมตามบ้านเรือนต่างๆ ที่แต่ละบ้านตกแต่งต้อนรับวันนี้อย่างสนุกสนาน ทั้งโครงกระดูกปลอม หัวฟักทอง โลงศพ โดยหลายคนไม่สนใจเลยว่าตุ๊กตาแขวนคอต้นไม้ที่เหมือนของประดับมันเป็นศพของคน ฆ่าตัวตายของจริง!!
มันกลายเป็นจริงซะงั้น! วันที่ 26 ตุลาคม 2005 พบศพหญิงนิรนามอายุ 42 ปีแขวนคอฆ่าตัวตายในสวนสาธารณะในฟลอนิดา เดลาแวร์ หากแต่ศพนั้นห้อยต๋องแต๋งเหนือพื้นดิน 15 ฟุต หลายชั่วโมงโดยไม่มีใครสนใจเลย เนื่องจากคิดว่ามันเป็นของประดับวันฮาโลวีน ผู้คนผ่านไปเห็นศพนั้นหลายราย จนกระทั้งเพื่อนบ้านใกล้สถานที่เกิดขึ้นสังเกตร่างกายนั้นเมื่อเวลา 7:30 ในตอนเช้า
ในเดือนตุลาคม 2009 ก็เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีก เมื่อร่างกายของเหยื่อฆ่าตัวตายชื่อ Mostafa Mahmoud Zayed อายุ 75 ปีคนหนึ่งถูกพบในระเบียงของบ้าน Marina Del Rey, แคลิฟอร์เนีย เพื่อนบ้านบอกว่าที่พวกเขาไม่สังเกตเห็นและปล่อยศพทิ้งไว้เพราะนึกว่าเป็น ของตกแต่งวันฮาโลวีน จากการสืบสวนของตำรวจพบว่าเขาตายมานานสามวันโดยลูกกระสุนที่ยิงที่ตา

The Toxic Woman

ผู้หญิงคนหนึ่งเกิดอาการป่วย เธอถูกส่งเข้าโรงพยาบาล และเมื่อนางพยาบาลใช้สายยางเพื่อนำมาต่อกับถุงเลือดสำรองกับพบว่าเลือดเธอ เป็นพิษแสนน่ากลัว ทำให้นางพยาบาลและคนอื่นๆ ที่สัมผัส-ดมเลือดของเธอเข้าเกิดอาการผิดปกติและตายอย่างทรมานในเวลาต่อมา....
มันกลายเป็นจริงซะงั้น! เมื่อเวลา 8:15 ในตอนเย็น เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์, 1994 กลอเรีย รามิเรซ(Gloria Ramirez) อายุ 31 ปี เกิดอาการป่วยต้องเข้าห้องภาวะฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเมืองแคลิฟอร์เนียทาง ใต้ของริเวอร์ไซด์ ตอนนั้นเธอใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น มีอาการแปลกๆ อาการตื่น หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็วเกินไป ความดันเลือดสูง และเธอตอบสนองกับคำถามสั้นๆ เท่านั้นแต่ก็พูดตะกุตะกะ โดยขั้นแรกนั้นคณะแพทย์สันนิษฐานว่าเธอเป็นมะเร็งที่คอ
คณะแพทย์ที่รักษากลอเรีย ได้ทำการฉีดให้กับ แต่เธอก็กระตุกเป็นระยะๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องทำการปั๊มหัวใจเธอ เขาลอกเสื้อเชิ้ตของเธอออก และกดขั้วไฟฟ้าที่หน้าอกของเธอ ในระหว่างนั้นเอง บางคนได้กลิ่น ของผลไม้ออกจากปากของเธอแพทย์เลยทำการเจาะเลือดเพื่อวิเคราะห์ นางพยาบาลทำการแนบกระบอกฉีดยา และเธอเลือดของเธอมีสีแปลกๆ มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนีย จากนั้นหายนะก็เกิด เมื่อเลือดของเธอพุ่งกระเด็นจากช่องรูเข็มฉีดยามันไปโดนหน้านางพยาบาลจนหน้า ของเธอไหม้!! เธอล้มลงไปกับพื้น คลื่นเยนอาเจียน จากนั้นพยาบาลอีกคนก็ล้มชักอีกคน จากนั้นมันเริ่มลุกลามมายังคนใกล้เคียง จนผู้บริหารโรงพยาบาลออกประกาศภาวะฉุกเฉินภายใน ผลสุดท้ายมีผู้ป่วยจากเหตุการณ์นี้จำนวน 23 (คณะที่รักษาเธอมี 37 คน) ซึ่งทั้งหมดถูกจับเพื่อเข้าเขตกักกังเชื้อโรคทั้งหมด โดยมีอาการเหมือนหญิงที่ป่วยในตอนแรกไม่มีผิด
ภายหลังมีผลสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้พบว่าหญิงคนนั้นและคนป่วยทั้งหมดใน เหตุการณ์คนนี้ เป็นหลายโรคมากๆ ทั้ง ฮิสทีเรียมวล, โรคตับอักเสบ, เนื้อเยื่อตาย, กระดูกผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายทนทุกข์ทรมานและตายในสองสัปดาห์ให้หลัง ส่วนตัวกลอเรียเธอตายหลังจากนั้น 40 นาที หลังเธอเข้าโรงพยาบาล ผลชันสูตรศพ(แบบปลอดเชื้อสุดๆ) พบว่าเลือดของเธอเป็นพิษ สามารถระเหยเป็นไอได้ ใครสูดสามารถตายได้ทันทีเสมือนหนึ่งเป็นแก๊สพิษ
ภายหลังมีผลสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้พบว่าหญิงคนนั้นและคนป่วยทั้งหมดใน เหตุการณ์คนนี้ สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ ในบรรดาพนักงานที่ล้มป่วย เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และจากผลการตรวจเลือดผู้ป่วยทั้งหมดก็พบว่าไม่มีความผิดปกติใดๆเลย จึงสรุปปรากฏการณ์ที่ไม่ทราบสาเหตุนี้ว่าเป็นอุปทานหมู่ ทำให้เรื่องราวของเธอยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้

