โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
รวมเรื่องลึกลับ ตำนาน และความหลอน [เลิกอัพกระทู้นี้ถาวร]
Nebula Eva
#41
22-02-2012 - 17:40:29

#41 Nebula Eva  [ 22-02-2012 - 17:40:29 ]





10วิธีเห็นผีสุดสยอง



1. ไปกินข้าวตรงที่ที่มีคนพึ่งจะตายไปไม่เกิน 3 วัน อันนี้ต้องเป็นตอนกลางคืนแล้วนะ ลองเลย 50% มีคนเคยเห็น

2. ขโมยของ รึเอาของคนที่ตายแล้วมาใช้ เน้น ต้องเป็นของใช้ที่ผู้ตายรัก และห่วงมากที่สุด 80% มีคนเคยเห็น ( แล้วต้องเอาของไปคืนเขาด้วย )

3. จับแมวดำโยนข้ามศพคนตาย 30% คนเคยเห็น

4. นอนในโลงศพ แบบเดียวกับศพ โดยมัดตราสังด้วย แต่ห้ามทำพิธี นอนสักพักนึงค่อยลุกออกมาจากโลงศพแล้วคุณจะพบกับสิ่ง ที่คุณต้องการ 80% มีคนเคยเห็น ( วิธีนี้ถ้าลองแล้วเจอ วิธีการคือการให้พระทำพิธีบังสกุลให้เรา ถ้าเป็นพระที่ปฏิบัติธรรมมาดีจะสับสนว่าเราเป็น คนรึผี แต่เราก็ต้องขอร้องให้ท่านทำให้ ยิ่งเป็นพวกจิตอ่อนยิ่งหลอน )

5. เล่นซ่อนหาในป่าช้า ตอนกลางคืน 20% มีคนเคยเห็น

6. ไปลองของตามสถานที่ต่างๆ ที่มีประวัติน่ากลัวๆ 20% มีคนเคยเห็น

7. นอนขวางประตู รึ นอนตรงกับคานบ้าน(บ้านไม้แบบที่มีคาน) 50% มีคนเคยเห็น

8. ตอนที่กำลังเผาศพ เอาไม้กวาดพื้นกวาดรอบเมรุ 3 รอบ แล้วหักเศษไม้กวาดมา1ก้านเอามาเหน็บไว้ที่หูข้างซ้าย เอาน้ำมะพร้าวที่ล้างหน้าศพ มาป้ายตาทั้ง 2 ข้าง ก้มลงมองลอกหว่างขาในเงาของเมรุ ( กรณีที่เห็นท่านยมฯ ให้รีบวิ่งไปหลบใต้เงาโบรถ์ ถ้าไม่ทัน รึ รู้สึกว่าท่านยมฯ ตามอยู่ตลอดเวลา รึเห็นท่านยมฯ บ่อยเกิน ให้พระทำพิธีบังสกุลให้ *ท่านอาจจะรอดนะ ) จากนั้นก็จะเห็นวิญญาณของคนที่ตายไป รวมทั้งของคนอื่นด้วย % มีคนเคยเห็น (เพราะไม่มีคนกล้าลอง)

9. ฉี่ใส่ ถ่มน้ำลายใส่ ทำลาย เผาไฟ ศาลเจ้าที่ ทั้งที่ร้างแล้ว รึ ยังไม่ร้างก็ได้ 80 % มีคนเคยเห็น

10. นำเศษบาตรพระที่แตกมารวมกับ ตะปูที่ตอกฝาโล่งศพ ฟันของศพที่ถูกเผาแล้ว มาห่อไว้ในผ้าสีดำ ว่างไว้ตรงกลางสำหรับข้าว รึโตะกินข้าว จุดธูป 1 ดอก แล้วจะเจอผีมากินข้าว ( กรณีผีที่บ้านเราน้อยไป แนะนำไปทำที่ไหนก็ได้ที่คิดว่ามีผีเยอะๆ ) 98 % มีคนเคยเห็น

ปล. % ได้จากการที่ได้ทดสอบมาจากเพื่อนๆ ที่ใจกล้า 10-20 คนในแต่ล่ะการทดสอบ ข้อที่แนะนำให้ลอง 2,4,9,10 โดยเฉพาะข้อที่ 10อ่ะ มีโอกาสนะ ลองเลย ส่วนข้อที่ 4 ถ้ากล้าพอก็ลองนะ ขนาดพระยังสับสนเลยอ่ะว่าคนรึผี ไปถึงวัดเข้าไปหาหลวงตาอ่ะ หลวงตาบอกว่า เป็นผีเค้าไม่ไหว้พระกันหรอกนะ - -* ส่วนข้อที่ 8 ใครลองทำแล้ว บอกที่เน้อว่าเป็นไง

เครดิต : http://bbs.asiasoft.co.th/showthread.php?t=48938

quote :
ปล. จขกท.ลองทำข้อที่ 7 แล้วนะ ตอนไปเข้าค่ายลูกเสือแล้วได้บ้านพักที่เป็นคานไม้น่ะ พอดีว่าที่นอนตรงที่อื่นโดนเพื่อนยึดพื้นที่ไปนอนแล้ว จขกท.เลยได้นอนจ้องคานไม้แทน ตอนแรกก็กลัวนะ แต่ด้วยเราเป็นพวกจิตแข็งหรือบุญไม่ถึงนี่แหละเลยไม่เจอ แต่คนที่นอนข้างๆเราเลยเจอแทน ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี เพราะคนที่เจอแทนเราถึงกับสติแตกเลย ครูฝึกเลยต้องพามันไปรบกวนพระที่วัดเดี๋ยวนั้นเลย(คือว่าตอนนั้นมันดึกแล้วประมาณเที่ยงคืนเกือบๆตีหนึ่งน่ะ)



แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-01 21:36:05


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
alicza
#42
22-02-2012 - 17:48:02

#42 alicza  [ 22-02-2012 - 17:48:02 ]






ใครจะไปกล้า เราคนหนึ่งไม่กล้า

อยากได้แบบน่ากลัวกว่านี้ได้ไหม


Nebula Eva
#43
22-02-2012 - 18:00:21

#43 Nebula Eva  [ 22-02-2012 - 18:00:21 ]





quote : alicza


ใครจะไปกล้า เราคนหนึ่งไม่กล้า

อยากได้แบบน่ากลัวกว่านี้ได้ไหม


จัดไปค่ะ



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#44
22-02-2012 - 18:21:52

#44 Nebula Eva  [ 22-02-2012 - 18:21:52 ]





quote :
เรื่องต่อไปนี้อาจจะไม่ลึกลับ น่ากลัว หรือสยดสยอง แต่รับรองว่าบางคนอ่านจะรู้สึกขยะแขยงแน่นอน


เดอเมสธิด แมลงผีดิบ กินซากศพ !!!!


เริ่มด้วยที่หน่าตาอันน่าขนลุกของแมลงตัวนี้ก่อนเลยคะ




      "เดอเมสธิด" คือชื่อแมลงที่อันตรายที่สุดในโลกในขณะนี้ เพราะมันคือแมลงร้ายที่สามารถฉีกกินเนื้อหนังของสัตว์ต่าง ๆ จนถึงกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

       ซากศพที่ถูกมันรุมทึ้งกินเนื้อหนัง และเลือดสด ๆ นั้นจะกลายสภาพเป็นโครงกระดูกสีขาวเนียนชวนสยอง ยิ่งกว่าการแล่เนื้อเถือหนังของยอดฝีมือถลกหนังรายใด ๆ ในโลกนี้ และ ตอนนี้พวกมันกำลังถูกนำตัวมาใช้ในงายวิจัยของพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง ของสหรัฐอเมริกาอยู่โดยที่งานหลักๆ ของมันก็คือทำหน้าที่กัดกินซากสัตว์หลายชนิดจนเหลือแต่โครงกระดูกที่สมบูรณ์ ที่สุดเพื่อที่จะได้ทำงานวิจัยอย่างสบายมือ และเมื่อทำงานเสร็จแต่ละชิ้นงานนั้นพวกมันก็จะถูก "ทำลาย" ด้วยสารเคมีรุนแรงเพื่อให้แน่ใจว่า พวกมันจะไม่กระจัดกระจายออกไปก่อกรรมทำเข็ญกับสิ่งมีชีวิตนอกพิพิธภัณฑ์นั่นเอง


      แมลงที่มีชื่อว่า เดอเมสธิด นี้เรื่มเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักวิจัยของพิพิธภัณฑ์ The American Museum of Natural History (พิพิธภัณฑ์อเมริกันเพื่อประวัติศาสตร์ธรรมชาติ) ในช่วงทศวรรษที่ 1930 (ราว 70 ปีก่อน) โดยที่ช่วงเวลานั้นทางพิพิธภัณฑ์กำลังรอรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิดที่ถูกส่งตัวมาจากทวีปแอฟริกาอย่างใจจดใจจ่อ

       หาก แต่การส่งสัตว์ที่ต้องการมาทางเรือนั้นใช้เวลาในการเดินทางนานพอใช้ และเมื่อเรือมาถึงอเมริกาก็ปรากฏว่าสัตว์ที่ถูกส่งมาทางเรือนั้นกลายสภาพ เป็นกองกระดูกขาวโพลนไปหมดเรียกว่าตอนออร์เดอร์กันได้ออร์เดอร์สัตว์เป็น ๆ แต่พอมาถึงจุดหมายปลายทาง ก็กลายเป็นกองกระดูกขาวโพลนแหงแก๋เสียนี่



      ที่น่าตกใจก็คือนักวิจัย(ในสมัยนั้น)ได้พบกับแมลงกินเนื้อหนังสุดโหดที่ชื่อ "เดอเมสธิด"
       จากการทดลอง และวิจัยเกี่ยวกับแมลงนี้อย่างเนิ่นนาน ทำให้ได้ข้อสรุปหลายประการจาก แมลงที่มีความยาวราว 5-7 มม.เหล่านี้ว่าพวกมันมีประโยชน์ต่อพิพิธภัณฑ์ด้วยช่นกัน ไม่ใช่ว่าจะมีแต่อันตรายอย่างเดียว

       นั่นก็คือทางส่วนงานที่เรียกว่า กองพิพิธภัณฑ์ปลา ภายในพิพิภัณฑ์ The Museum of Natural History แห่ง นี้จำเป็นจะต้องใช้แมลงกินเนื้อเหล่านี้ในการกำจัดซากปลาหายากบางพันธุ์ ที่ต้องการเก็บเฉพาะแต่โครงกระดูกเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมมาก นั่นคือเมื่อปล่อยพวกมันลงไปกินเนื้อปลากันอย่างตะกละตะกรามกันแล้ว พวกมันจะแทะเนื้อเถือหนังปลานั้นอย่างรวดเร็วและเรียบร้อยเป็นที่สุด และสุดท้ายซากปลานั้นก็จะกลายเป็นกระดูกที่สวยงามพอที่จะดำเนินการขั้นต่อไป ได้ทันที

       แต่ ถ้าไม่มีแมลงพวกนี้มาช่วยงาน เหล่าเจ้าหน้าที่ของกองฯนี้จะต้องลำบากในการนำปลาไปต้ม เคี่ยวจนกระทั่งเนื้อหนังหลุดร่อนออกไปและยังต้องมาวุ่นวายกับการต่อกระดูก ปลารวมกัน เป็นตัวปลาอย่างลำบากลำบนคล้ายการต่อจิ๊กซอว์อีกด้วย



      ไม่ มีใครรู่ว่าถ้ามันกลุ้มรุมกัดกินสัตว์เป็น ๆ แล้วจะเป็นอย่างไร แต่กับซากสัตว์ที่ตายแล้วจำเป็นจะต้องนำซากสัตว์(โดยเฉพาะปลา)ไปผึ่งลมให้ ความชื้นระเหยไปเสียก่อน พวกแมลงเหล่านี้จึงจะกินซากสัตว์อย่างร่าเริง แต่ถ้านังมีความชื้นอยู่มาก มันก็จะละเลยเสีย

       แต่ถ้าเป็นกรณีสัตว์เป็น ๆ นั้นทางพิพิธภัณฑ์ยังอุบเงียบอยู่ เพียงแต่บอกว่า ถ้าปล่อยให้แมลงเหล่านี้เป็นอิสระหรือโบยบินสู่โลกภายนอกแล้วล่ะก็ มันคงสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงได้ไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้น จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้อง "สังหาร" พวกมันเสียทุกคราวที่นำแมลงเดอเมสธิดจำนวนหนึ่งนี้ออกมาใช้งาน โดยที่ยังเก็บส่วนที่เหลือไว้ในที่เก็บอย่างดี ในคลังเก็บของพิพิธภัณฑ์เพื่อเอาไว้กัดกินซากสัตว์ต่าง ๆ กันต่อไป

       ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องร้ายแรงแบบนี้จะถูก "ปิดเงียบ" มานานถึง 70 ปีมาแล้ว และเมื่อชาวโลกส่วนใหญ่ได้รับรู้เรื่องราวนี้เข้าไปแล้วจะมีความคิดเป็นเช่นไร ?

