quote :
ต่อจากเรปบน
แม่นากพระโขนง หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า แม่นาก เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีตายทั้งกลมที่เป็นที่รู้จักกันดีเรื่องหนึ่งของไทยเชื่อว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันมี ศาลแม่นาก ตั้งอยู่ที่ วัดมหาบุศย์ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร
เรื่องเล่า มีสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ด้วยกันที่ย่านพระโขนง สามีชื่อนายมาก ส่วนภรรยาชื่อนางนาก ทั้งสองใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจนนางนากตั้งครรภ์อ่อน ๆ นายมากก็มีหมายเรียกให้ไปเป็นทหารประจำการที่บางกอก นางนากจึงต้องอยู่ตามลำพัง
เวลาผ่านไป ท้องของนางนากก็ยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ จนครบกำหนดคลอด หมอตำแยก็มาทำคลอดให้ ทว่าลูกของนางนากไม่ยอมกลับหัว จึงไม่สามารถคลอดออกมาตามธรรมชาติ ยังผลให้นางนากเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก และในที่สุดนางนากก็ทานความเจ็บปวดไว้ไม่ไหว สิ้นใจไปพร้อมกับลูกในท้อง กลายเป็นผีตายทั้งกลม
หลังจากนั้น ศพของนางนากได้ถูกนำไปฝังไว้ยังป่าช้าท้ายวัดมหาบุศย์ ส่วนนายมากเมื่อปลดประจำการก็กลับจากบางกอกมายังพระโขนงโดยที่ยังไม่ทราบความว่าเมียของตัวได้หาชีวิตไม่แล้ว นายมากกลับมาถึงในเวลาเข้าไต้เข้าไฟพอดี จึงไม่ได้พบชาวบ้านเลย เนื่องจากบริเวณบ้านของนางนาก หลังจากที่นางนากตายไปก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะกลัวผีนางนากซึ่งต่างก็เชื่อกันว่าวิญญาณของผีตายทั้งกลมนั้นเฮี้ยน และมีความดุร้ายเป็นยิ่งนัก
ครั้นเมื่อนายมากกลับมาอยู่ที่บ้าน ผีนางนากก็คอยพยายามรั้งนายมากให้อยู่ที่บ้านตลอดเวลา ไม่ให้ออกไปพบใคร เพราะเกรงว่านายมากจะรู้ความจริงจากชาวบ้าน นายมากก็เชื่อเมีย เพราะรักเมีย ไม่ว่าใครที่มาพบเจอนายมากจะบอกนายมากอย่างไร นายมากก็ไม่เชื่อว่าเมียตัวเองตายไปแล้ว จนวันหนึ่งขณะที่นางนากตำน้ำพริกอยู่บนบ้าน นางนากทำมะนาวตกลงไปใต้ถุนบ้าน ด้วยความรีบร้อน นางจึงเอื้อมมือยาวลงมาจากร่องบนพื้นเรือนเพื่อเก็บมะนาวที่อยู่ใต้ถุนบ้าน นายมากขณะนั้น บังเอิญผ่านมาเห็นพอดี จึงปักใจเชื่ออย่างเต็มร้อย ว่าเมียตัวเองเป็นผีตามที่ชาวบ้านว่ากัน
นายมากวางแผนหลบหนีผีนางนาก โดยการแอบเจาะตุ่มใส่น้ำให้รั่วแล้วเอาดินอุดไว้ ตกกลางคืนทำทีเป็นไปปลดทุกข์เบา แล้วแกะดินที่อุดตุ่มไว้ให้น้ำไหลออกเหมือนคนปลดทุกข์เบา จากนั้นจึงแอบหนีไป นางนากเมื่อเห็นผิดสังเกตจึงออกมาดู ทำให้รู้ว่าตัวเองโดนหลอก จึงตามนายมากไปทันที นายมากเมื่อเห็นผีนางนากตามมาจึงหนีเข้าไปหลบอยู่ในดงหนาด นางนากไม่สามารถทำอะไรได้เพราะผีกลัวใบหนาด นายมากหนีไปพึ่งพระที่วัด นางนากไม่ลดละพยายาม ด้วยความที่เจ็บใจชาวบ้านที่คอยยุแยงตะแคงรั่วผัวตัวเองอีกประการหนึ่ง ทำให้นางนากออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านจนหวาดกลัวกันไปทั้งบาง ซึ่งความเฮี้ยนของนางนาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ถูกฝังไว้ระหว่างต้นตะเคียนคู่นั่นเอง ในที่สุด นางนากก็ถูกหมอผีฝีมือดีจับใส่หม้อถ่วงน้ำ จึงสงบไปได้พักใหญ่