The Headless Lover

หญิงท้องคนหนึ่ง บอกสามีของเธอว่า ลูกในท้องไม่ใช่ลูกเขาแต่เป็นลูกของผู้ชายอีกคน ด้วยเหตุผลทั้งหมด สามีเลยตัดสินใจตัดหัวชู้รักแล้วเอามาฝากภรรยาที่กำลังตั้งท้องแก่ มันเป็นเรื่องเล่าหลายแบบ แต่หลักๆแล้วมันก็แนวนี้แหละ
มันกลายเป็นจริงซะงั้น! จ่าสิบเอก สตีเฟน แชพ (Sgt Stephen Schap) และ ไดแอน แชพ (Diane Schap) คู่รักพลเรือนทหาร ในค่ายที่เยอรมันนี ในปี 1993 เขากำลังยินข่าวดีเมื่อภรรยาเขาตั้งท้อง แต่มันคงจะเป็นข่าวดีสุดๆ หรอกถ้าสตีเฟนไม่ได้ทำหมัน.......(ตรูเป็นหมันแล้วมันท้องได้ไงฟ่ะะ) ไดแอนจำต้องยอมรับว่าเธอไปมีชู้กับเพื่อนรักของสตีเฟน ชื่อ เกรกอรี่ โกลเวอร์
โชคร้ายสตีเฟนแก้แค้นเธอล้ำลึกกว่าที่เอาเก้าอี้ขว้างใส่เธออีก
ธันวาคมตอนเย็น ไดแอนตั้งครรภ์ในเตียงโรงพยาบาลเธอโทรศัพท์ถึงชู้รักเธอเกรกอรี่ และแล้วจู่ๆ สายเขาก็ขาด ไดแอนไม่รู้อะไรเกิดขึ้นกับเขาในเวลานั้นแต่เธอไม่ต้องคิดนานหรอก เพราะอีกชั่วโมงต่อมาสตีเฟนเข้ามาในห้องของเธอแล้วเขาก็ขว้างหัวสดๆ ของเกรกอรี่จากกระเป๋าหิ้วใส่หน้าเธอ จากนั้นสตีเฟนก็พูดว่า
"ดูสิไดแอน ฉันพาคนรักของเธอมาให้แล้ว เธอจะได้นอนกอดเขาทั้งคืนทั้งวัน สมใจเลยแหละ” สตีเฟนกล่าวกับภรรยา นี้เป็นการแก้แค้นที่สะใจสำหรับเขาแล้ว

Something Off About That Picture

มีชายคนหนุ่มคนหนึ่งเดินทางร้านขายของชำของสุภาพสตรีสูงอายุคนหนึ่ง เขาเกิดไปสะดุดตาภาพถ่ายของชายคนหนึ่ง รูปก็ดูปกติดี เด็กชายในชุดที่แต่งจนหล่อเนี้ยบ แต่มันดูแปลกๆไป เขาถามหญิงชราว่านี่ใครกัน
“โอ!!” หญิงชราตอบกลับ พยายามจับแมวให้อยู่นิ่งๆในอ่างล้างจาน “ดูไม่ออกเหรอว่าเขาตายแล้ว แต่รูปนี้ดูดีนะ เธอว่ามั้ย??”
มันเป็นจริงซะงั้น! Post-mortem photography หมายถึงภาพที่ระลึกหลังความตาย เป็นงานศิลปะมากกว่าธรรมดา เพราะเป็นการจัดศพของคนที่ตายไปแล้วมาแต่งหน้าทำผม แต่งตัวและถ่ายรูปให้เสมือนพวกเขามีชีวิต(ทำท่าเหมือนหลับนอนลึก)ก่อนนำไป ฝัง การถ่ายภาพนี้นิยมในหมู่ชนชั้นกลางสมัยวิคตอเรียน ส่วนมากลูกค้ามักเป็นลูกสาวหรือทารกซึ่งพ่อแม่เด็กรับไม่ได้ว่าพวกเขาตายไป แล้ว เด็กที่ตายมักถูกจัดแสดงในการนอนพิงบนที่นอน หรือในเตียงนอนเด็ก บ่อยบางครั้งการจัดท่ากับของเล่นโปรด ส่วนผู้ใหญ่จะวางท่ามากกว่าปรกติในเก้าอี้ โดยมีเสาค้ำบนเฟรมการออกแบบพิเศษ นอกจากนี้ก็ยังมีลูกค้าที่เป็นหบาทหลวงที่ตายแล้วก็ถูกนำมาตกแต่งเต็มยศและ นำไปไว้ในโบสถ์งานศพของเขาเสมือนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ (1945 ) หรือนักโทษประหารบางคนที่ถูกประหารด้วยกิโยตินซึ่งเมื่อคอเขาขาดก็นำมาต่อ ใหม่และถ่ายรูปเอาไว้ เป็นต้น