เครดิต : http://hogwartsthai.com/forum/index.php?showtopic=15583


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-02-22 18:34:59


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
alicza
#45
22-02-2012 - 18:23:10

#45 alicza  [ 22-02-2012 - 18:23:10 ]





แหวะ กินขนมอยู่จะอ้วก


Nebula Eva
#46
22-02-2012 - 18:26:27

#46 Nebula Eva  [ 22-02-2012 - 18:26:27 ]





quote : alicza

แหวะ กินขนมอยู่จะอ้วก


เตือนแล้วว่าอ่านแล้วอาจจะรู้สึกขยะแขยง



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
ponza1144
#47
22-02-2012 - 18:30:17

#47 ponza1144  [ 22-02-2012 - 18:30:17 ]





น่ารักแต่ไม่ถูกกับหนอนอะสยองๆๆ



นานๆครั้งเข้ามาเว็ปที ชอบกินเนื้อมากกว่าผักอะผิดเร...
เด็กซ่าบ้านแสบ
#48
เด็กซ่าบ้านแสบ
22-02-2012 - 18:48:52

#48 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 22-02-2012 - 18:48:52 ]






น่ากลัวอ่า


Nebula Eva
#49
22-02-2012 - 22:37:18

#49 Nebula Eva  [ 22-02-2012 - 22:37:18 ]





quote :
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราหลงใหลที่สุดเลยก็ว่าได้ เป็นเรื่องที่เราสอบถามจากตาบ้าง พ่อบ้างเอาน่ะ(พอดีพวกผู้ชายที่บ้านสนิทกับเรื่องพรรณนี้ เลยถามเอาจากที่ใกล้ๆตัวนี่ล่ะ)


ไสยศาสตร์


      ไสยศาสตร์ เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสก

       ไสยศาสตร์ หรือ ศาสตร์มืด คือการทำ "คุณไสย" ในพจนานุกรมไทยให้คำจำกัดความ คุณไสย ว่า "เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายอมิตร" เป็นศาสตร์ที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และมีคนเชื่อและผู้ปฏิบัติทั่วโลก(เชื่อดิคนส่วนใหญ์มักมองเรื่องที่พิสูทธ์ไม่ได้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ)

       ในแต่ละชุมชนจะมีรูปแบบของไสยศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป (รูปแบบแต่ละอย่างจะแตกต่างกันตามวิธีที่ผู้ใช้ไสยฯนั้นๆนำไปใช้ ซึ่งจะมีทั้งด้านดีและไม่ดี)

      แต่สรุปแล้วไสยศาสตร์ก็คือการทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โดยผิดแปลกจากกฏของธรรมชาติ เช่น ทำให้สามีภรรยาที่ดีกันทะเลาะและแยกทางกัน ทำให้สาวหลงรักหนุ่มที่เคยเกลียด ซึ่งปกติแล้วจะใช้ไสยศาสตร์มาใช้ในทางที่ชั่วร้าย โดยเฉพาะการทำ "คุณไสย" ที่เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายผู้ไม่เป็นมิตรด้วยการปลุกเสกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไปในตัว หรือฝังรูปฝังรอย หรือการทำเสน่ห์ยาแฝด ลงนะ จากผู้ที่อ้างตัวว่ามีอาคม ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ทำมาหากินด้วยการหลอกลวงผู้คน หรือที่เรียกว่า พวกสิบแปดมงกุฎ ถึงกระนั้นก็ตาม“คุณไสย” หรือ “มนต์ดำ” ยังมีผู้หลงงมงายมากมาย(ดังนั้นจะให้ใครทำคุณไสยให้ก็ดูดีๆละกัน เพราะส่วนมากมักเป็นพวกที่รู้เพียงผิวเผิน หากให้คนพวกนี้ทำให้เรียกว่าอันตรายเลยทีเดียว)

       ไสยศาสตร์ถือเป็นศาสตร์ที่ลี้ลับมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และมีทั่วโลกแม้กระทั่งในเวลาปัจจุบัน แม้รูปแบบจะแตกต่างกัน แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การทำอันตรายต่อผู้คนด้วยวิธีที่ลี้ลับ(พ่อบอกพวกเขมรสมัยก่อนทำกันบ่อย จะทำพิธีปล่อยผีใส่คนที่เกลียดในตอนกลางคืน ดังนั้นคนโบราณสมัยก่อนจะไม่ยอมประตูเปิดบ้านให้ใครเด็ดขาดเวลาที่ดึกๆดื่นๆ เพราะเสี่ยงต่อการโดนของเข้าตัว)

อันนี้หาจากกูเกิล รีบเกินเลยลืมก๊อปชื่อเว็ปมาใส่เครดิตให้
      ลัทธิไสยศาสตร์ คือการรวมอำนาจจิต รวมพลังงานทางจิตซึ่งได้ทำการอบรมจิตใจให้มีความยึดมั่น เชื่อถือ อย่างจริงจัง ดำเนินไปตามหลักทางไสยศาสตร์ ตามวิธีการนั้น ๆ ก็จะสามารถแสดงฤทธิ์ปาฎิหารย์ได้ด้วยกระแสคลื่นแห่งพลังอำนาจจิตอันแรงกล้า ของ มโนภาพ สมาธิ จิตตานุภาพ ทั้งสามประการนี้ จึงเป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นได้

ลัทธิไสยศาสตร์ ได้เกิดขึ้นมาก่อนพุทธกาล ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไตรเพท ในลัทธิของพราหมณ์ ได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ

ฤคเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์และสรรเสริญพระเจ้า
ยชุรเวทย์ เป็นคำร้อยแก้วให้สำหรับท่องบ่นเวลาบวงสรวงบูชาพระเจ้า
สามเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม
อาถรรพเวทย์ เป็นคัมภีร์ประกอบด้วยเวทยมนต์คาถาเรียกผีสาง เทวดาให้ช่วยป้องกันอันตรายให้ และให้มีการแก้อาถรรพ์ ทำพิธีสาปแช่งให้เป็นอันตรายได้ด้วย

อาถรรพ์ไสยเวทย์ แยกออกเป็น 2 นิกาย คือ
นิกายขาว (White System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางดี คือช่วยเหลือมนุษย์ให้มีสุขปลอดภัย
นิกายดำ (Black System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางชั่ว คือทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น]คัมภีร์แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ทางเวทมนตร์คาถา

มี 8 ประเภทคือ

พระเวทย์แก้โรคต่าง ๆ
พระเวทย์ประสาน
พระเวทย์สะเดาะ เช่น สะเดาะกุญแจและโซ่ตรวน
พระเวทย์ป้องกันตัว เช่น คาถาแคล้วคลาด
พระเวทย์แสดงปาฎิหาริย์
พระเวทย์ทำอันตรายผู้อื่น
พระเวทย์แก้ภูติผีปีศาจ เช่น คาถาสะกดวิญญาณ
พระเวทย์ทำเสน่ห์ เช่น มนตร์เทพรำจวญ

quote :
ปล.ไสยศาสตร์ไม่ใช่ว่าคนที่นึกจะเล่นก็เล่นได้ ของพรรรนี้มันมีกฎปฏิบัติที่ต้องถือไว้อย่างเคร่งครัดสำหรับคนที่จะเข้าสู่เส้นทางนี้เช่นกันถึงจะไม่เป็นอันตราย เพราะถ้าเลือกเส้นทางนี้แล้วจะไม่สามารถเลิก หรือละทิ้งมันได้จนกว่าจะตาย หากมีคนเล่นเพียงเพราะนึกสนุก หรือแค่ว่ายากลองเล่นๆ จุดจบคนๆนั้นมักจะไม่สวย ดังนั้นเราขออุบเรื่องกฎปฏิบัติเอาไว้ก็แล้วกัน เพราะเดี๋ยวรู้แล้วอาจมีคนอยากลอง(อันทีี่่่จริง พ่อกับตาไม่ยอมบอก เพราะกลัวเราจะแอบไปเล่นแผลงๆ)


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-02-22 23:15:26


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
nanaavril
#50
22-02-2012 - 23:00:38

#50 nanaavril  [ 22-02-2012 - 23:00:38 ]






เย้ย ยิ่งกลัวเรื่องผีๆหลอนๆอยู่อ่า

แต่ชอบ แจ็คเดอะรีปเปอร์ อ่านะ



O_o
Nebula Eva
#51
22-02-2012 - 23:21:03

#51 Nebula Eva  [ 22-02-2012 - 23:21:03 ]





เราก็ชอบนะ อย่างน้อยแจ๊คก็เลือกเหยื่อ ไม่ใช่พวกที่ฆ่าไม่เลือกหน้า


quote :
คนดู 500ครั้ง ตัดที่เจ้าของกระทู้แวบมาดู สักหนึ่งร้อยครั้ง เม้นที่เหลือนับกันจริงๆมีไม่ถึงสามสิบ ขอบคุณมากเลยค่ะ พอให้อ่านได้ตามสบายนี่ก็อ่านกันจริง เป็นปลื้ม คนไทยขยันอ่านแบบนี้ คงต้องภูมิใจกันบ้างแล้วค่ะ^^



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#52
23-02-2012 - 18:46:47

#52 Nebula Eva  [ 23-02-2012 - 18:46:47 ]





ตำนานผีญี่ปุ่นโบราณ


ในปี ค.ศ. 1780 นักปราชญ์และศิลปินนาม โทะริยะมะ เซคิเอ็น ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ ภูตผีปีศาจ ของญี่ปุ่น ทั้งที่สิงสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ ตลอดจนที่อยู่บนสวรรค์ และ ในนรก เขาพยายามแบ่งแยก ผี ออกเป็นชนิดต่างๆ ตามลักษณะที่มันปรากฏร่างให้เห็น ซึ่งนับเป็นเรื่องยุ่งยากเอาการทีเดียว เนื่องจากผี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอะบะเกะ สามารถปรากฏให้เห็นได้สารพัดรูปแบบ นอกจากโอะบะเกะแล้ว โทะริยะมะ ยังได้รวมเอาบรรดา ผี ปีศาจ ปอบ เปรต และ อสุรกาย มาไว้เป็นพวกเดียวกัน เรียกว่า โยวไค นอกจากนั้นแล้วก็เป็นผีประเภท วิญญาณของคนตาย ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ยูเร


(1) โอบะเกะ Obage [ お化け] = โอบะเกะนั้นแปลตรงๆ ตามความหมายของมันก็คือผี ปกติจะอยู่ในรูปของกลุ่มไอหมอกประหลาดสีดำที่ล่องลองไปตามท้องถนนยามค่ำคืน ซึ่งเมื่อโอบะเกะนั้นเข้าสิงสิ่งใดไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ สิ่งเหล่านั้นก็จะกลายร่างเป็นผีไปทันใด เช่น ถ้ามันเข้าสิงร่มเก่าๆ ที่มีอายุกว่า 100 ปีแล้ว ร่มนั้นก็จะถูกกลุ่มไอปิศาจอาบมันจนกลายเป็นดวงตาใหญ่โตแสยะยิ้ม หรือที่คนโบราณเรียกว่าผีร่ม ส่วนเวลาปรากฏตัวของโอบะเกะนั้นส่วนมากจะเป็นตอนกลางคืน มันจะล่องลอยไปในท้องถนนยามค่ำคืนและพยายามหาร่างสิงสู่ของมัน วันดีคืนดีชาวบ้านมักจะพบเกวียนเก่าที่ไม่มีคนขับวิ่งไปตามท้องถนนนั้นก็คือที่สิ่งสู่ของวิญญาณร้ายเหล่านี่...


(2) โยวไค youkai [ 妖怪 ] = โยวไค นี้เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกเหล่าบรรดาภูติ ผี ปิศาจ ปอบ เปรต และอสุรกายที่มีมาแต่ช้านาน ซึ่งแหล่งที่อยู่เดิมของเหล่าผีพวกนี้คือขุมนรกบ้าง สวรรค์บ้าง บนโลกมนุษย์บ้าง เวลาปรากฏตัวของเหล่าโยวไกนั้นจะเริ่มตั้งแต่ยามโพล้เพล้เป็นต้นไป เช่น ช่วงที่ใกล้ค่ำแล้วท้องฟ้าจะเป็นสีแดง ชาวบ้านมักจะพูดเสมอว่าเวลานี้เป็นเวลาผีออกหากิน และมีธรรมเนียมจะไม่เดินทางไกลในช่วงนี้ เหล่าโยวไคนี้มีมากมายหลายชนิด มีบันทึกเรื่องราวพิศดารนี้อยู่ตามบันทึกญี่ปุ่น เหล่าโยวไคนั้นมีมากหลาย มีทั้งแบบน่าตลกขบขันไปจนถึงน่ากลัวจนขนหัวลุก...