จนกระทั่งตายายคู่หนึ่งที่ไม่รู้เรื่องเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ เก็บหม้อที่ถ่วงนางนากได้ขณะทอดแหจับปลา นางนากจึงถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สยบลงได้ กะโหลกศีรษะส่วนหน้าผากของนางนากถูกเคาะออกมาทำหัวปั้นเหน่ง เพื่อเป็นการสะกดวิญญาณ และนำนางนากสู่สุคติ หลังจากนั้น ปั้นเหน่งชิ้นนั้นก็ตกทอดไปยังเจ้าของอื่น ๆ อีกหลายมือ ตำนานรักของนางนาก นับเป็นตำนานรักอีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจผู้ฟังอย่างไม่รู้จบ กับความรักที่มั่นคงของนางนากที่มีต่อสามี ที่แม้แต่ความตายก็มิอาจพรากหัวใจรักของนางไปได้
ข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ เอนก นาวิกมูล ผู้ศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ไทยได้ค้นคว้าเอกสารร่วมสมัยเกี่ยวกับเรื่องแม่นากพระโขนงนี้ พบว่า จากหนังสือพิมพ์สยามประเภทฉบับวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2442 ของ ก.ศ.ร. กุหลาบ น่าจะมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ของ อำแดงนาก ลูกสาวกำนันตำบลพระโขนงชื่อ ขุนศรี ที่ตายลงขณะยังตั้งท้อง และทางฝ่ายลูก ๆ ของอำแดงนากก็เกรงว่าบิดาของตน (สามีแม่นาก) จะไปแต่งงานมีภรรยาใหม่ และต้องถูกแบ่งทรัพย์สิน จึงรวมตัวกันแสร้งทำเป็นผีหลอกผู้คนที่ผ่านไปมาด้วยการขว้างหินใส่เรือผู้ที่สัญจรไปมาในเวลากลางคืนบ้าง หรือทำวิธีต่าง ๆ นานา เพื่อให้คนเชื่อว่าผีของมารดาตนเองเฮี้ยน และพบว่าสามีของอำแดงนาก ไม่ใช่ชื่อ มาก แต่มีชื่อว่า นายชุ่ม ทศกัณฑ์ (เพราะเป็นนักแสดงในบท ทศกัณฑ์) และพบว่า คำว่า แม่นาก เขียนด้วยตัวสะกด ก ไก่ (ไม่ใช่ ค ควาย) แต่การที่สามีแม่นากได้ชื่อเป็น มาก เกิดขึ้นครั้งแรกจากบทประพันธ์เรื่อง "อีนากพระโขนง" ซึ่งเป็นบทละครร้อง ในปี พ.ศ. 2454 โดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์เคยทรงครอบครองกระดูกหน้าผากของแม่นากนี้ด้วยเช่นกัน โดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำมาถวาย
ความเชื่อของคนไทย เรื่องราวของแม่นากพระโขนง ปรากฏอยู่ทั่วไปตามความเชื่อของคนไทยร่วมสมัยและตราบจนปัจจุบัน เช่น เชื่อว่าชื่อสี่แยกมหานาค ที่เขตดุสิตในปัจจุบัน มาจากการที่แม่นากอาละวาดขยายตัวให้ใหญ่ และล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ก็ยังเคยเสด็จทอดพระเนตรด้วย หรือ เชื่อว่าพระรูปที่มาปราบแม่นากได้นั้นคือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นต้น อีกทั้งยังเชื่อว่า ท่านเป็นคนเจาะกะโหลกที่หน้าผากของแม่นากทำเป็นปั้นเหน่ง เพื่อสะกดวิญญาณแม่นาก และได้สร้างห้องเพื่อเก็บปั้นเหน่งชิ้นนี้ไว้ต่างหาก หรือหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ยังได้เขียนบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อ พ.ศ. 2468 ซึ่งเป็นสมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก ท่านเคยเห็นเรือนของแม่นากด้วย เป็นเรือนลักษณะเหมือนเรือนไทยภาคกลางทั่วไปอยู่ติดริมคลองพระโขนง มีเสาเรือนสูง มีห้องครัวอยู่ด้านหลัง ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว
ถึงอย่างไร ความเชื่อเรื่องแม่นากพระโขนง ก็ยังปรากฏอยู่ในความเชื่อของคนไทย ณ วัดมหาบุศย์ เขตสวนหลวง ปัจจุบันนี้ มีศาลแม่นากตั้งอยู่ ซึ่งเป็นที่สักการบูชาอย่างมากของบุคคลในและนอกพื้นที่ โดยบุคคลเหล่านี้จะเรียกแม่นากด้วยความเคารพว่า "ย่านาก" บ้างก็เชื่อกันว่าแม่นากได้ไปเกิดใหม่แล้ว