Drugs Smuggled in Baby's Corpse

โดยเรื่องนี้เป็นตำนานเมืองเก่าที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยตั้งแต่ปี 1970 โดยเรื่องเล่าว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกับเพื่อนร่วมงานไปท่องเที่ยวสนุกสนานที่ ชายแดนเม็กซิโกโดยพวกเขานำทารกสองขวบไปด้วย หากแค่พวกเขาคาดสายตาทารกแค่แป๊ปเดียวเท่านั้นเองเด็กทารกก็หายไป พวกเขาได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ออกตามหา และ 15 นาทีต่อมาพวกเขาก็ได้พบ ผู้เป็นแม่วิ่งไปขอบคุณตำรวจ แต่นั่นวินาทีหลังจากนั้นความดีใจก็หายไปทันทีเมื่อพวกเขาพบว่าเด็กทารกที่ ว่านั่นตายนานตั้งแต่ 45 นาทีที่หายไปแล้ว ที่ท้องเด็กถูกผ่าออกและข้างในยัดด้วยโคเคน สาเหตุคือพวกโจรลักพาเด็กต้องการศพเด็กนั้นเพื่อซ่อนยาเสพย์ติดเพื่อหนีจุด ตรวจไปสหรัฐนั่นเอง
มันเป็นจริงซะงั้น! เรื่องการยัดยาเสพย์ติดเข้าไปในศพเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบก่อนเข้าสหรัฐ อเมริกา มีมาช้านานแล้วครับ ดั่งข่าวหนึ่งในวอชิงตันโพสต์ ค.ศ.1985 ที่หน้าย่อว่าเมื่อวันจันทร์ ในไมอามี่ มีการลักลอบขนโคเคนเข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยยัดศพเด็กทารก ในเที่ยวบินจากโคลอมเบียไปยังไมอามี่ โดยตอนแรกเจ้าหน้าที่พบว่าศพเด็กที่ตอนแรกนั้นมาแบบเด็กที่เหมือนมีชีวิตและ คนแอบลักลอบทำท่าทำทางเป็นแม่ของเด็ก หากแต่พวกเขาพบพิรุธเสียก่อน ข้างล่างคือคลิปสยองนิดๆ หน่อยๆ นะครับ

Buried Alive!

และแล้วก็มาถึงอันดับ 1 ของเรา “ฝังทั้งเป็น” เรื่องนี้ผมอ่านแล้วน่ากลัวมากดังนั้นอาจยาวหน่อยเพราะผมจะละเมียดแปล
เรื่องเล่ากันว่ามีหญิงชายคนหนึ่งแต่งงานกับ และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั้งแก่เฒ่า จนกระทั้งวันหนึ่งภรรยาของเขาได้จากไป เขาจัดพิธีศพตามหลักศาสนาคริสต์ คือนำศพของเธอมาฝังในโลงศพอย่างดีมาฝังในสุสานเพื่อให้เธอพักผ่อนถาวร
เรื่องคงจบแต่เพียงเท่านี้ หากแต่ไม่ เมื่อดึกคืนหนึ่งในขณะที่ฝ่ายชายนอนหลับ เขาได้ฝันน่ากลัวเข้า เมื่อเขาเห็นภรรยาที่อยู่ในโลงศพลืมตาดื่นขึ้น เธอพยายามตะเกียดตะกายเพื่อออกจากโลงที่ถูกฝังในดิน ความมืด ความแคบ อาการน้อยลงทุกที ทำให้เธอกลายเป็นบ้า เธอกำลังร้องชื่อเขาเพื่อมาช่วยเหลือเธอ
ฝ่ายชายฝันร้ายแบบนี้ทุกค่ำคืน จนกระทั้งทนไม่ไหว เขาเลยร้องขอให้แพทย์และหน่วยงานท้องถิ่นนำโลงศพของภรรยาของเขาออกมา และเมื่อทั้งหมดเปิดฝาโลงก็ตะลึงเมื่อศพภรรยาของเขาไม่ได้เน่าเบื่อ ซ้ำที่เบิกตาโพลง ทำหน้าตาหวาดกลัว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ที่เล็บมีเลือดเกรอะกรัง และที่ฝาโลงด้านในมีรอยขีดข่วนชัดเจน ..........
มันเป็นจริงซะงั้น! เรื่องของศพที่คิดว่าตายแล้วนำมาฝังตามพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่ต่อมากลับพบว่าผู้ตายนั้นไม่ได้ตายจริง และกลับมาคืนชีพในโลงศพและพยายามตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด เรื่องราวเหล่านี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญมากมาย แต่ที่น่าแปลกคือเรื่องเหล่านี้กลายเป็นจริงอีกทั้งมีมากกว่าหนึ่งกรณี สาเหตุง่ายมากก็เพราะสมัยก่อนนั้นการตรวจสอบผู้ตายนั้นตายจริงหรือไม่ นั้นไม่ค่อยทันสมัย ทำให้มีการฝังในโลงศพทั้งๆ ที่ผู้ตายคนนั้นแค่ตายชั่วขณะ และนี้คือตัวอย่าง ของผู้มีประสบการณ์ฝังทั้งเป็นที่ฟื้นคืนชีพในโลงศพที่ถึงฝังในดินอย่างน่า สยดสยอง
ปี 1851 เวอรจิเนีย เเมคโดเนล(Virginia Macdonald) อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเธอในนิวยอร์กซิตี้และป่วยตายเธอถูกนำไปฝังในสุสานกรี นวู๊ด(Greenwood) บรู๊คลิน นิวยอร์ค อเมริกา หลังจากพิธีฝังศพผ่านไป แม่ของเธอกลับบอกคนอื่นว่าเธอเชื่อว่าลูกของเธอไม่ตาย เธอพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนครอบครัวของเธอทนไหมไหวเลยต้องขุดโลงศพเปิดฝา โลงให้แม่ของเธอหายข้อข้องใจซะ แต่ปรากฏว่าพวกเขาพบว่าศพของเวอจิเนียนั้นยังไม่เน่า เธอคืนชีพในโลงและพยายามตะเกียดตะกาย ที่มือของเธอนั้นสภาพเละอย่างไม่มีชิ้นดี แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามทำลายโลง แต่ล้มเหลวและขาดใจตายไปเสียก่อน (ปล. หลังจากนั้นป่าช้าแห่งนี้ได้ถูกย้ายไปที่แห่งใหม่ หลายโรงถูกนำมาตรวจสอบก็พบว่ามีศพหลายศพที่ถูกฝังทั้งเป็นจำนวนมาก