(3) ยูเร yurea [ 幽霊 ] = ยูเร นี้เป็นวิญญาณคนที่ตายไปโดยไม่ทันได้ดับจิต หรือที่เรียกกันว่า ผีตายโหง ด้วยจิตคิดพยาบาทดั่งไฟสุมของดวงวิญญาณเหล่านี้ ทำให้ไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ มีตำนานวิญญาณของหญิงสาวที่โผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำเก่าเล่าขานมากมาย สร้างความหวาดผวาไปทั่ว ยูเรนั้นมีอยู่ทั่วทุกแห่งไม่ว่าจะตามสนามรบเก่า ซึ่งยูเราเหล่านั้นจะเป็นชายชาตินักรบที่ตายอย่างสมศักดิ์ศรี วันดีคืนดีชาวบ้านที่เดินทางผ่านสนามรบเก่าก็จะพบเห็นเหล่ากองทัพผีซามูไรพุ่งรบกันอย่างไม่รู้แพ้รู้ชนะ ตามท้องถนนทั่วไปจะเป็น ยูเร ที่ตายในอุบัติเหตุทำนองเดียวกับผีตายโหง และเหล่าสัมภเวสีต่างที่ล่องลอยไปตามที่ต่างๆ รอวันผุดเกิด เวลาเหมาะสมที่ ยูเร จะปรากฏตัวนั้นคือหลังเที่ยงคืนแต่ ยูเร บางตนก็สามารถปรากฏตัวลางๆได้ในเวลากลางวัน และยูเรส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเพศหญิง เพราะผู้หญิงนั้นมีความอาฆาตพยาบาทที่น่ากลัวจริงๆ...


การาสุเทนกุ 天狗 • てんぐ มักจะลงโทษคนชั่ว และผู้นำทรราชย์ สามารถเรียกพายุได้ เป็นสมุนของไดเทนกุ
<b<color=00AADD>]การาสุเทนกุ หรือ นกสามขา (「天狗」, Tengu, 天狗) ความเชื่อเรื่องนกสามขาที่มีอยู่ทั้งในแถบญี่ปุ่นและเกาหลี โดยทางญี่ปุ่นเชื่อว่าการาสุเทนกุ มีภาพลักษณ์ของปีศาจร้าย และมักจะสร้างพายุเข้าโจมตีผู้คนเสมอๆ ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ ถูกพายุถล่มบ่อยครั้ง การาสุเทนกุเป็นข้ารับใช้ของไดเทนกุ ซึ่งมักปรากฎภาพของไดเทนกุ ที่ล้อมรอบไปด้วยการาสุเทนกุ บางความเชื่อนั้นเชื่อว่าการาสุเทนกุไม่ได้เป็นผีร้าย ทั้งยังเป็นปีศาจที่รักสงบและสุภาพ แต่การกระทำร้ายๆนั้น เป็นเพราะการาสุเทนกุต้องทำตามคำสั่ง ของไดเทนกุ
      ตามความเชื่อแล้ว การาสุเทนกุมีแต่เพศผู้ จะอาศัยอยู่ในป่าลึก เป็นผีที่คาดเดาไม่ได้ ตามเรื่องเล่ามักจะพฤติกรรมที่คาดเดาได้ยาก บางครั้งมันจะลักพาตัวเด็กๆ ไปทิ้งไว้ในป่า แล้วเฝ้ามองเด็กที่หลงทางอยู่ในป่า แต่บางเรื่องเล่าผู้คนก็บอกว่าเมื่อใดที่หลงป่า ให้ขอร้องให้การาสุเทนกุช่วยแล้วมันจะนำทางออกจากป่าให้ได้ การาสุเทนกุยังชอบปล่อยข่าวลือ สร้างความวุ่นวายให้มนุษย์ แต่บางคนกลับเชื่อว่าการาสุเทนกุชอบสงคราม อีกทั้งมันยังเชื่อว่ามนุษย์ไม่ควรมีอำนาจมากเกินไป เหตุการณ์การประท้วงหรือสงครามในสมัยก่อน จึงมักโทษว่าเป็นฝีมือของการาสุเทนกุที่ปล่อยข่าวลือ
      การาสุเทนกุสามารถเรียกพายุได้ เชี่ยวชาญมนต์มายา และวิชาแปลงกาย มีพละกำลังมากทั้งยังเจนจัดการรบ เป็นสมุนที่พึ่งพาได้ของไดเทนกุ ซึ่งเป็นเทนกุที่มีลำดับชั้นสูงกว่า ลักษณะของการาสุเทนกุคล้ายกับมนุษย์นก ซึ่งมักไปไหนมาไหนด้วยการบิน แต่ว่าไดเทนกุจะใช้วิธีเคลื่อนย้ายในพริบตา มากกว่าการบินถ้าเป็นระยะทางสั้นๆ
      การาสุเทนกุชื่นชมผู้กล้าที่กล้าต่อกรกับผู้นำทรราชย์ การาสุเทนกุจะช่วยเหลือเหล่าผู้กล้า ให้สามารถสู้เพื่อความยุติธรรมได้ จึงมีคนเชื่อว่าการที่ชื่อเสียงของการาสุเทนกุเสียหาย เป็นเพราะเหล่าผู้นำทรราชย์ที่สูญเสียอำนาจใส่ความการาสุเทนกุ ดังนั้นแม้ว่าในยุคปัจจุบันมนุษย์จึงมีความยำเกรงการาสุเทนกุ บางครั้งถึงกับเรียกว่าเป็น เทพพยาบาท เมื่อใดที่มนุษย์ล่มหลงในอำนาจ หรือผิดคำสาบาน การาสุเทนกุจะออกมาจากเขาแล้วทำลายผู้นั้นให้สิ้น
      มีเรื่องเล่าหนึ่งเล่าว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งที่สายตาย่ำแย่มาก เล็งอะไรไม่เคยแม่นยำเลย แต่ถูกการาสุเทนกุเข้าสิง และในฝันการาสุเทนกุได้สอนวิชาดาบให้กับเด็กผู้หญิงคนนั้น จนเธอกลายเป็นนักดาบที่ร้ายกาจและมีชื่อเสียง บางข่าวลือก็เล่าว่า เหล่าชิโนบิหรือนินจา คือเหล่าผู้ที่ได้รับการฝึกฝนวิชาจากการาสุเทนกุ
      เรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการาสุเทนกุ คือ เรื่องราวของ มินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ (Minamoto no Yoshitsune) ซึ่งเดิมชื่อว่าอุชิวากะมารุ เป็นลูกชายของ โยริโทโมะซึ่งเป็นเจ้าเมืองที่ถูกลอบสังหาร แต่อุชิวากะมารุได้รับการไว้ชีวิต อุชิวากะมารุจึงออกบวช และเร้นกายอยู่ในวัดแถบหุบเขาคุรามะ มีอยู่วันหนึ่ง อุชิวากะมารุได้ไปพบกับการาสุเทนกุเข้า การาสุเทนกุรู้สึกถูกชะตากับอุชิวากะมารุ จึงสอนเพลงดาบให้ จนอุชิวากะมารุเป็นนักดาบที่เก่งกาจ และสามารถรวบรวมกองกำลัง ชิงอำนาจกลับคืนมาได้เป็นผลสำเร็จ และได้เป็น มินาโมโตะ โน โยชิซึเนะ
      ในภาพยนต์เรื่อง จูมง นกสามขาเป็นสัญลักษณ์ของจูมง และเนื่องจากว่านกสามขากับการาสุเทนกุมีลักษณะที่คล้ายกัน ซึ่งภาพลักษณ์ของการาสุเทนกุไม่ค่อยดีนัก ทำให้ธิดาเทพยองมีอึนที่มองเห็นการมาของนกสามขาทำนายผิดพลาดไป คิดว่าจูมงจะเป็นกาลกีณีกับแคว้นพูยอ ต้องหาทางกำจัดเสีย ซึ่งธิดาเทพลืมไปว่าการาสุเทนกุยังมีนิสัยชอบช่วยเหลือผู้กล้า ที่ลุกขึ้นต่อสู้กับผู้นำทรราชย์ ภายหลังธิดาเทพยองมีอึน จึงนับถือการาสุเทนกุเป็นเทพคุ้มครอง นกสามขาที่มีลักษณะคล้ายกับการาสุเทนกุก็คืออีกาสามขา ยาตะการาสุ (八咫烏) ซึ่งเป็นนกประจำตัวของเทพีสุริยาอามาเทระสุและเป็นสัญลักษณ์ของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นในปัจจุบัน


กัปปะ 河童 • かっぱ มักจะแกล้งคนเป็นประจำ ชอบแข่งซูโม่ และชอบแตงกวามาก
กัปปะ (「河童」, Kappa, 河童) ผีญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง เป็นผีจำพวกพรายน้ำ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกบ ตัวสีเขียว แต่มีกระดองเต่าอยู่ข้างหลัง เท้ามีพังผืดทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง จมูกแหลม มีลักษณะศีรษะที่แบนและกลางกระหม่อมไม่มีผม เป็นปีศาจที่อาศัยอยู่ตามหนองน้ำหรือแหล่งน้ำต่าง ๆ เชื่อว่า อาหารที่กัปปะชอบคือ แตงกวา ชอบเล่นซูโม่เพราะมีพละกำลังเยอะ ลักษณะพิเศษคือ มีจานอยู่บนหัวไว้เก็บน้ำ ซึ่งน้ำจะทำให้กัปปะมีพลังพิเศษ และมีพละกำลังมากขึ้น ในทางกลับกันถ้าสูญเสียน้ำไป กัปปะจะอ่อนแรงลงอย่างมาก ถึงขนาดที่ไม่สามารถขยับตัวได้ ถึงแม้ว่ากัปปะจะมีรูปร่างพอๆกับเด็ก แต่ก็เป็นผีที่เอาชนะได้ยาก มันมีปากแหลมเหมือนนก ผิวเป็นเมือกลื่น อาจมีสีเขียว น้ำเงิน หรือแดง มือเป็นผังผืด ที่หลังจะมีกระดองเต่า มีขนดกทั่วตัว แขนขาของกัปปะยาว และยืดหยุ่นได้ เมื่อกัปปะขึ้นจากน้ำจะหมดฤทธิ์ จึงใส่น้ำไว้บนศีรษะที่แบนราบของตัวเอง ดังนั้นเมื่อพบเจอกับกัปปะให้ก้มคาราวะ เมื่อกัปปะคาราวะตอบ น้ำบนศีรษะจะหก ทำให้หมดฤทธิ์ และ อีกวิธี ก็คือ ให้เขียนชื่อตัวเอง ลงไปในแตงกวา แล้วขว้างลงไปในแม่น้ำ เมื่อ กัปปะ มาเจอแตงกวานี้เข้าก็จะกินอย่างเอร็ดอร่อย และ ก็จดจำชื่อ ที่อยู่บนแตงกวาด้วย คราวหน้าบังเอิญต้องเจอะเจอเจ้าของชื่อ กัปปะ ก็จะไม่ทำอันตรายอะไร ปัจจุบันมีซูชิชนิดหนึ่ง ไส้แตงกวา เรียกว่า "กัปปะ มากิ" กัปปะมีความมั่นใจในพละกำลังตัวเองมาก มักจะท้ามนุษย์ในการแข่งซูโม่ จึงมีเรื่องเล่าว่า คนที่ฉลาดจะทำความเคารพกัปปะก่อนเริ่มการประลอง ด้วยการก้มศรีษะ แล้วกัปปะจะก้มตาม ทำให้น้ำกระฉอกออกจากจาน กัปปะจะอ่อนแรงลง และพ่ายแพ้ในที่สุด ซึ่งจะทำให้กัปปะเสียใจอย่างมาก นิสัยของกัปปะ คือ ชอบกินแตงกวา ในฤดูเก็บเกี่ยวแตงกวาของเกษตรกร ที่ญี่ปุ่นจึงมีธรรมเนียมการลอยแตงกวาลงแม่น้ำ เพื่อเซ่นวารีเทพ และทำทานให้ผีอดโซ เป็นที่มาของเรื่องเล่าที่ว่า หากชายใดแก้ผ้าลงเล่นน้ำในแม่น้ำ อาจถูกกัปปะดึงของลับ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแตงกวาที่เอามาเซ่น กัปปะมีนิสัยที่ขี้เล่นและอยากรู้อยากเห็น ซึ่งบางครั้งก็เป็นอันตรายกับมนุษย์ กัปปะมีความอันตรายเช่นเดียวกับผีร้ายอื่นๆ มีเรื่องเล่าอยู่เสมอๆ ว่ากัปปะเคยหลอกล่อให้คนลงไปในน้ำ มักจะลากม้า หรือเด็กๆลงแม่น้ำจนจมน้ำตาย หากถูกชาวประมงจับได้ มันจะปล่อยตดออกมาป้องกันตัว ซึ่งเหม็นบรรลัย ทั้งยังมีเรื่องเล่าที่ว่า กัปปะจะคอยแอบอยู่แถวๆ ส้วม เมื่อคนเผลอมันจะแกล้งโดยใช้นิ้วสวนทวาร ซึ่งพฤติกรรมพิเรนนี้ อาจทำให้มันถูกคนจับตัวได้ แต่กัปปะมีความสุภาพอ่อนน้อมและมีสัมมาคาราวะมาก กัปปะเป็นพรายที่มีความคิดความรู้สึกผิด มันจะขอโทษโดยการจับปลามาให้ที่หน้าประตูบ้านทุกวัน หรือไม่ก็มอบยาสมุนไพรชั้นเลิศที่มันปรุงขึ้นมาให้ ซึ่งกัปปะมีความเชี่ยวชาญด้านการปรุงยาลี้ลับอย่างมาก ความเชื่อเรื่อง กัปปะ มีกระจายไปทั่วประเทศญี่ปุ่น มีตำนานเล่าว่ามีช่างไม้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ชื่อ ฮิดาริจินโกโร่ อ้างว่าตุ๊กตาไม้ที่เขาทำโยนลงน้ำ กลายเป็นกัปปะไป อีกตำนานก็เล่าว่า เดิมกัปปะเป็นเทพที่ดูแลแม่น้ำลำคลอง แต่เมื่อมนุษย์เลิกนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กัปปะเลยตกชั้นเป็นเพียงภูติผีธรรมดา อาจเป็นไปได้ว่า สิ่งที่มีบุคคลเห็นปีศาจชนิดนี้ คือ สัตว์บางประเภทเช่น นาก หรือ ลิง มาก้มดื่มน้ำในเวลากลางคืนก็ได้ ปัจจุบัน เรื่องราวของกัปปะถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือการ์ตูนต่าง ๆ มากมาย เช่น ตัวละคร ซูเนโอะ ในเรื่องโดราเอมอน ก็นำมาจากกัปปะนั่นเอง โดยมากแล้ว กัปปะ ที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ นั้น มักจะไม่มีภาพของความน่ากลัวหรือเป็นอันตราย ซึ่งต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิม


ซาชิกิวาราชิ 座敷童子 • ざしきわらし เทพอารักษ์ที่เป็นเด็ก ส่วนมากเป็นผู้หญิง ถ้าอยู่บ้านใครจะนำความมั่งคั่งมหาศาลมาให้ แต่ถ้าจากไปความมั่งคั่งที่นำมาจะมลายหายไปจนสิ้น
ซาซิกิวาราชิ (「座敷童子」, Zashiki-warashi, 座敷童子) ตามความเชื่อส่วนมากมักจะอยู่ในรูปเป็นเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยๆ ราวๆ 5-14 ปี อาศัยอยู่ตามห้องของบ้านที่เก่าๆ และตามอาคารต่างๆ บางครั้งจะวิ่งเล่นจนผู้อาศัยได้ยินเสียง บางครั้งจะออกมาเล่นกับเด็กๆ ซึ่งผู้ใหญ่จะมองไม่เห็น ซาชิกิวาราชิยังช่วยปกป้องเจ้าของบ้านจากภยันตรายต่างๆ รวมไปถึงสิ่งอัปมงคลที่จะมาย่างกรายเข้ามา ภายในบ้านที่ซาชิกิวาราชิอาศัยอยู่ เนื่องจากซาชิกิวาราชิจัดว่าเป็นผีประเภทหนึ่ง และมีพลังที่น่ากลัวของเทพอารักษ์ซึ่งมีทั้งคุณและโทษ มีเรื่องเล่าว่า หากซาชิกิวาราชิไปอาศัยอยู่ที่บ้านของใคร จะนำโชคลาภมหาศาล และความมั่งคั่งมาสู่บ้านหลังนั้น แต่เมื่อใดซาชิกิวาราชิจากบ้านนั้นไป ทรัพย์สมบัติและความเจริญรุ่งเรืองที่ซาชิกิวาราชินำมา จะมลายหายไปจนสิ้น และความพินาศจะมาเยือน การที่ซาชิกิวาราชิจะเลือกอาศัยบ้านหลังไหนนั้น ไม่ทราบแน่ชัด แต่จะชอบเลือกบ้านที่ค่อนข้างเก่ามากกว่า สำหรับบ้านสมัยใหม่ซาชิกิวาราชิอาจจะเลือกเข้าอยู่บ้าง แต่ต้องไม่มีสำนักงานในตัวบ้าน เพราะซาชิกิวาราชิไม่ชอบกิจวัตรประจำวันที่อึกทึก ผู้คนพยายามที่จะสร้างห้องไว้ให้สำหรับซาชิกิวาราชิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามโรงแรมและสำนักงาน โดยจะเป็นห้องที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาและของเล่น แต่ความพยายามดังกล่าวมักสูญเปล่า การจะให้ซาชิกิวาราชิอยู่กับบ้านใดบ้านหนึ่งนานๆ ต้องการการดูแลที่เหมาะสม ซาชิกิวาราชิไม่ชอบการเอาใจที่มากเกินไป เพราะว่าซาชิกิวาราชิมีนิสัยเหมือนเด็ก บางครั้งก็สร้างปัญหาให้ได้เหมือนกัน การพูดคุยอย่างสุภาพเป็นวิธีที่ดีกว่าการแสดงอารมณ์โกรธ เพราะความโกรธจะขับไล่ซาชิกิวาราชิไปเหมือนกัน


ทานูกิ 狸 • たぬき มันมักจะเสกใบไม้ให้กลายเป็นเงิน เพื่อหลอกตาคนเสมอๆ เนื่องจากว่าของที่ทานูกิโปรดปรานก็คือ เหล้าสาเก ทั้งยังชอบเรื่องตลกขำขัน และธรรมชาติที่สงบ ทานูกิเชี่ยวชาญการแปลงกายเป็นสิ่งของมาก แต่กลับอ่อนเชิงเมื่อมันพยายามแปลงกายเป็นมนุษย์ เพราะจะเหลือหลักฐานมากมายให้จับได้ ทานูกิ เป็นสัตว์ที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า เป็นปีศาจที่สามารถแปลงร่างได้ โดยใช้ใบไม้แปะไว้ที่หน้าผาก โดยความเชื่อนี้ปรากฏให้เห็นบ่อย ๆ ตามสื่อต่าง ๆ เช่น การ์ตูน เป็นต้น โดยเชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ชอบดื่มเหล้าสาเก แต่จะไม่ซื้อเหล้าสาเกให้เปลืองเงินแต่จะใช้วิธีการแปลงร่างหลอกเอาเหล้ามาดื่ม รักสนุก และจะชอบหลอกมนุษย์ด้วยการแปลงลูกอัณฑะให้มีขนาดใหญ่ด้วย


นุราริเฮียวน์ ぬらりひょん นุราริเฮียวน์ หรือเทพอาคันตุกะ ไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ มักปรากฏตัวในรูปชายชราหัวโตๆ หน้าตาอิ่มเอิบ มีพลังในการสะกดจิตผู้คน ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่าเป็นเจ้าของบ้าน หรือเจ้านายใหญ่ โดยมีเรื่องเล่าว่าเทพอาคันตุกะมักจะเข้าบ้านคนอื่น โดยไม่เกรงใจ และดื่มกินตามที่ตัวเองต้องการ บางครั้งผู้คนก็เข้าใจว่าเป็นปีศาจนักต้มตุ๋น ทว่าตามบ้านเก่าๆ มักมีศาลเจ้าที่เตรียมเครื่องเซ่นไว้ ซึ่งเป็นการจัดเตรียมไว้เพื่อต้อนรับเทพอาคันตุกะ ที่อาจจะมาแวะเยี่ยมเยียนตามบ้าน


เนโกะมาตะ 猫又 •猫叉 • 猫股 • ねこまた เป็นแมวที่มีหางแยกตั้งแต่ 2 หางขึ้นไป สามารถควบคุมคนตายได้
เนโกะมาตะ (「猫又」, Nekomata, 猫又) หรือ แมวผี มีเรื่องเล่ามาว่า เมื่อแมวบางตัวมัอายุมากจะมีตะบะสูงขึ้น แล้วกลายเป็นแมวผี ที่เรียกว่าบากะเนโกะ ซึ่งมีหลายวิธีที่มันจะสามารถกลายเป็นบากะเนโกะได้ และเมื่อหางมันแยกออกเป็น 2 หาง มันถึงจะพัฒนากลายเป็นเนโกะมาตะ ซึ่งเนโกะมาตะสามารถขยายตัวได้ถึง 1 เมตร และส่วนมากจะเดินด้วยขาหลัง 2 ขา และมันเป็นผีที่ไม่ยอมให้ใครมาดูถูก ถ้าใครปฏิบัติกับมันไม่ดี มันจะจดจำอย่างฝังใจ เชื่อกันว่าการเต้นรำของเนโกะมาตะสามาถควบคุมคนตายได้ และยังเชื่ออีกว่าเนโกะมาตะเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ที่ผิดปกติ จึงมีความเชื่อบางอย่างที่จะตัดหางแมวออกซะ เพื่อป้องกันไม่ให้มันกลายเป็นเนโกะมาตะ เรื่องเล่าของเนโกะมาตะ แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ บ้างก็เชื่อว่าเนโกะมาตะจะกิน แม้กระทั่งเจ้านายของตัวเอง และการที่ทิ้งแมวไว้กับศพเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก เพราะมันอาจจะปลุกศพให้คืนชีพ และควบคุมศพได้ ในขณะที่บางตำนานกล่าวว่าเนโกะมาตะจะแปลงร่างเป็นสาวงามในยามค่ำคืนเพื่อปรนนิบัติเจ้านาย


ปีศาจจิ้งจอก 狐 • きつね มักแปลงกายเป็นมนุษย์ และแฝงกายอยู่กับคนทั่วไป โดยไม่ทราบจุดประสงค์ที่แน่ชัด
ปีศาจจิ้งจอก หรือ คิตสึเนะ (「狐」, Kitsune, 狐) สามารถพบได้ตามแถบตะวันออกของเอเชีย ตามความเชื่อแล้วปีศาจจิ้งจอก เป็นจิ้งจอกที่มีพลังเวทย์ มีทั้งพวกที่จัดว่าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นข้ารับใช้ของเทพอินาริ ซึ่งเป็นเทพแห่งการเพาะปลูก และพวกที่จัดว่าเป็นผีร้าย ปีศาจจิ้งจอกมีความเชี่ยวชาญในมนต์มายา และวิชาแปลงกาย ซึ่งบ่อยครั้งที่มักจะแปลงกายเป็นมนุษย์ เชื่อกันว่าสุนัขจิ้งจอกที่อายุยืน และมีตบะแก่กล้ามากพอ จะสามารถกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกได้ เมื่อปีศาจจิ้งจอกอยู่จนครบ 100 ปี จะมีหางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหาง และมีพลังแข็งแกร่งขึ้น และหากมีหางครบเก้าหางเมื่อไหร่ จะมีพลังมหาศาลและชาญฉลาดอย่างยิ่ง ปีศาจจิ้งจอกมีสังคมคล้ายคลึงกับมนุษย์ ทั้งยังสวมใส่เสื้อผ้าและยืนสองขา บางครั้งก็เข้ามาปะปนอยู่กับ มนุษย์ธรรมดา ปีศาจจิ้งจอกสามารถแปลงกายได้แนบเนียน จนมนุษย์ธรรมดาจับไม่ได้ ปีศาจจิ้งจอกตนใดถูกมนุษย์จับได้ จะถูกลงโทษอย่างหนักจากสังคมปีศาจจิ้งจอก การที่ปีศาจจิ้งจอกจะสำเร็จ วิชาแปลงกาย สามารทำได้หลายวิธี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การใช้กะโหลกมนุษย์ช่วยใน การแปลงกาย แต่ปีศาจจิ้งจอกที่ไม่ระมัดระวังอาจจะเหลือหลักฐานบางอย่าง อย่างเช่น ลืมแปลงกายอวัยวะบางส่วนที่อยู่ใต้เสื้อผ้า เมื่อปีศาจจิ้งจอกแปลงร่างเป็นมนุษย์ มันก็มีความรู้สึกหรือความต้องการคล้ายมนุษย์เช่นกัน ปีศาจจิ้งจอกชอบกินของอร่อยๆ โปรดปรานเต้าหู้ทอด ชอบการได้สัมผัสกาย รวมไปถึงเรื่องเซ็กส์ เป็นหนึ่งในปีศาจที่มีเรื่องเล่าถึง สายสัมพันธุ์ที่ลึกซึ้งกับมนุษย์ การที่ปีศาจจิ้งจอกต้องแปลงกายมาปะปนกับมนุษย์ ไม่มีเหตุผลที่แน่นอน บางครั้งเชื่อว่า มันมาเพื่อค้นหาความรัก มีเรื่องเล่าว่า มีปีศาจจิ้งจอกที่แปลงกายเป็นสตรีที่งดงาม และแต่งงานอยู่กินกับมนุษย์ ทั้งยังสามารถสืบทายาทได้ด้วย ทายาทปีศาจจิ้งจอกจะมีความแข็งแกร่งผิดมนุษย์ รวมไปถึงมีพลังเวทย์ติดตัว และมีเสน่ห์ที่ประหลาด จนมีคำเล่าลือว่า องเมียวที่มีชื่อเสียงที่ชื่อ อาเบะโนเซย์เมย์ (Abe no Seimei) เป็นทายาทของปีศาจจิ้งจอก มนต์มายาของปีศาจจิ้งจอกลึกล้ำมาก ถึงแม้ว่ามนุษย์จะรู้ว่าต้องมนต์ของปีศาจจิ้งจอก แต่สัมผัสของมนต์มายาก็เหมือนจริง จนแทบแยกความจริงกับภาพมายาไม่ออก ปีศาจจิ้งจอกที่มีตบะมากจะรู้จิตใจของมนุษย์ ทำให้สามารถสร้างภาพมายาที่มนุษย์คนนั้นต้องการเห็นได้ ทำให้แม้มนุษย์อยากปฎิเสธ ก็ยากที่จะทำได้