และเชื่อว่ายังมีผู้สืบเชื้อสายจากแม่นากมาจนถึงปัจจุบัน หนึ่งในนั้น คือ พีท ทองเจือ ดารานักแสดงชื่อดัง
และสิ่งที่เชื่อว่าเป็นปั้นเหน่งที่ทำจากหน้าผากกะโหลกแม่นาก ปัจจุบันถูกครอบครองโดยนักสะสมพระเครื่องผู้หนึ่ง
ปอบ เป็นผีจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในความเชื่อพื้นบ้านของไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน โดยเชื่อกันว่าเป็นผีที่กินของดิบ ๆ สด ๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม โดยมีความเชื่อว่า ผู้ที่จะกลายเป็นปอบนั้น มักจะเป็นผู้เล่นคาถาอาคม หรือคุณไสย พอรักษาคาถาอาคมที่มีอยู่กับตัวไม่ได้ หรือกระทำผิดข้อห้าม ซึ่งในภาษาอีสานจะเรียกว่า "คะลำ" ซึ่งผู้ที่เป็นปอบจะเป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
ปอบ เป็นผีที่ไม่มีตัวตนเหมือนกระสือหรือกองกอย แต่ปอบจะเข้าสิงสู่คนที่เป็นสื่อให้ และจะกินตับไตไส้พุงของผู้ที่โดนสิงจนกระทั่งตาย ผู้ที่โดนกินจะนอนตายเหมือนกับนอนหลับธรรมดา ๆ ไม่มีบาดแผล ซึ่งเรียกกันว่า "ใหลตาย"
ในทางมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ อธิบายว่า ความเชื่อเรื่องปอบนั้นเป็นกลไกการสร้างความเชื่อของคนในชุมชน เนื่องจากไม่วางใจบุคคลแปลกหน้าหรือแม้แต่กระทั่งคนในชุมชนเดียวกันเอง ที่มีพฤติกรรมแปลกออกไป ซึ่งในสมัยโบราณ บุคคลที่โดนกล่าวหาว่าเป็นปอบ จะถึงกับถูกขับไล่ให้ออกชุมชนเลยทีเดียว
ปอบ เป็นผีที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในสังคมไทย มีการนำไปอ้างอิงถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายประการ อาทิ ภาพยนตร์ชุด บ้านผีปอบ เป็นต้น
เปรต (อังกฤษ: Preta, สันสกฤต: प्रेत, ญี่ปุ่น: 餓鬼, จีน: 餓鬼) เป็นผีตามความเชื่อไทย มีรูปร่างสูงเท่าต้นตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซ ผิวดำ ท้องโต มือเท่าใบตาล แต่มีปากเท่ารูเข็ม และเปรตจะหิวอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากกินอะไรไม่ได้ จึงชอบมาขอส่วนบุญในงานบุญต่างๆ ซึ่งเมื่อสะสมบุญได้แล้วเกิดใหม่ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งจากลักษณะนี้ทำให้คำว่า เปรต กลายมาเป็นคำด่าในภาษาไทยที่หมายถึง คนที่อดอยากผอมโซ เที่ยวรบกวนขอเขากิน หรือเมื่อมีใครได้โชคลาภก็เข้ามาขอแบ่งปัน
ความหมาย คำว่า เปรต แปลว่า ผู้ตายไปแล้ว ในทางพุทธศาสนาหมายถึง สัตว์พวกหนึ่งที่ที่เกิดในเปตสิสัยซึ่งเป็นอบายภูมิ ๑ ใน ๔ ซึ่งประเภทของเปรตมีหลายประเภท เช่นประเภทหนึ่งเรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต คือเปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยส่วนบุญที่มีผู้ทำอุทิศให้ หากไม่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศให้ก็มักจะกินเลือดและหนองของตัวเองเป็นอาหาร โบราณมีความเชื่อที่ว่า ถ้าใครทำร้ายพ่อแม่ ชาติหน้าจะไปเกิดเป็นผีเปรต
การทำพลีกรรมแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือการทำบุญอุทิศไปให้ผู้ตายว่า เปตพลี หรือ บุพเปตพลี
ประเภทของเปรต เปรตมีหลายประเภท เช่น
แบ่งตาม เปตวัตถุอรรถกถา แบ่งได้ 4 ประเภท
ปรทัตตุปชีวิกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ จากอาหารที่มีมนุษย์ให้ เช่น การเซ่นไหว้ เป็นต้น