เครดิต :
http://urbanlegends.about.com/od/horrors/a/clown_statue.htm
http://www.mummytombs.com/mummylocator/featured/mccurdy.htm
http://atcloud.com/stories/60687
http://urbanlegends.about.com/od/crime/a/body_in_bed.htm
http://en.wikipedia.org/wiki/Post-mortem_photography
http://www.snopes.com/horrors/gruesome/halloween.asp
http://www.snopes.com/horrors/gruesome/headless.asp
http://discovermagazine.com/1995/apr/analysisofatoxic493

Loilpop


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#9
เด็กซ่าบ้านแสบ
20-02-2012 - 19:01:20

#9 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 20-02-2012 - 19:01:20 ]







ในที่สุดก็เผยความโหดของตัวเองออกมาจนได้สินะอีฟซี่


Leonie CluB GiRl ZaA
#10
Leonie CluB GiRl ZaA
20-02-2012 - 19:06:43

#10 Leonie CluB GiRl ZaA  [ 20-02-2012 - 19:06:43 ]









คิดถึง
Nebula Eva
#11
20-02-2012 - 19:11:08

#11 Nebula Eva  [ 20-02-2012 - 19:11:08 ]





quote : เด็กซ่าบ้านแสบ


ในที่สุดก็เผยความโหดของตัวเองออกมาจนได้สินะอีฟซี่




นี่คืองานอดิเรก

สโตกเกอร์เรื่องลึกลับ


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-02-20 19:11:21


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#12
เด็กซ่าบ้านแสบ
20-02-2012 - 19:19:07

#12 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 20-02-2012 - 19:19:07 ]






quote : Nebula Eva

quote : เด็กซ่าบ้านแสบ


ในที่สุดก็เผยความโหดของตัวเองออกมาจนได้สินะอีฟซี่




นี่คืองานอดิเรก

สโตกเกอร์เรื่องลึกลับ

แฮะเค้าก็เคยสร้างนะแต่ก็ตามสเต็ป(ไม่มีคนเข้า)


Tong43
#13
20-02-2012 - 19:20:14

#13 Tong43  [ 20-02-2012 - 19:20:14 ]





quote :
The Living Severed Head


อันนี้คุ้นๆนะ เหมือนในอนิเมเรื่องแว่วนกนางนวลจะเอามาประกอบอนิเมด้วย เราเจอฉากนึง คล้ายๆแบบนี้ แต่เป็นหัวผู้หญิงคนอื่น
แถมผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามกับผู้หญิงที่เจอก็ให้ผู้รับใช้ยัดหัวในจานนั้นเข้าปากอีก ยัดซะแบบว่าขนาดเจ้าของหัวยังยอมเลย



It's been a while...
Nebula Eva
#14
20-02-2012 - 19:32:30

#14 Nebula Eva  [ 20-02-2012 - 19:32:30 ]





quote : Tong43

quote :
The Living Severed Head


อันนี้คุ้นๆนะ เหมือนในอนิเมเรื่องแว่วนกนางนวลจะเอามาประกอบอนิเมด้วย เราเจอฉากนึง คล้ายๆแบบนี้ แต่เป็นหัวผู้หญิงคนอื่น
แถมผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามกับผู้หญิงที่เจอก็ให้ผู้รับใช้ยัดหัวในจานนั้นเข้าปากอีก ยัดซะแบบว่าขนาดเจ้าของหัวยังยอมเลย


เราเคยดูเป็นหนัง จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้วเหมือนกันรู้แต่ว่าน่ากลัวสุดๆ



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
msepmesa
#15
20-02-2012 - 19:38:50

#15 msepmesa  [ 20-02-2012 - 19:38:50 ]





หนูกลัวตัวตลกน่ะ มันหลอนมากเลยล่ะ คล้ายๆกับว่า ตัวตลกถึงแม้จะฆ่าคนแต่ก็ยังยิ้มได้ หัวเราะได้
ซึ่งมันดูโรคจิตมากT T



เว็บบอร์ดเปลี่ยนไปเยอะมาก
Nebula Eva
#16
20-02-2012 - 19:48:36

#16 Nebula Eva  [ 20-02-2012 - 19:48:36 ]





quote : msepmesa

หนูกลัวตัวตลกน่ะ มันหลอนมากเลยล่ะ คล้ายๆกับว่า ตัวตลกถึงแม้จะฆ่าคนแต่ก็ยังยิ้มได้ หัวเราะได้
ซึ่งมันดูโรคจิตมากT T