ยูกิอนนะ 雪女 • ゆきおんな มักจะเล่นงานนักเดินทางโชคร้าย ที่ติดพายุหิมะ
สตรีหิมะ หรือ ยูกิอนนะ (「雪女」, yuki onna, – นางหิมะ) ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เป็นชื่อที่ใช้เรียกภูตหิมะที่มีรูปร่างเป็นสตรีที่งดงาม ว่ากันว่าเป็นจิตวิญญาณแห่งฤดูหนาว ซึ่งยูกิอนนะนี้ จะมีลักษณะเป็นผู้หญิงสาวสวย สวมชุดกิโมโนสีขาวสะอาด นางจะปรากฏตัวบนภูเขาหิมะในวันที่มีพายุหิมะ และหลอกล่อให้ผู้ชายที่หลงไหลในความงามของนางไปสู่ความตาย เรื่องเล่าของสตรีหิมะมีหลากหลายอยู่ว่า บางครั้งเล่ากันว่าในวันที่หิมะตกหนัก นักเดินทางที่โชคไม่ดี จะได้พบกับสตรีหิมะท่ามกลางพายุหิมะที่อันตราย เธอจะสวมกิโมโนสีขาว และค่อนข้างตัวสูง บ้างก็เล่าว่าเธอสวมกิโมโนสีแดง แล้วรอยเท้าที่เธอเดิน เต็มไปด้วยคราบเลือด บางครั้งเชื่อว่าสตรีหิมะเป็นวิญญาณของหญิงที่ตั้งครรภ์ ที่ตายเพราะพายุหิมะ และเมื่อใครเดินผ่านมาตามทางแล้วพบเห็นเธอเข้า เธอจะยิ้มแล้วยอมให้คนนั้นอุ้มลูก เหยื่อจะไม่สามารถปล่อยลูกของเธอได้เมื่ออุ้มแล้ว และลูกของเธอจะหนักขึ้นและเย็นจนแข็ง ทำให้เหยื่อขยับไปไหนไม่ได้ และจะจมหิมะตาย ทว่าเรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงของสตรีหิมะ เป็นเรื่องที่มีอยู่ว่า ชายตัดฟืน 2 คน คนหนึ่งยังหนุ่ม ส่วนอีกคนค่อนข้างมีอายุ ติดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะไม่สามารถกลับได้ จึงต้องหาที่พักซึ่งเป็นกระท่อมร้างเพื่อหลบหิมะก่อน เมื่อทั้งคู่หลับลง กลางดึกนั้นมีเพียงชายคนที่อายุน้อยกว่ากึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นผู้หญิงที่สวมกิโมโนสีขาว หน้าตาซีดเผือก และมีแววตาที่น่ากลัว เป่าลมหายใจใส่ชายคนที่มีอายุกว่า ชายคนที่อายุน้อยกว่าตกใจมากจนพูดไม่ออก แล้วสตรีหิมะก็เข้ามากระซิบว่าเธอจะไว้ชีวิตเขา ตราบเท่าที่เขาไม่แพร่งพรายเรื่องของเธอให้ใครรู้ แล้วสตรีหิมะก็หายตัวไป เขาพบว่าชายคนที่สูงวัยกว่าได้แข็งตายไปแล้ว หลังจากนั้น 1 ปีให้หลัง เขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ค่อนข้างสูง หน้าตาซีดเผือด แต่เป็นผู้หญิงที่หน้าตาดี เขาตัดสินใจแต่งงานและอยู่กินกับเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะมีลูกกับเขาถึง 10 คน แต่ความงามของเธอไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยซักนิดเดียว วันหนึ่งสามีก็เกิดหลุดปาก เล่าเรื่องสตรีหิมะออกมาให้เธอฟัง เมื่อเธอได้ยิน เธอก็คืนร่างกลับเป็นสตรีหิมะตนเดิม ตนเดียวกับที่สามีเคยเจอ ด้วยความเป็นมนุษย์ ฝ่ายสามีเกิดหวาดกลัวภรรยา แต่เพราะว่าเธอเห็นแก่ลูกๆ จึงไว้ชีวิตสามีแล้วหายตัวไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้พบกับสตรีหิมะนางนั้นอีกเลย ส่วนใหญ่แล้ว เรื่องเล่าของ ยุกิอนนะ จะปรากฏในทางตอนเหนือของเกาะญี่ปุ่นเสียเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็นทางแถบฮอกไกโด หรือทางแถบจังหวัดอิวาเทะ เนื่องจากทางตอนเหนือของญี่ปุ่นจะมีอากาศหนาวเย็น และมีหิมะปกคลุมอยู่เกือบตลอดทั้งปี จึงมีเรื่องเล่าขานของยูกิอนนะ มากกว่าท้องที่อื่นๆ


สาวคอยาว ろくろ首 • ろくろくび สามารถยืดคอได้ยาวมาก
โรคุโรคุบิ (「ろくろ首」, Rokurokubi, ろくろ首) หรือ สาวคอยาว เป็นเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับ มนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ต้องคำสาปหรืออาถรรพ์ เมื่อตกกลางคืนจะยืดคอออกไปได้ยาวมาก มักจะเป็นเฉพาะในผู้หญิง มีพฤติกรรมที่จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สาวคอยาวจะดูดพลังของเหยื่อที่เป็นทั้งคนและสัตว์ และจะใช้ลิ้นเลียเพื่อดับไฟตะเกียง ซึ่งสาวคอยาวนั้นมักจะ เป็นผู้หญิงที่ต้องพบกับรักที่ผิดหวัง เพราะว่าเมื่อสามีมาพบว่าภรรยาตนเป็นสาวคอยาว มักจะหนีไปด้วยความหวาดกลัว ส่วนมากสาวคอยาวมักจะแฝงตัวอยู่กับคนธรรมดาได้ แต่ต้องทุกข์ทรมาณกับการพยายาม ซ่อนร่างจริงของตัวเอง ถึงแม้ว่าสาวคอยาวพยายามปิดบังร่างจริง แต่ความที่เป็นผีทำให้มีความรู้สึกที่จำเป็นจะต้อง แสดงร่างคอยาวออกมาเสมอๆ สาวคอยาวจึงมักจะแสดงร่างจริงออกมาต่อหน้าพวกขี้เมา หรือพวกงี่เง่าเท่านั้น สาวคอยาวไม่มีนิสัยชอบหลอกคนเหมือนผีร้ายอื่นๆ เพราะยังมีความเป็นมนุษย์อยู่มาก ทั้งยังคิดว่าตัวเองสามารถใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ปกติได้ บางครั้งอาการคอยาวจึงออกมาตอนหลับเท่านั้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าตัวเองปวดคอ และฝันเห็นสถานที่ต่างๆ ในมุมมองที่แปลกๆ


สาวปากฉีก ろくろ首 • ろくろくび มีปากฉีกถึงใบหู มักสวมผ้าคลุมหน้า แล้วถามเหยื่อว่าฉันสวยมั๊ย?
สาวปากฉีก หรือ คุชิซาเกะอนนะ (「口裂け女」, Kuchisake onna, 口裂け女) เป็นผีญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงอีกตนหนึ่ง ลักษณะของสาวปากฉีกคือ ปากจะฉีกถึงใบหู เรื่องเล่าของสาวปากฉีกมีทั้งฉบับดั้งเดิมกับฉบับปัจจุบัน ตำนานสาวปากฉีกในสมัยเฮอันเล่ามาว่า มีหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน เป็นภรรยาของซามูไรที่มีชื่อเสียง แต่โชคร้ายที่สามีของเธอ สงสัยว่าเธอจะไปมีชู้ ด้วยความโกรธจึงใช้ดาบคาตานะ ตัดปากของเธอจนฉีกถึงใบหู เพื่อทำลายความงามของเธอ พร้อมทั้งถากถางว่า อย่างนี้แล้วใครจะคิดว่าเธองดงามอีก สาวปากฉีกเมื่อตายไปจึงกลายเป็นวิญญาณพยาบาท มีพฤติกรรมที่น่ากลัว คือ มักจะยืนอยู่ตรงริมถนน ในช่วงเย็นๆถึงค่ำ ในวันที่หมอกลง และจะสวมผ้าปิดปากไว้ พอใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยมั๊ย? ถ้าตอบกลับไปว่าก็สวยนิ แล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ละ? เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีก ถ้าตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น สาวปากฉีกจะเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ เชื่อกันว่าหากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ให้โยนขนมหวานชื่อดัง จะดึงความสนใจสาวปากฉีกไปที่อื่นได้ และยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องในการตอบคำถามของเธอครั้งที่สอง หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า ก็ดูปกติดีนี่ ก็สวยดีนี่ สาวปากฉีกจะพอใจและไม่ทำร้ายเหยื่อ แล้วจากไปแต่โดยดี สาวปากฉีกจะเป็นอันตรายกับมนุษย์หรือไม่ แล้วแต่สถานการณ์ เธอมีความรวดเร็วสูง และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย ชื่นชอบเวลาได้รับคำชม หรือรู้สึกว่าตัวเองสวย เกลียดคนที่พูดโกหก และคนที่กลัวเธอ


อามิคิริ 網切り • 網剪 • あみきり ภูตตัดตาข่ายหรือ อามิคิริมีลักษณะคล้ายกุ้งผสมกับงู ส่วนมากมีขนาดตัวค่อนข้างเล็ก ในสมัยก่อนตาข่ายดักยุง เป็นสิ่งเดียวที่จะใช้ป้องกันจากยุงในเวลาค่ำคืน ตอนรุ่งเช้าผู้คนจะพบว่าตาข่ายกลับขาดเป็นรู จึงเกิดเป็นเรื่องเล่าของอามิคิริขึ้นมา ซึ่งมันจะมีพฤติกรรมชอบตัดตาข่ายอามิคิริ จัดอยู่ในประเภทพรายน้ำ เป็นภูตที่รักสงบ แต่สร้างความรำคาญให้มนุษย์ในบางครั้ง ไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ ไม่ค่อยชอบให้ใครพบเห็นตัวมันนัก แต่สามารถบินในอากาศได้เหมือนกับว่ายน้ำ เมื่ออยู่ในน้ำมันมักจะตัดตาข่าย หรือแหของขาวประมงที่ขวางทาง อามิคิริชอบอยู่ในน้ำมากกว่าบนบก นอกจากนั้นยังมีเรื่องเล่าที่ว่า มันชอบตัดเสื้อผ้าที่ตากไว้ให้เป็นรูอีกด้วย มักจะพบเรื่องเล่าเกี่ยวกับอามิคิริในน้ำมากกว่าบนบก และมักเกี่ยวข้องกับชาวประมง อามิคิริสามารถว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว สามารถแปลงกายเพื่อขึ้นบกได้เป็นเวลาสั้นๆ และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย


โอคิคุ 番町皿屋敷 เป็นผีที่สิงในบ่อน้ำ จะออกมานับจานใบที่ 1 จานใบที่ 2... จนถึงใบที่ 9 แล้วร้องไห้
ผีนับจาน หรือ ซารายาชิกิ (「皿屋敷」, Sarayashiki, 皿屋敷) หรือ โอคิคุ เป็นเรื่องเล่าของวิญญาณที่จะออกมาจากบ่อเก็บน้ำ และเริ่มนับจานตั้งแต่ 1 ใบจนถึง 9 ใบ แล้วจะร้องไห้อย่างหัวใจสลาย ซึ่งที่มาก่อนที่โอคิคุจะกลายเป็นผีนั้นมีหลายเรื่องเล่า บางเรื่องกล่าวว่าโอคิคุทำจานของเจ้านายแตก เจ้านายโมโหมากจึงฆ่าโอคิคุทิ้งแล้วเอาศพทิ้งลงบ่อน้ำ เรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงของโอคิคุมีที่มาจาก เธอเป็นสาวใช้ของอาโอยาม่า ผู้ที่หวังจะโค่นล้มอำนาจของเจ้าเมือง โอคิคุบังเอิญไปได้ยินแผนการเข้า เธอจึงไปเล่าให้คนรักของเธอฟัง ซึ่งคนรักของเธอเป็นทหารเจ้าเมือง แผนการของอาโอยาม่าจึงถูกเปิดโปงและล้มเหลวในที่สุด เมื่ออาโอยาม่ารู้ว่าโอคิคุเป็นคนแอบได้ยินเรื่องแผนการ เป็นต้นเหตุทีทำให้แผนล้มเหลว อาโอยาม่าจึงวางแผนจะสังหารเธอซะ อาโอยาม่าจึงใส่ความโอคิคุว่า เธอขโมยจานที่ล้ำค่าไป 1 ใบซึ่งในชุดจานนั้นจะมี 10 ใบด้วยกัน โอคิคุถูกทรมานจนตาย และถูกทิ้งศพลงบ่อน้ำ บ่อน