ขุปปีปาสิกเปรต คือ เปรตที่อดอยาก ทุกข์จากความหิวโหยอยู่เป็นนิจ
นิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
กาลกัญจิกเปรต คือ เปรตในจำพวกอสุรกาย
แบ่งตาม คัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์ และ ฉคติทีปนีปกรณ์ แบ่งได้ 12 ประเภท
วันตาสเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร
กุณปาสเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินซากศพคนหรือสัตว์ เป็นอาหาร
คูถขาทกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอุจจาระต่าง ๆ เป็นอาหาร
อัคคิชาลมุขเปรต คือ เปรตที่มีเปลวไฟลุกทั่วในปากตลอดเวลา
สุจิมุขเปรต คือ เปรตที่มีปากเท่าเล็กขนาดเท่ารูเข็ม
ตัณหัฏฏิตเปรต คือ เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนจนเกิดทุกข์จากความหิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ
สุนิชฌามกเปรต คือ เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่ถูกเผา
สุตตังคเปรต คือ เปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้ายาวและคมราวกับมีด
ปัพพตังคเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าขนาดของภูเขา
อชครังคเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายราวกับงูเหลือม
เวมานิกเปรต คือ เปรตที่ต้องเสวยสุขเป็นเทวดาเฉพาะในเวลากลางวัน แต่ในเวลากลางคืนได้ไปเสวยทุกข์เป็นเปรตกินเนื้อตัวเอง
มหิทธิกเปรต คือ เปรตที่ถวายสิ่งของให้แก่พระสงฆ์ไม่ว่าจะเป็น ช้าง ม้า หรือเกวียน ซึ่งเป็นการถวายเพื่อเอาหน้าแต่ลับหลังขอคืน เมื่อตายไปเป็นเปตรที่ขี่ช้าง ม้า ไม่ก็นั่งเกวียน
แบ่งตามวินัยและลักขณสังยุตตพระบาลี แบ่งได้ 21 ประเภท
อัฏฐีสังขสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่กระดูกติดกันเป็นท่อน ๆ
มังสเปสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่เนื้อเป็นชิ้นๆ
มังสปิณฑเปรต คือ เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน
นิจฉวิปริสเปรต คือ เปรตที่ไม่มีหนังห่อหุ้ม
อสิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์
สัตติโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นหอก
อุสุโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู
สูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็ม
ทุติยสูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ ๒
กุมภัณฑเปรต คือ เปรตที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก
คูถกูปนิมุคคเปรต คือ เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ
คูถขาทกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอุจจาระ
นิจฉวิตกิเปรต คือ เปรตหญิงที่ไม่มีหนังห่อหุ้ม
ทุคคันธเปรต คือ เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่า
โอคิลินีเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ
อลิสเปรต คือ เปรตที่ไม่มีศีรษะ
ภิกขุเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับพระ
ภิกขุณีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับภิกษุณี
สิกขมานเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสิกขมานา
สามเณรเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณร
สามเณรีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณรี
เครดิต : วิกิพีเดีย
quote :
ตามคำขอของเรป302 เราไม่แน่ใจว่านี่ใช่แบบที่คุณต้องการจะทราบไหม แต่เราขอละเรื่องราวเฮี้ยนๆขอผีที่ออกมาจากปากคนไทยละกัน จำพวกเรื่องผีที่มาจากคนตาย ที่ไม่ว่าจะตายด้วยวิธีไหน ตายเพราะอะไร แล้วทำไมถึงเฮี้ยน เรื่องจำพวกนี้เราขอละไว้เฉพาะกระทู้นี้ละกัน เพราะเราถือว่าการนำเรื่องของวิญญาณคนตายมาเล่าเป็นการรบกวนเขา เลยเอาเรื่องเกี่ยวกับตำนานผีไทยในความเชื่อของคนไทยมาแทนคนไม่ว่ากันนะคะ หากอยากอ่านเพิ่มที่นอกเหนือจากนี้อีกเดี๋ยวเราเอามาเพิ่มให้ตอนค่ำๆค่ะ
quote : ของแถมจากเรปนี้
10 อันดับผีไทยที่คนเคยเห็นมากทีสุด
อันดับ 10 ผีห้องน้ำ ใครบ้านไหนบ้างหนอ ที่อาบน้ำในโอ่งอยู่ดีๆ แล้วผีดัน มาหลอกไม่ก็ขอกุศลตอนนั้นแล้วไม่กลัวอะและอับดับที่เกิดนั้นมักอยู่ในโรงแรม ไม่ก็หอเสมอ โดยทั่วไปผีตนนี้มักโผล่ผลุบๆ โผล่ๆ จู่ๆ ประตูห้องน้ำก็ปิดโดยไม่มีลม ได้ยินเสียงน้ำไหลเอย เสียงชักโครกเอย เอาเป็นว่าเราก็กลัวเหมือนกัน
อันดับที่ 9 ผีบ้านร้าง แถวบ้านพวกคุณ(บางคนนะคะ)มักจะมีบ้านๆหลังหนึ่งมีต้นไม้คลุมมีซากไม้เก่าๆอยู่ หากแถวบ้านคุณมีลักษณะอย่างนั้นขอบอกว่าใช่เลย โดยปกติผีตนนี้มักจะโผล่แบบไม่ค่อยซ้ำแบบใครเท่าไร นั่นคือจะเห็นมีคนเดินไปเดินมาแถวบ้านนั้นเสมอ จะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้อง เสียงเด็กร้องไห้หากคุณเจออย่างงั้นจะย้ายหนีหรืออยู่ต่อก็เชิญคะ
อันดับที่ 8 ผีข้างทาง ยามคุณกลับบ้านคนเดียวมันจะตามคุณมาเรื่อยๆยิ่งดึกยิ่งน่ากลัว 99% ของผีตนนี้มักจะถูกฆ่าเสมอ ผีตนนี้มักจะโผล่แบบสยองเอาเรื่องเหมือนกัน แบบว่า(สำหรับวินมอเตอร์ไซต์นะ)ผีตนนี้จะบอกให้ไปส่งที่บ้านแล้วก็.......
อันดับที่ 7 ผีญาติๆของคุณ หลังจากเผาเสร็จ 1-2 วัน นั่นแหละคือวันที่แผลงฤทธิ์แต่คุณอย่าคิดมาก(เหมือนเพลงของแดน-บีมอะ) ผีตนนี้มักปรากฎขึ้นมาเพื่อให้คุณรู้ว่า เขาต้องการให้คุณทำบุญไปให้
อันดับที่ 6 ผีเทพอารักขา(เทวดาที่หลายๆคนเชื่อว่าสิงสถิตตามต้นไม้)ผีแบบนี้ใครๆก็ชอบยิ่งออกรูปลักษณะแปลกๆ ยิ่งดี นั่นแหละชาวบ้านยิ่งขัดถูกันมัน
อันดับที่ 5 ผีจองเวรทั้งหลาย วิธีการหลอกของผีตนนี้สยองสุด ๆ มันจะทำให้คุณขนลุกพอ ๆ กัน แต่มันสยองสำหรับคนที่ดันไปจองเวรก่อนเค้าตาย แต่คนที่ไม่ได้ไปทำอะไรให้มันคับแค้นใจก็รอดไป การหลอกของผีตนนี้มักมีเป้าหมายคือ ฆ่าพวกที่ทำให้พวกเค้าเสียใจเท่านั้น
อันดับที่ 4 ผีของเก่า ๆ ที่คุณซื้อมา และ ที่สำคัญที่ทอปฮิตติดชาร์ตมากที่สุดคือ เตียงนอนและตู้ 1. เตียงนอนมันมักจะเริ่มจากที่คุณนอนไป 2-3 ชั่วโมงแล้วมันจะมานอนข้าง ๆ คุณ หรือไม่ก็ฉุดขาคุณ 2. ตู้ คุณลองเปิดตอนมืด ๆ ค่ำ ๆ สิ
อันดับที่ 3 ผีเด็กๆ คุณอย่าคิดนาๆว่าถึงเป็นผีเด็กนะแต่ทอปมาอยู่ที่3ได้นะความเฮี้ยนของเด็กมัก เริ่มจากความกุ๊กกิ๊กน่ารักเสมอ แล้วลิ้นก้อค่อยๆยาวขึ้นหรืออาจมีเลือดเต็มหน้า แล้วคุณก็เป็นลม
อันดับที่ 2 ผีที่วัด แน่นอนวัดคือทอป 2 ที่คุณจะเจอผีลองดูสิหันหน้าไปทางทิศตะวันตกหลังเมรุ แล้วก้มลอดระหว่างขาสิ
อันดับที่ 1 ผีโรงแรม ดาราหรือแม้กระทั่งคุณเองก้อเจอเช่นกัน โดยเริ่มจากคุณได้ยินเสียงเคาะประตู เมื่อคุณเปิดไปกลับไม่มีใครอยู่ หรือไม่ก็ผีผ่านหน้าต่างไปช้า ๆ ในห้องส่งกลิ่นเหม็น แน่นอนคุณต้องของเช็กเอาท์ทันที่หลังจากเกิดคืนแรก