ยังไม่ดูโรคจิตเท่า แจ๊คเดอะริปเปอร์หรอก เดี๋ยวพี่หาปะวัติแจ๊คฯมาให้อ่าน

ฆาตกรรายนี้ดังน่าจะหาประวัติง่ายหน่อย



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
แพรกะเหมียว
#17
แพรกะเหมียว
20-02-2012 - 19:59:57

#17 แพรกะเหมียว  [ 20-02-2012 - 19:59:57 ]





หลอนอะ



จมูกฉันกำลังจะพัง T0T
Nebula Eva
#18
20-02-2012 - 20:36:07

#18 Nebula Eva  [ 20-02-2012 - 20:36:07 ]





ตำนานฆาตรกรสยอง
แจ็ก เดอะริปเปอร์




แจ็ก เดอะริปเปอร์ ฆาตกรต่อเนื่อง ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ได้ลงมือฆ่าเหยื่อรายแรกของเขาในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2431 ซึ่งผ่านมาแล้ว 121 ปี เรื่องราวแห่งความสยองขวัญยังถูกพูดถึงอยู่เสมอ พร้อมกับปริศนาที่ว่าใคร คือ ฆาตกรตัวจริง

เรื่องราวของแจ็ก เดอะริปเปอร์ (jack the ripper) ฆาตกร ต่อเนื่อง ผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนี่ง เป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความสยดสยองระคนไปด้วยเงื่อนงำแห่งความเป็น ปริศนา และจากคำถามที่ว่าฆาตกรตัวจริง ที่ถูกขนานนามว่า แจ๊ค เดอะริปเปอร์ นั้นแท้ที่จริงเป็นใคร ยิ่งกลับทำให้เรื่องราวของเขายังคงเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนแม้ว่าการฆาตกรรม หญิงโสเภณีรายแรกจากฆาตกรปริศนาผู้นี้จะผ่านมาแล้วเป็นเวลา 121 ปีเต็ม

ปริศนา และเงื่อนงำเกี่ยวกับการฆาตกรรมของ แจ๊ค เดอะริปเปอร์ ได้รับความสนอกสนใจอย่างมาก มีการนำเรื่องราวของฆาตกรผู้โหดเหี้ยม รายนี้มาทำเป็นภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้ง แถมยังมีหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องราวของเขาอีกนับร้อยเล่ม แจ็ค เดอะริปเปอร์ อาจจะไม่ใช่ฆาตกรต่อเนื่องรายแรก ทั้งยังไม่ใช่ฆาตกรต่อเนื่องโหดเหี้ยมที่สุดก็ตาม แต่ในบรรดาฆาตกรต่อเนื่องด้วยกัน ชื่อของ แจ๊ค เดอะริปเปอร์ จะหอมหวนและเย้ายั่วความสนใจ อยากรู้อยากเห็นของผู้คนได้ไม่ยิ่งหย่อนกว่าใคร และ แม้ฆาตกรตัวจริงจะจบชีวิตลงไปแล้ว ตามวันเวลาที่น่าและควรจะเป็น แต่เรื่องราวสะเทือนขวัญดังกล่าวกลับไม่ได้ตายตามลงไป ยังคงมีการพูดถึงปริศนาแห่งการฆาตกรรมต่อเนื่องของ แจ๊ค เดอะริปเปอร์ อยู่เสมอๆ

ตำนานอันเหี้ยมโหดของ แจ๊ค เดอะริปเปอร์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคมถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2431 บน ถนน white chapel ในย่าน east end ของ ลอนดอนเมืองหลวงของประเทศอังกฤษ ดูประหนึ่งเหมือนกับท้าทายความสามารถของสก๊อตแลนยาร์ด (scotland yard) ตำรวจสันติบาลอังกฤษ ที่มีชื่อเสียงในการคลี่คลายคดีมากที่สุดในขณะนั้น



ทุกค่ำคืนริมท้องถนนของ white chapel เต็ม ไปด้วยแสงไฟประดับประดาหลากสี East end เป็นย่านชุมชนแออัดของมหานครลอนดอนที่ดูคล้ายกับว่าเมืองนี้เป็นความโสมมที่ ซ่อนอยู่ในซอกหลืบแห่งความศิวิไลซ์แห่งมหานครใหญ่ แม้จะเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ แต่ยามค่ำคืนของ white chapel กลับคึกคักด้วยบรรดาผู้คนมากหน้าหลายตาที่แวะเวียนกันมาหาความสำราญ ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่เป็นที่พักจอดเรือสินค้า ดังนั้น white chapel จึงกลายเป็นทางผ่านของพวกพ่อค้าและกะลาสีเรือ ที่หวังจะได้ดื่มเหล้าอุ่นๆ พร้อมตะกองกอดอิสตรีในเมืองเล็กๆแห่งนี้ มีรายงานของสก๊อตแลนด์ยาดในยุคนั้นว่า white chapel มีสถานบริการทางเพศมากถึง 62 แห่ง มีทั้งสาวโสดและไม่โสดที่ยอมพลีกายขายเรือนร่างให้แก่ผู้ผ่านทางมากถึง 1,200 นาง และ นั้นเป็นเป้าหมายอย่างดีของฆาตกรนิรนามอย่างแจ๊คเดอะริปเปอร์