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-02-23 18:47:03
batao


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
arms197677
#53
23-02-2012 - 21:03:00

#53 arms197677  [ 23-02-2012 - 21:03:00 ]





สนุกมากครับชอบมาเลย^^



ก็ไม่รู้สินะ
Nebula Eva
#54
24-02-2012 - 16:51:06

#54 Nebula Eva  [ 24-02-2012 - 16:51:06 ]





quote :
หลังจากปล่อยผีญี่ปุ่นมาโลดแล่นกระทู้เมื่อวาน วันนี้มาถึงคิวของผู้ที่จะตัดสินสรรพสัตว์ในโลกหลังความตายดีกว่าค่ะ


ประวัติพญายมราช
ตำนานท้าวพญายมราช (พระยม)




      ท้าว พญายมราช หรือ พระยม ในเทวตำนานยุคต้น ท้าวจตุโลกบาลแห่งทิศทักษิณ กล่าวไว้คือพระยม เป็นองค์เดียวกัน มีลักษณะใบหน้าดุดัน พระวรกายสีแดงทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ พระหัตถ์ขวาถือบ่วงยมบาศก์(บ่วงบาศก์ที่ใช้จับมัดวิญญาณทั้งหลาย) พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้ท้าวยมทัณฑ์ ทรงกระบือเป็นพาหนะ มีอิทธิฤิทธิ์มากทำหน้าที่พิพากษาและปกครองดวงวิญญาณทั้งหลายในนรกภูมิ มีบริวารคือ ยมฑูต หรือ นายนิรยบาล มีหน้าที่นำวิญญาณทั้งหลายไปยังสำนักพญายม และลงโทษแก่ดวงวิญญาณในนรก

ซึ่ง บริวารท้าวพญายมราชที่คนไทยรู้จักดีมีด้วยกัน ๒ องค์ ได้แก่ พระกาฬไชยศรี และ เจ้าพ่อเจตตคุปต์ ซึ่งมีรูปเคารพอยู่ที่ศาลหลักเมือง ทำหน้าที่จดชื่อและจับวิญญาณชั่วร้ายที่จะมารบกวนบ้านเมือง ท้าว พญายมราช เป็นเทวดาที่มีการกล่าวถึงในตำนานของทุกชาติพันธุ์ภาษา ของทุกวัฒนธรรมทั่วโลก ต่างกันเพียงการเรียกนามที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาษาเท่านั้น ส่วนหน้าที่และอำนาจนั้นมีความคล้ายคลึงกัน ตำนานลัทธิข้างจีนฝ่าย มหาญาน กล่าวว่า พญายมเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง

       ตำนานท้าวพญายมราช มีการกล่าวถึงกำเนิดไว้หลากหลาย อาจเป็นเพราะพญายมเป็นตำแหน่งเทวราชผู้ปกครองยมโลก มีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามมติของเทวสภา หรือบารมีที่สั่งสมมาอย่างเหมาะสมทำให้ไปเกิดเป็นท้าวพญายมราช จากเทวตำนานในยุคต้นที่กล่าวว่าท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ พระยม

      ด้วย ในยุคต้นที่ยังไม่มีวิญญาณใดที่เหมาะสม ท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ ท้าววิรุฬหก ทรงเป็นเทวกำเนิดจึงต้องรับภาระในตำแหน่งพญายม หรือ พระยม ซึ่งก็มีตำนานได้กล่าวไว้ว่า บริวารของพญายมคือ ยมฑูต ก็ คือกุมภัณฑ์ พวกหนึ่งนั่นเอง แต่เมื่อมีมนุษย์มากขึ้นสั่งสมบารมีหรือมีความเหมาะสมย่อมได้รับการสถาปนา ให้ดำรงตำแหน่ง

       ท้าวพญายมราช องค์ปัจจุบันในอดีตชาติก่อนที่ท่านจะได้รับสถาปนาเป็นท้าวพญายมราชนั้น ท่านเป็นมนุษย์ในครั้งก่อนพุทธกาล ในยุคที่ยังมนุษย์อยู่กันเป็นชุมชนยังไม่ใหญ่นัก ซึ่งท่านเป็นหัวหน้าชุมชนในหมู่บ้านเป็นผู้มีวิชาความรู้ เมื่อเกิดเหตุความไม่สงบขึ้นในชุมชนหมู่บ้านท่านเป็นผู้นำปราบปรามแก้ไข และต้องตัดสินพิพากษา

      ครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ฆ่ากันตายในหมู่บ้าน ที่ท่านดูแลอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าเป็นผู้กระทำด้วยเกรงกลัวความผิด เพราะโทษนั้นหนักถึงกับต้องประหารให้ตายตกตามกันคือชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ท่านในฐานะผู้ปกครองดูแลเมื่อสอบสวนแล้วไม่มีผู้ยอมรับผิด จึงได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาเสกแป้งฝุ่นแล้วซัดออกไปก็จะปรากฎรอยเท้า ผู้กระทำผิด

บันทึกคำทักท้วง
การปฏิบัติหน้าที่ ของพญามัจจุราชและคณะ



ผศ.พระครูสุนทรธรรมโสภณ (วิเชียร ปญฺญาวุฑฺโฒ)
๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๘


ความนำ
ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจ หรือข้อตกลงเบื้องต้นกับผู้อ่านก่อนว่า ผู้เขียนได้เขียนในขณะที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มิได้ละเมอเพ้อฝัน หรือสติฟั่นเฟือนวิกลจริตผิดปกติโดยประการทั้งปวง แต่มีแรงบันดาลใจจากการมรณะภาพของพระอาจารย์มหามังกร ปัญญาวโร แห่งวัดภูหินดัง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ผู้เป็นเสมือนอาจารย์ที่เคยสั่งสอน ให้ข้อคิดเตือนสติในยามที่ผู้เขียนมีแนวคิดและพฤติกรรมเฉไฉออกนอกความถูกต้องดีงาม ท่านเป็นแบบอย่างแห่งจริยะความประพฤติ ท่านเป็นเพื่อนร่วมงาน ที่ทำงานร่วมแล้วมีความอบอุ่นใจ มีความสุขใจ ท่านคอยแนะแนวการทำงานอย่างมีระบบ วางแผนงานอย่างสุขุมรอบคอบ มีการติดตามประเมินงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว ท่านเป็นเพื่อนรุ่นพี่ ที่รักและห่วงใยเอื้ออาทรต่อน้อง คอยให้กำลังใจในการทำงานด้วยดีเสมอมา ซึ่งความจริงคุณลักษณะตามที่กล่าวมาแล้วนี้ ท่านได้ใช้กับเพื่อน กับรุ่นน้องและกับศิษย์ ตลอดทั้งกับประชาชนทุก ๆ คนไม่เพียงผู้เขียนเท่านั้น เมื่อท่านมาด่วนจากไปแบบที่เราไม่คาดคิดว่าจะรวดเร็วขนาดนี้ และเป็นตัวแทนแห่งความรู้สึกนึกคิดของผู้พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ที่เคารพ และจากสิ่งที่หวงแหนทั้งมวล ฉะนั้นการเขียนคำทักท้วงการปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชในครั้งนี้เป็นเพียงการระบายความรู้สึกนึกคิดอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการเริ่มวิธีคิดแบบทวนกระแส เพื่อสนองกระแสความรู้สึกให้รู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันกับพวกที่ประสบกับความพลัดพรากแล้วชวนกันคิดตามกระแสธรรม ตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา

บันทึกคำทักท้วงการปฏิบัติหน้าที่
ข้าแต่พญามัจจุราชผู้เป็นใหญ่ ผู้เป็นเจ้าแห่งความตาย ข้าพเจ้าและคณะ มีความเคลือบแคลงสงสัย ในการปฏิบัติหน้าที่ของท่านและคณะ ต้องการทราบความจริง และขอทราบความกระจ่างชัด ถึงระบบระเบียบ หลักการและเหตุผลในการปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชและคณะ จึงต้องการให้ทบทวนการปฏิบัติหน้าที่เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาหลังจากได้ตริตรองพิจารณาด้วยเหตุและด้วยผล ตรวจสอบสภาพความเป็นจริง ตลอดทั้งเหตุผลความจำเป็นแล้ว จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชและคณะนั้น เสมือนเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไปโดยปราศจากเหตุผลและความจำเป็น ไม่มีความสอดคล้องกับความเป็นจริงของบุคคลและสถานที่

       ข้าพเจ้ามีความสงสัยและขอกล่าวหาว่า พญามัจจุราชและคณะได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการเลือกปฏิบัติ หลายครั้งพวกข้าพเจ้าเหล่ามวลมนุษย์ได้ใคร่ครวญพิจารณารอบคอบแล้วเห็นว่า บางคนยังไม่สมควรที่จะต้องเอาชีวิตเขาไป ท่านพญามัจจุราชกลับส่งทหารและบริวารมาไล่จับไปโดยเร็วและง่ายดาย แต่ขณะเดียวกันมีบางคนที่อยู่อย่างไร้ค่า แถมยังก่อความทุกข์ความเดือดร้อนให้คนอื่น ก่อปัญหาให้กับสังคม ข่มเหงรังแกรีดนาทาเร้นเพื่อนมนุษย์ มีพฤติกรรมที่หลอกลวงต้มตุ๋นเพื่อนมนุษย์ เช่น ครองเพศเป็นพระสงฆ์แต่ความประพฤติเป็นมหาโจรปล้นศรัทธา คอร์รับชั่นความเชื่อของชาวบ้าน เป็นการทุจริตศรัทธาของประชาชน บ้างครองเพศเป็นพระแต่จิตใจเป็นยักษ์เป็นมารที่มีแนวโน้มากขึ้นทุกวันในสังคมมนุษย์ อย่างพวกที่ผลิตอาวุธออกมาเข่นฆ่า ยกกำลังทหารพร้อมด้วยอาวุธนานัปการไปยึดครองประเทศอื่น ไปทำลายล้างผู้คน ไปปล้นสะดมทรัพยากรธรรมชาติของประเทศอื่น ไปเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินข่มเหงรังแกสารพัด เข่นฆ่าผู้คนล้มตายไปมามาย พญามัจจุราชกลับเมินเฉยปล่อยให้กลุ่มบุคคลประเภทนั้นลอยนวล พญามัจจุราชให้กฎเกณฑ์เข้าไปดำเนินการในเอาชีวิตของผู้คนอะไร ทำไมไม่ยึดประโยชน์สุขที่จะเกิดแก่มหาชน ขณะนี้พวกข้าพเจ้ากำลังรวบรวมหลักฐาน ในการปฏิบัติหน้าที่อันดูเหมือนที่ไร้ซึ่งเหตุผลเหล่านั้น เพื่อดำเนินการประท้วงและให้ทบทวนในการปฏิบัติหน้าที่ หากไม่สามารถชี้แจงเหตุผลให้กระจ่างชัดจนเป็นที่พอใจของพวกข้าพเจ้าเหล่ามนุษย์แล้ว ในขั้นตอนต่อไปจำเป็นต้องดำเนินการยื่นเรื่องเพื่อถอดถอนพญามัจจุราชและคณะ ในฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นการเลือกละเว้นการปฏิบัติ หรือไม่ ขอให้พญามัจจุราชโปรดได้ชี้แจงเหตุผลในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะบางกรณีมาจับในขณะที่ทำงานอันเป็นประโยชน์สุขต่อสังคม บางคนมียศมีตำแหน่งใหญ่โตแล้วใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางมิชอบ ใช้ไปในทางเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์ของผู้อื่น บางคนมีกำลังแข็งแรงก็ใช้กำลังที่ตนมีนั้นไปก่อกรรมทำเข็ญ ไปปล้นไปจี้ ไปเบียดเบียนคนอื่นก่อความปั่นป่วนเดือดร้อนให้กับสังคมบ้านเมือง คือ”ประเภทมีชีวิตอยู่ก็วุ่นวาย ตายไปคนก็สมน้ำหน้า” แบบนี้ก็ควรตาย ขอให้พญามัจจุราชทำงานโดยใช้หลักของนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ มองในมิติเหตุที่จะตกกับสังคมโดยรวมเป็นที่ตั้งเพียงอย่างเดียว ดัง กรณี ต่อไปนี้

๑. มาจับไปในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เพื่อมวลมนุษยชาติ ในฐานะเป็นคนของประชาชน ถือได้ว่ากำลังอยู่ระหว่างทำการบำบัดความทุกข์บำรุงสุขทางใจของมนุษย์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และมีความตั้งใจในการทำงาน ตั้งใจในการทำหน้าที่ของความเป็นพุทธบุตร สมตามที่ได้กล่าวปฏิญาณว่าจะมอบกายถวายชีวิต จะยอมเป็นทาสพระพุทธ พระธรรมและสงฆ์ จะกระทำทุกอย่างด้วยความจงรักภักดีต่อพระพุทธ พระธรรมและสงฆ์ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และก็กระทำตามที่ได้กล่าวปฏิญาณไว้อย่างมั่นคงด้วยดีอย่างสม่ำเสมอ

๒. บางคนอายุยังน้อย เป็นวัยที่กำลังทำงาน และเป็นการทำงานที่เป็นไปเพื่อความสุขของมหาชน ที่สำคัญเพราะมีพระภิกษุน้อยรูป เป็นบุคคลน้อยคนในสังคมมนุษย์ปัจจุบันที่มีวิธีคิดที่เข้าถึงรากฐานของวัฒนธรรมของความเป็นสงฆ์ คือ ความคิดเพื่อส่วนรวม เพื่อความสุขความเจริญของส่วนรวม นั่นคือวัฒนธรรมของสังคมสงฆ์ เพราะการกระทำที่เป็นไปเพื่อหมู่คณะ เป็นระบบความคิดที่เป็นสังฆะโดยแท้ หรือที่เรียกว่าจิตสาธารณะ คือความรู้สึกที่เห็นคุณค่าของส่วนรวม ทำงานเพื่อความสุขของส่วนรวม

๓. บางทีความกระทบกระเทือนทางร่างกายเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่พอแก้ไขเยียวยาได้ คือถ้าเป็นรถ เป็นเรือ หรือเป็นวัตถุก็พอซ่อมได้ ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะทุบทิ้งทั้งคัน ทุกทิ้งทั้งร่างกาย เพื่อให้เปลี่ยนสถานภาพทางร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาแบบมักง่ายแบบสุกเอาเผากิน ของพญามัจจุราชและคณะอย่างเห็นชัดเจน

มาตรการสำหรับปฏิบัติการที่เร่งด่วน
๑. ยื่นเรื่องเพื่อประท้วงและให้ทบทวนในการปฏิบัติหน้าที่ และอาจถึงขั้นยื่นเรื่องเพื่อขอถอดถอนพญามัจจุราชและคณะให้พ้นจากตำแหน่ง หากเห็นว่ามีความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นการเลือกละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะพวกเราเหล่ามนุษย์เห็นว่ามีความไม่ชอบมาพากลในการปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชและคณะ

๒. หลักการและเหตุผล กฎระเบียบ กฎกติกาที่พญามัจจุราชใช้ดำเนินการในการจัดการกับมนุษย์มาโดยตลอดนั้น เป็นกฎระเบียบที่อาจไม่ทันสมัย ไม่มีความสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของบริบทต่าง ๆ ทางสังคมในยุคปัจจุบัน จึงเห็นสมควรให้มีการทบทวนกฎระเบียบ และระเบียบวิธีการปฏิบัติของพญามัจจุราชและคณะให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง อาจถึงต้องยกเลิกกฎบางข้อที่ไม่ทันสมัย

๓. พวกเราเหล่ามนุษย์ต้องเร่งรีบหาวิธีการ จึงได้มีการระดมสมอง(Brain storming) เปิดเวทีแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อหามาตรการในการปฏิบัติร่วมกัน และมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า”จะเร่งรีบดำเนินการ หากเห็นว่ามีสิ่งใดที่ควรกระทำ จะเร่งทำความดี โดยการคิดดี พูดดีและทำดีอย่างเร่งด่วน โดยจะไม่พัดวันประกันพรุ่ง เพื่อมิให้พญามัจจุราชและคณะ เคลื่อนไหว และดำเนินการใด ๆ ได้ทัน พวกข้าพเจ้าจะรีบกระทำก่อนเพื่อมิให้พญามัจจุราชตั้งตัวได้ทัน

๔. ตั้งหน่วยเฝ้าระวัง หน่วยนี้ทำหน้าที่เคลื่อนที่เร็วในการเตือนภัย เพื่อให้ความรู้กับเพื่อนมนุษย์ เตือนสติในการเตรียมความพร้อม ในสิ่งที่ทำ คำที่พูด อารมณ์ที่นึกคิด เพื่อให้เหล่าเพื่อนมนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่อย่างผู้ไม่ประมาทในเพศ วัย และฐานะ ให้เป็นผู้มีความรู้ตัวทั่วพร้อมมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา เพราะพญามัจจุราชจะทำงานแบบตรงไปตรงมาแบบไม่เกรงใจใครใด ๆ ทั้งสิ้น

๕. ความจริงหน่วยงานหรือองค์กร ตลอดทั้งบุคลากรที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงในการทำหน้าที่เตือนภัย ให้สติกับประชาชน หน่วยงานแรกได้แก่วัดหรือพระสงฆ์ในฐานะผู้นำด้านจิตวิญาณ ประการแกรพระสงฆ์ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ วางตัวให้เหมาะสมกับสมณภาวะแล้วเตือนค่อยให้ประชาชนเป็นผู้มีสติไม่ประมาทในเพศ วัย ฐานะตามด้วย และหน่วยงานและบุคลากรที่ควรทำหน้าที่อันทรงคุณค่านี้ คือสถานศึกษา ข้าราชการ ผู้ซึ่งถือว่ามีการศึกษา อบรมและมีการพัฒนามาดี เพราะโดยหลักแล้วผู้มีการศึกษา ผู้ที่ได้รับการพัฒนามาแล้วต้องเป็นที่ช่วยเหลืออนุเคราะห์คนอื่น ให้เหมือนพี่ต้องช่วยเหลือน้อง การศึกษาและการพัฒนาหากสร้างให้เกิดจิตสำนึกอย่างนี้ ถือว่าสุดยอดของการพัฒนา แต่นี้เพราะความผิดพลาดอย่างมหันต์ ในการจัดการศึกษาและการพัฒนา เพราะผู้ที่ได้ชื่อว่ามีการศึกษาและมีการพัฒนากลายเป็นผู้ที่ก่อปัญหา ก่อความเดือดร้อนให้สังคมเสียเอง ประเด็นนี้ จึงเป็นเด็นทีท้าทายความรู้ความสามารถของหน่วยเฝ้าระวังเตือนภัยให้สติเป็นอย่างมาก

กฎแห่งความเป็นจริง
       ความจริงคำว่า “พญามัจจุราช”นั้นเป็นเพียงคำศัพท์ที่ใช้แทนกฎธรรมชาติ ที่ใช้แทนกฎแห่งความตายของสรรพชีวิต ในบรรดาชาวพุทธทั้งหลายคงคุ้นเคยกับคำสอนที่เกี่ยวกับความตาย เป็นต้นว่า ”ความเป็นมันไม่ยั่งยืน ความตายมันยั่งยืน เราต้องตายเป็นแท้ ความเป็นของเรามีความตายเป็นที่สุด และความเป็นของเราไม่เที่ยง แต่ความตายของเรามันเที่ยง” เหล่านี้เป็นต้น

      พระพุทธศาสนาสอนให้รู้เท่าทันกับความเป็นจริง ให้เผชิญกับความเป็นจริงตามที่มันเป็น โดยเฉพาะความจริงที่เกี่ยวกับความตาย เพราะความตายไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีนิมิต ไม่ลางบอกเหตุใด ๆทั้งสิ้น และกฎอันนี้เป็นกฎที่ให้ความยุติธรรมแก่ทุกคนในโลกนี้อย่างเท่าเทียมกัน อย่างพระพุทธองค์สอนให้อยู่กับความไม่ประมาททุกลมหายใจ พระองค์สอนระลึกถึงความตายทุก ๆ วินาที สอนให้เผชิญกับความตาย ในฐานะที่ความตายเป็นกฎความจริงอย่างหนึ่ง เพราะหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาสอนให้รู้เท่าทันกับความจริง ตามสภาพของสิ่งนั้นเป็น เมื่อเรามาเกิดอยู่ในโลกนี้ เมื่อความจริงของโลกนี้เป็นอย่างนี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือมาศึกษาโลกนี้ให้รู้ความจริง ตามสภาพที่โลกเป็น

มองความตายสองมิติ
ประการแรก มองความตายที่สิ้นสูญ คือหมดไปสิ้นไป ในฐานะที่มนุษย์ปุถุชน คนหนาด้วยกิเลส จิตใจยังไปด้วยความรัก ความโลภ ความโกรธและความหลง ยังมีความดีใจ เสียใจ ยังอ่อนไหวไปตามกระแสของอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ กล่าวคือยังออกไหวไปตาม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ หากพูดง่าย ๆ แบบฟังแล้วเข้าใจง่าย ๆ ในฐานะที่กำลังโดนคลื่นของโลกธรรม พัดพาไป แล้วจมปลักลงในห้วงลึกแห่งอวิชชา คือ ความไม่รู้ พระพุทธศาสนาจึงสอนให้เกิดความรู้ ตามหลักของไตรสิกขา คือศีล สมาธิและปัญญา

ความตายในมิติของความสิ้นสูญ ความหมดไปสิ้นไปนี้ หากคิดตามแล้วเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะไม่สามารถรอดพ้นจากความตายไปได้ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด ๆ จะขึ้นเขาลงห้วย ใต้พื้นน้ำ ใต้พื้นดิน เข้าหลบในถ้ำและหุบเขา แม้จะไปหลบซ่อนบนฟากฟ้าเวหาหาว ไม่มีทางหลบได้โดยประการทั้งปวง นี้มองในมิติด้านสถานที่ ต่อมามองในด้านฐานะเพศ ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ไม่อาจมีข้อยกเว้น กฎนี้ให้สิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิให้เหนื่อยเปล่า หวังว่านักสิทธิมนุษยชนคงมีความพึงพอใจกับกฎอันนี้ ส่วนวิธีการปฏิบัติต่อผู้ตายนั้นเอาไว้พูดกันในโอกาสอื่น อย่างอยู่ในเพศสมณะนักบวช นักพรต เป็นพระ เถน เณร ชี ก็อย่างนึกว่าตนจะรอดพ้นจากความตายได้ แม้ที่สุดเป็นเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ก็ตกอยู่ภายใต้กฎอันเดียวกันนี้อย่างเท่าเทียมกัน

เมื่อมองในฐานะเพศไปแล้ว ตอนนี้มามองต่อ ในฐานะวัย เช่น วัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยทำงาน วัยเฒ่าแก่ ชรา ก็ตายให้เห็นในทุก ๆ วัย ขอร้องไว้ไม่ได้ จะจ่ายสินบาทคาดสินบนไม่ได้ เช่น จะไปขอร้องว่า ลูกกระผมยังเล็ก ยังอายุน้อย ขอร้องเถิดเจ้าข้า อย่าพึ่งให้ตายเลย ไม่ได้ผล หรือขอร้องว่าท่านแก่ชราแล้ว ปล่อยท่านเถิดอย่ามารบกวนท่านเลย ท่านเป็นแม่เป็นพ่อคนเดียวของกระผม ของดิฉัน เคารพรักท่านมาก ขอไว้หน่อยเถิด อย่าให้ท่านต้องตายเลย ก็ไม่เป็นผล คือขอไว้ไม่ได้ ดังคำกลอนบทหนึ่ง ที่พระอาจารย์มหามังกร ปัญญาวโร ได้ประพันธ์ไว้ ความว่า

แก่เจ็บตาย คนทั้งหลาย จะต้องพบ
จะหลีกหลบ ซ่อนเร้น เป็นไร้ผล
จะแสนสวย มั่งมี หรือยากจน
ในที่สุด ทุกคน จะต้องตาย

ความแตกต่างมนุษย์จึงไม่ได้อยู่ที่ตายหรือไม่ตาย หากแต่อยู่ที่ตายแบบไหน ตายแล้วเหลืออะไรไว้ เป็นอนุสรณ์แก่ชาวโลก หรือจะตายแบบเขาสมน้ำหน้า สาธุการหรือตายแบบคนเขาอาลัยหา ตายแบบคนเขาระลึกถึงคุณความดี นำเอาข้อคิดคำสอนมาเป็นเครื่องเตือนสติ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต คือจะต้องตายทั้งทีต้องตายแบบมีดีเหลือไว้

วัวควายเอย เจ้าต่ำซ้ำ เป็นสัตว์
คราวิบัติ เนื้อเขาหนัง ยังขายได้
แต่มนุษย์ เมื่อวิบัติ คือตายไป
เอาไปขาย ครึ่งสตางค์ ยังว่าแพง