แต่แล้ววิถีชีวิตที่แสนจำซ้ำซากจำเจของชาว white chapel ก็ถูกปลุกขึ้นพร้อมกับอาการหวาดสยอง เมื่อโสเภณีนางหนึ่งถูกฆาตกรรมลงด้วยสภาพศพที่เต็มไปด้วยความสยดสยอง และนั้นเป็นปฐมบทแห่งการฆาตกรรมต่อเนื่องของแจ๊คเดอะริปเปอร์ มี ผู้โชคร้ายหลายรายที่ตกเป็นเหยื่อของการฆาตกรรมที่ไร้ร่องรอยนี้ แต่ที่ยอมรับกันอย่างเป็นทางการว่าเป็นผู้มือของฆาตกรโหด แจ๊ค เดอะริปเปอร์ นั้นมีเพียง 5 รายเท่านั้น

1.แมรีแอน นิโคลส์ หรือ พอลลี ชื่อที่นักท่องราตรีในละแวกนั้นคุ้นเคยกันดี พอลลี วัย 43 ปีเป็นโสเภณีที่หากินอยู่ในแถบนั้น เธอถูกของมีคมเชือดลงบนลำคอ และโดนชำแหละคว้านเอาอวัยวะภายในออกมา เธอกลายเป็นศพแรกจากฝีมือการฆาตกรรมของ แจ๊ค เดอะริปเปอร์ ในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2431 แม้สภาพศพของเธอจะเต็มไปด้วยความสยดสยอง ทั้งสร้างความสะอิดสะเอืยนให้แก่ผู้พบเห็น แต่ฆาตกรรมดังกล่าว ยังไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนัก อาจจะเป็นเพราะการฆาตกรรมเพียงรายเดียว ที่ในไม่ช้าสายลมแห่งการเวลา ย่อมจะพัดพาให้เลือนหายไป จากความทรงจำของผู้คนในย่านนั้น

2. แต่แล้วห่างไปเพียงไม่กี่วัน ในคืนวันที่ 8 กันยายน โสเภณีอีกรายก็โดนฆาตกรรมในทำนองและกรรมวิธีเดียวกัน แอนนี แชปแมน คือโสเภณีผู้โชคร้ายที่ถูกฆ่าปาดคอ และโดนตัดอวัยวะบางส่วนหายไปจากร่างไร้วิญญาณของเธอ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาห่างกันไม่นาน เริ่มเป็นที่กล่าวขานในวงกว้างทั้งเริ่มเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนถึงฆาตกรรม ปริศนารายนี้ พร้อมกับคำถามที่ว่าใครคือฆาตกร และไม่แน่ว่าอาจจะเกิดผู้โชค รายต่อไป การฆาตกรรมปริศนาถูกกล่าวขานต่อกันไป พร้อมทั้งนำเอาความหวาดกลัวสู่ผู้ซึ่งได้รับฟังเรื่องราวของฆาตกรรมอันเต็ม ไปด้วยเงือนงำ

ในความคาดการณ์ที่ไร้ทิศทางและหลักฐานถึงฆาตกรตัวจริง ดูเหมือนจะถึงทางตัน ไม่ปรากฏชื่อ ไม่ปรากฏหลักฐานที่มากพอ จะสาวถึงตัวผู้กระทำความผิด แต่แล้วในวันที่ 25 กันยายน ปีเดียวกันนั้น จดหมายปริศนาฉบับหนึ่งได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวเซนทรัล พร้อมทั้งกล่าวอ้างว่า เขา คือ ฆาตกรปริศนาผู้ฆ่าหญิงโสเภณี และที่สำคัญจดหมายฉบับลงชื่อว่า "แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์" จดหมายลึกลับฉบับดังกล่าวดูคล้ายกับว่ากำลังท้าทาย ให้นักสืบฝีมือดีของสก๊อตแลนยาร์ดเร่งหาตัวเขามาลงโทษ

3. เหยื่อจากคมมีดของฆาตกรลึกลับ นาม แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ถูกสังหารอีกครั้งในวันที่ 30 กันยายน ผู้เคราะห์ร้าย คือ อลิซาเบ็ธ สไตรค์ ซึ่งอาชีพของเธอคือ โสเภณีอีกตามเคย ก่อน เกิดเหตุมีผู้พบเห็นเธอไปกับชายแปลกหน้า แต่ผู้พบเห็นไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก เพราะอาชีพอย่างหล่อนมักจะหายไปกับชายแปลกเสมอๆ แต่ไม่นานกลับพบว่าอลิซาเบ็ธ สไตรค์กลายเป็นศพ มีบาดแผลที่ลำคอเป็นทางยาว แต่สภาพศพขอเธอยังคงสมบูรณ์มากกว่าเหยื่อสองรายแรก อาจจะเป็นเพราะความเร่งรีบของฆาตกร

4. ห่างจากเวลาที่อลิซาเบ็ธ สไตรค์ ประสบชะตากรรมไม่นาน บริวณใกล้เคียงกันก็พบศพของ แคทเทอรีน เอดโดวส์ หรือ เคท วัย 46 ปีสภาพศพของเธอเต็มไปด้วยความสยดสยอง มากกว่าศพของผู้เคราะห์รายอื่น ที่จบชีวิตลงด้วยคมมีดของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ก่อนหน้านี้ ลำคอของเธอถูกเชือดเป็น ทางยาว จมูกโดนเฉือนจนเว้าแหว่งและโชกชุ่มไปด้วยเลือด ที่สำคัญลูกตาทั้งสองข้างของเธอ โดนควักหายไป ช่องท้องถูกกรีดเป็นทางยาว ไตถูกควักหายไป บนกำแพงที่ใกล้กับศพของเธอปรากฏข้อความว่า ว่า "the juwes are the men that will not be blamed for nothing." ซึ่ง นั้นทำให้เกิดการติดตามจับกุมชาวยิวผู้ต้องสงสัยขนานใหญ่ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าข้อความนั้น มีปรากฏอยู่ก่อน หรือว่าเพิ่งเขียนลงโดย แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ หลังจากฆาตกรรมเหยื่อผู้เคระห์ร้าย

จากเหตุฆาตกรรมสองรายซ้อน ในบริเวณที่ใกล้เคียงกันโดยมีระยะเวลาที่ห่างกันเพียงไม่นานว่า อาจจะเป็นไปได้ว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ไม่ได้ทำงานคนเดียว กลายเป็นประเด็นถกเถียงของผู้คนในละแวกนั้น และเจ้าหน้าที่สก๊อตแลนด์ยาร์ด แต่กระนั้นศพสองราย ในคืนเดียวกันก็ทำให้ชาว white chapel ต้องขวัญผวา นอนตาไม่หลับไปหลายคืนเหมือนกัน

รุ่งเช้าวันถัดมา มีไปรษณียบัตรลึกลับจากเจ้าของนาม แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ส่งให้สำนักข่าวเซนทรัลอีกครั้ง ไปรษณียบัตรเต็มไปด้วยรอยเลือด ข้อความด้านในอวดอ้างว่า ตนทำการฆาตกรรมสองศพในรายเดียวกัน จนกระทั่งวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ 2431 ในขณะที่ชาวเมืองยังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้เหตุการณ์ฆาตกรรมปริศนาไม่ได้เกิดขึ้นมาเลย ในรอบสองอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ตาม ในวันนั้นมีมีพัสดุลึกลับส่งถึง จอร์จ เอคิน ลัสก์ ประธานกรรมการป้องกันภัยของ white chapel ทันทีที่เขาเปิดดู จอร์จก็ต้องผงะเบือนหน้าหนีพร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าที่โชยออกมา เมื่อเขาเปิดกล่องพัสดุออกดู ไตข้างหนึ่งของมนุษย์ถูกบรรจุอยู่ในกล้องพัสดุเล็กๆ พร้อมกับจดหมายท้าทายให้ตามจับ

5. 9 พฤศจิกายน พ.ศ 2431 เกิดการฆาตกรรมเหยื่อรายสุดท้าย ที่เชื่อกันว่าเป็นฝีมือ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ คราวนี้เหยื่อเป็นโสเภณีที่อายุอานามครบวัยเบญจเพศพอดี แมรี่ เจน เคลลี่ นอน ตายเป็นศพอยู่ ในห้องพักของตนเอง สภาพศพของเธอเละจนไม่มีชิ้นดี เธอเป็นผู้เคราะห์ร้าย จากน้ำมือ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ที่ถูกสังหารอย่างทารุณโหดเหี้ยมที่สุด หญิง วัย 25 ปีอยู่ในสภาพนอนกางขาบนเตียงนอน ผิวหนังโดนถลก มีมดลูกกองอยู่ปลายเท้า มือข้างหนึ่งถูกจับล้วงเข้าไปในท้องที่โดนควักตับไตไส้พุงออก หัวใจถูกปลิดออกจากขั้วหายไป เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วห้อง ทั้งนี้เป็นที่รับรู้กันว่าตอนนั้นเคลลีกำลังตั้งครรภ์ บนผนังห้องของเธอ ปรากฏข้อความ "the juwes are the men that will not be blamed for nothing." เช่นเดียวกับข้อความที่พบบริเวณของเหยื่อรายที่สี่

ทั้ง 5 คือเหยื่อแห่งการฆาตกรรมสะเทือนขวัญจากน้ำมือของฆาตกรลึกลับ ที่ถูกขนามนามว่า แจ๊คเดอะริปเปอร์ แต่กระนั้นยังมีการฆาตกรรมในลักษณะเดียวกันอีก 13 ราย ที่ตำรวจทำบันทึกแนบท้ายไว้ ในสำนวนของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ว่าอาจจะเป็นฝีมือของเขาด้วยเช่นกัน

ความลับว่าใคร คือ ฆาตกรปริศนาผู้นี้เป็นใคร ยังคงเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนเสมอ แม้เวลาจะผ่านมานานกว่าร้อยปีแล้วก็ตาม มีการสันนิษฐานจากผู้เชียวชาญว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อาจจะเป็นใครก็ได้ ทั้งผู้ต้องหาที่เคยโดนสอบสวนมาแล้วจำนวนมากในขณะที่เกิดเหตุ หรืออาจจะเป็นผู้ซึ่งอยู่ในข่ายต้องสงสัยว่าจะเป็นฆาตกรก็มีด้วยกันหลายราย แต่ที่ถูกเพ็งเล็งอย่างมาก มีไม่กี่คนอันได้แก่

1.เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด อัลเบิร์ต วิคเตอร์ ดยุค แห่งแคลเรนซ์ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าพระองค์เป็นฆาตกร เนื่องจากเคยไปเที่ยว ในละแวกนั้นและติดเชื้อร้าย มาจากโสเภณีจึงเกิดความคลั่งแค้น อาจจะลงมือเองหรือใช้สมุนคู่ใจให้จัดการก็เป็นได้ แต่กระนั้นก็มีผู้ไม่เห็นด้วยจำนวนไม่น้อย เพราะในช่วงเวลาที่แจ๊คเดอะริปเปอร์ลงมือนั้นนั้น พระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ที่ดอนลอนเลย

2.มอนเทกิว จอห์น ดริตต์ เขา เป็นครูที่ร่ำเรียนมาทางด้านการแพทย์ มอนเทกิว จอห์น ดริตต์ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งของทางการ นายตำรวจที่ทำการสอบสวนหลายคนเชื้อว่าเขาเป็นฆาตกรตัวจริง แต่หลังจากที่ แมรี่ เจน เคลลี่ เหยื่อรายสุดท้ายถูกฆาตกรรมไม่นาน ตำรวจก็พบ มอนเทกิว จอห์น ดริตต์กลายเป็นศพลอยมาตามแม่น้ำ ภายในตัวของเขามีจดหมายลาตายทำให้ตำรวจเชื่อว่าเขาฆ่าตัวตาย ในขณะที่บางความเห็น กลับไม่แน่ใจว่าแท้ที่จริงแล้ว มอนเทกิว จอห์น ดริตต์ฆ่าตัวตาย หรือเป็นเหยื่อฆาตกรรม เพื่อช่วยในการช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของตำรวจ จากฆาตกรตัวจริงหรือไม่

3.อารอน โคสมินสกี้ เป็น ผู้ต้องสงสัยของทางการหมายเลขสอง รองจากมอนเทกิว จอห์น ดริตต์ อารอน โคสมินสกี้ เป็นช่างตัดผมชาวยิวที่อาศัยอยู่ในละแวก white chapel เขาเคยถูกพยานที่อ้างว่าเห็นฆาตกรชี้ตัว แต่ภายหลังพยานคนดังกล่าวไม่ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เท่าไร แต่การชี้พยานในครั้งนั้น ทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาของสก๊อตแลนด์ยาร์ด ในฐานะว่าอาจจะเป็น แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ตัวจริง ต่อมาภายหลังอารอน โคสมินสกี้เกิดอาการกำเริบทางจิต จนถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลในปี พ.ศ 2433 และจบชีวิตลงในปีพ.ศ 2462

4.มีข้อสันนิษฐานว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์ตัวจริง อาจจะเป็นกะลาสีที่เดินทางผ่านมาคนใดคนหนึ่งก็ได้ เพราะหลังจากการเสียชีวิตของเหยื่อรายสุดท้ายใน white chapel กลับมีการฆาตกรรมในลักษณะเดียวกันปรากฏในนิการากัว 6 ศพ ก่อนจะเกิดเหตุอีกครั้งในลอนดอนและเยอรมันตามลำดับ แต่ทฤษฎีนี้กลับมีข้อโต้แย้งว่าอาจจะเป็นเพียงพฤติกรรมการเลียนแบบก็ได้ทำ ให้เชื่อกันต่อมาว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ได้ฆาตกรรมไปเพียง 5 ศพเท่านั้น

สก๊อตแลนด์ยาร์ดตัดสินใจปิดคดีของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ลงใน ปี พ.ศ. 2435 ทั้งๆ ทียังไม่สามารถจับฆาตกรได้ แต่ เนื่องจากผู้ต้องสงสัยสองรายสำคัญอย่าง มอนเทกิว จอห์น ดริตต์ ได้จบชีวิตลงและ อารอน โคสมินสกี้ ก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลือในโรงพยาบาลโรคจิต

มีข้อสันนิษฐานจากหลักฐานต่างๆ และปากคำของพยานบางคนที่อ้างว่าเคยพบเห็น แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ระบุว่า ฆาตกรรายนี้ เป็นชายอายุราว 25-35 ปี มีความสูงประมาณ5 ฟุต 5 นิ้ว ผมสีดำถูกรวบไว้ด้านหนัง ใบหน้ามีหนวด แต่จนถึงวันนี้ยังไม่ใครสามารถยืนยันว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ตัวจริงนั้นเป็นใคร ใช่ มอนเทกิว จอห์น ดริตต์ หรือจะเป็น อารอน โคสมินสกี้ หรือไม่ ยังคงเป็นปัญหาที่คลุมเครือและเร้าความสนใจให้คนรุ่นหลังได้อย่างดียิ่ง

นับจากวันแรกที่ วิญญาณของ แมรีแอน นิโคลส์ เหยื่อรายแรกถูกกระชากจากร่างจนถึงวันนี้ ครบ 121 ปี พอดีแต่ตำนานการฆาตกรรมที่เต็มไปด้วยปริศนาและความโหดเหี้ยมของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ก็ยังถูกกล่าวขานถึง และเต็มไปด้วยปริศนา ไม่ว่าฆาตกรตัวจริงคือใคร ทำไมถึงต้องเลือกฆาตกรรมแต่เฉพาะหญิงโสเภณี คำถามเหล่านี้รอคำตอบจากจินตนาการของผู้ที่สนใจตำนานฆาตกรรมอันลือลั่นของ เขาต่อไป แม้จะผ่านมาแล้วเป็นเวลากว่าร้อยปี แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ก็ยังคงเป็นตำนานการฆาตกรรมต่อเนื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้คนมากที่สุดทุก ยุคสมัย


เครดิต : http://variety.thaiza.com


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-02-20 20:36:19


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Leonie CluB GiRl ZaA
#19
Leonie CluB GiRl ZaA
20-02-2012 - 22:02:51

#19 Leonie CluB GiRl ZaA  [ 20-02-2012 - 22:02:51 ]









คิดถึง
เด็กซ่าบ้านแสบ
#20
เด็กซ่าบ้านแสบ
20-02-2012 - 22:07:36

#20 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 20-02-2012 - 22:07:36 ]









ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 17th April 2024 11:22

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