ตามตลาดเราเห็นแต่เขาขายเนื้อสัตว์ เนื้อปลา ขายหนังสัตว์ ขนสัตว์ แต่ไม่เคยมีที่ไหนเขาเอาเนื้อนางสาวไทย นางสาวจักรวาฬที่ตายแล้วไปวางขายตามตลาด ว่านี้เนื้อสันนางไทย เนื้อสันนางสาวจักรวาฬเมื่อ พ.ศ.นั้น พ.ศ.นี่ ขายในราคาย่อมเยา หรือโฆษณาว่า นี้เนื้อนางสาวไทยแดดเดียว เนื้อนางสาวจักรวาฬแดดเดียวช่วยซื้อหน่อย แม้มีคนขาย ก็คงไม่มีคนซื้อแน่นอน ไม่เชื่อก็ลองดู ผู้เขียนคนหนึ่งละไม่ขอเล่นด้วย
เพราะคุณค่าของความเป็นคนอยู่ที่คุณความดี อยู่ที่คุณประโยชน์ที่ได้สร้างสมไว้ด้วยการกระทำทางกาย ทางวาจาและทางจิตใจ ประเด็นนี้มีความสำคัญ จึงอยากฝากไว้ให้เป็นข้อคิด

ประการที่สอง มองความตายที่ก่อให้เกิดความสร้างเสริม คือสร้างสติปัญญาที่รู้เท่าทันกับความเป็นจริงตามที่มันเป็น เพราะความจริงตามที่เป็นอยู่ คือ มันตายแบบไม่เลือกเพศ วัย ฐานะ และกาลเวลา จากประเด็นนี้เราต้องดำเนินชีวิตโดยความประมาท ต้องเป็นคนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา คือสร้างเสริมความเป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะ คือรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกขณะวินาที และต้องเร่งรีบทำความดีแบบไม่พัดวันประกันพรุ่ง รีบทำแบบไม่ให้ความตายขยับทัน แบบไม่ให้ความรู้ตัวทัน พอทำดีทางใดได้ต้องรีบทำก่อนทันที เช่น คิดดี พูดดี ทำดี เพราะความตายมันไม่มีในพรรษา นอกพรรษา ไม่หน้าร้อน หน้าฝน และหน้าหนาว อย่ารีรอเป็นอันขาด เพราะการมัวรีรอเป็นความประมาทอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อรู้และคิดได้อย่างนี้ จึงได้ชื่อว่ามองความตายแบบสร้างเสริม คือ สร้างเสริมสติปัญญา สร้างความรู้เท่าทันกับกฎแห่งความเป็นจริงหรือกฎธรรมชาติ(Nature Law ) เราในฐานะเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องอยู่ใต้กฎของธรรมชาติ ประเด็นสำคัญเราต้องรู้ต้องเข้าใจในกฎธรรมชาติ และปฏิบัติต่อกฎธรรมชาติตลอดทั้งการท่าทีความรู้สึกต่อกฎธรรมชาติอย่างถูกต้องเหมาะสม

สรุป
ที่ผู้เขียนได้เสนอมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเสนอความเห็นแทนความรู้สึกผู้พลัดพรากที่กำลังประสบกับความโศกเศร้าเหงาซึม อย่างน้อยแนวคิดของผู้เขียนอาจเป็นเพื่อนในยามเศร้า ของผู้ที่ตกอยู่ในกระแสของความโศกซึมได้ เพื่อจะทุเลาความโศกซึมไปบ้าง แต่ที่สุดผู้เขียนพยามชี้ให้คิดถึงหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ทรงสอนถึงหลักความจริง สอนให้เข้าใจถึงกฎธรรมชาติที่ไม่มีข้อยกเว้นในเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ เพศ วัยและฐานะใด ๆ โดยประการทั้งปวง และพระองค์ตรัสสอนมิให้ตั้งอยู่ในความประมาท ให้ดำรงตนและดำเนินชีวิตอย่างมีสติตลอดเวลา และตำหนิผู้ที่ประมาทว่าเสมือนหนึ่งเป็นคนที่ตายแล้ว
ดังนั้นขอท่านผู้อ่านโปรดเรียนรู้เข้าใจในความเป็นจริงตามธรรมชาติ เรียนรู้ตนเองให้เข้าใจตนเอง เตือนตนด้วยตนเอง เอาชนะตนด้วยตนเอง แล้วเป็นที่ตนด้วยตนเอง ดำรงตนอยู่อย่างอิสระ โดยปราศจากการครอบงำของความโลภ ความโกรธและความหลง มีความเจริญรุ่งโรจน์ด้วยสติปัญญา แล้วจะเป็นผู้ที่ดำรงชีวิต และดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ในเพศ ไม่ว่าเพศหญิงและเพศชาย ไม่ประมาทในวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หนุ่มสาว เฒ่าแก่ ไม่มาทในฐานะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวย ยากจนเข็ญใจ มีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหนในที่สุดก็จะตกอยู่ในกฎแห่งความเป็นจริงตามธรรมชาติที่กล่าวมาแล้วเช่นกันทุก ๆ คน ขอท่านผู้อ่านทั้งหลายโปรดได้สังวรระวังตนเองให้มีสติ อย่าลืมพระราชดำริ ของพระพุทธองค์ทรงเตือนก่อนที่พระองค์จะปรินิพพานเพียงอึดใจเดียวว่า “ ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” นี่คือคำเตือนของบรมครูที่ทรงเตือนด้วยความเมตตา

quote :
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีชายชราคนหนึ่งต้องต่อสู้กับความยากลำบากมา ตั้งแต่หนุ่มจนแก่วันหนึ่งเข้าไปตัดฟืนในป่าเพื่อนำไป
ขายในเมืองเป็นการยัง ชีพระหว่างทางรู้สึกหนักและเหน็ดเหนื่อยเหลือกำลัง

เกิดความน้อยใจในโชคชะตาตนเองที่ต้องต่อสู้กับความยากจนมาเป็นเนิ่นนาน ชายชราจึงโยนมัดฟืนลงจากบ่าของตนพร้อมตะโกน
ด้วยเสียงอันแหบแห้ง “ข้าแต่พญามัจจุราช โปรดมาเอาชีวิตอันไร้ค่านี้ไปเสียที

ข้าไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว” เมื่อตะกี้เจ้าว่าอย่างไรนะ ข้าฟังไม่ถนัด” พญามัจจุราชปรากฎกายขึ้นแล้วย้อนถามชายชรา
“อ้อ..ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแต่อยากหาคนช่วยยกมัดฟืนใส่บ่าให้หน่อยเท่านั้น” กล่าวจบชายชราก็รีบแบกมัดฟื้นเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: คำพูดกับความจริงที่มนุษย์ต้องการนั้น อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน โดยเฉพาะคำว่าอยากตายกับความอยากจะตายจริงๆ นั้น ยิ่งเป็นละเรื่องกันเลยทีเดียว


เครดิต : http://www.oknation.net/blog/sulfa/2011/05/08/entry-1



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#55
เด็กซ่าบ้านแสบ
24-02-2012 - 19:05:41

#55 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 24-02-2012 - 19:05:41 ]








Pepopammy
#56
24-02-2012 - 19:36:46

#56 Pepopammy  [ 24-02-2012 - 19:36:46 ]




กระทู้นี้คือคลังเก็บความหลอนของพี่ใช่มั้ย



ただいま!
Nebula Eva
#57
24-02-2012 - 19:51:32

#57 Nebula Eva  [ 24-02-2012 - 19:51:32 ]





quote : Pepopammy

กระทู้นี้คือคลังเก็บความหลอนของพี่ใช่มั้ย


ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง ถูกต้องแล้วจ้า
กระทู้นี้มีไว้แบ่งปันความหลอน เหอะๆๆ(ยัดเยียดความหลอนให้ชาวบ้าน)



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#58
25-02-2012 - 18:53:34

#58 Nebula Eva  [ 25-02-2012 - 18:53:34 ]





quote :
วันนี้ขอเสนอเรื่องราวความเชื่อที่คนทั้งโลกต้องเคยรู้จักและได้ยิน


ศุกร์13
ศุกร์ 13 วันอาถรรพ์ ความเชื่อ หรือ ความจริง???



      ตัวเลข 1 กับ 3 บนปฏิทินยืนยันให้เห็นเป็นประจักษ์พยาน หลายคนเริ่มรู้สึกและตั้งคำถาม "จะมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นไหมนะ?"

      หลายเสียงตอบคำถามแตกต่างกันไป บ้างว่า..ต้องระวังของอย่างนี้มันมีอาถรรพ์ บ้างว่า..ล้าสมัยไม่มีใครเขาคิดอย่างนี้กันแล้ว ...คำตอบจะเป็นอย่างไร มิอาจตัดสิน เพราะเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล แต่ถ้าหากถามว่า "ศุกร์ 13 เป็นวันอาถรรพ์จริงหรือ?" ก็คงตอบชัดเจนไม่ได้ นอกจากจะมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟัง...

       เริ่มจากความเชื่อของฝรั่งตาสีฟ้าทั้งหลาย โดยเฉพาะนิกายคาทอลิกที่เห็นว่า "เลข 13" เป็นเลขโชคร้าย ไม่ดีถ้าเป็นฤกษ์ยามจะทำกิจการต่างๆ ก็นับเป็นฤกษ์ยามที่ไม่ดีเอาเสียเลย

       ฝรั่งถือว่าเลข 13 เป็นเลขอับโชค ยิ่งเป็น "ศุกร์ 13" ด้วยแล้วยิ่งมหาอับโชค (ฝรั่ง) หลายๆ คน จึงไม่ยอมออกจากบ้านไปไหน เพราะเกรงว่าจะประสบกับความโชคร้าย เช่น เกิดอุบัติเหตุ หรือมีอันเป็นไปต่างๆ นานา เป็นต้น

      แม้จะมีการแก้เคล็ดด้วยการเรียกเลข 13 เป็น "ลัคกี้นัมเบอร์" แต่ก็มิได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเลข 13 ของฝรั่งดูดีมีโชคขึ้น ยังคงสร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้คนที่เชื่อเรื่องโชคลาง

       ความน่ากลัวของ "ศุกร์ 13" มาเพิ่มขีดมากขึ้นเมื่อมีภาพยนตร์เรื่อง "ศุกร์ 13 ฝันหวาน" ออกมาหลอกหลอนผู้คน ไม่ว่าจะทำภาคไหนออกมาก็ยังคงขายดิบขายดีขายได้ ความเชื่อเรื่องเลข 13 เริ่มแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วข้ามน้ำข้ามทะเลมาฝั่งเอเชีย และเอเชียอาคเนย์ ด้วยเหตุเพราะกระแสแห่งโลกาภิวัตน์ ส่งผลให้บางคนบางพวกในเมืองไทยพลอยเชื่อเรื่อง อาถรรพ์เลข 13 ไปด้วย ฉะนั้น บรรดาอาคารสำนักงานและโรงแรมจำนวนมากที่ก่อสร้างเป็นอาคารสูง และมีจำนวนชั้นมากกว่า 12 ชั้นขึ้นไปจะไม่มีชั้น 13 เป็นการเว้นไว้และเรียกชื่ออื่นแทน

       เช่น อาคารเอ็มบีเค ทาวเวอร์ ที่ก่อสร้างขึ้นเมื่อ 26 ปีก่อน เป็นอาคารสำนักงานสูง 20 ชั้น แต่ไม่มีชั้นที่ 13 โดยผู้สร้างเปลี่ยนเป็นเรียกชั้น 12 A แทนเช่นเดียวกับโรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ที่เป็นอาคารสูง 29 ชั้นก็ไม่มีชั้น 13 โดยมีชั้น 12 แล้วเป็น ชั้น 14 เลย เว้นเลข 13 ไว้ เหตุผลประการหนึ่งเพราะโรงแรมต้องรองรับลูกค้าซึ่งส่วนมากเป็นลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะฝรั่ง

       ตำนานของอาถรรพ์เลข 13 นั้น เชื่อกันว่า อาถรรพ์เลข 13 มีความเชื่อมโยงกับ "เดอะ ลาสต์ ซัพเปอร์" เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลที่มีคน 13 คนร่วมรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็น "วันศุกร์"

      แต่ก็มีอีกหลายตำรา บ้างก็ว่ามาจากความเชื่อและตำนานของ "ชาวนอร์ส" ในดินแดนสแกนดิเนเวียที่เกี่ยวกับ "เทพ 12 องค์" มารวมกันจัดงานเลี้ยงในห้องโถงของเอกีร์ เทพแห่งมหาสมุทร แล้วเทพแห่งไฟที่ชื่อ "โลกิ" ซึ่งไม่ได้รับเชิญมาร่วมงานจึงพังประตูรั้วเข้ามาร่วมงานในฐานะแขกคนที่ 13 และให้ "เทพฮอด" ซึ่งเป็นเทพแห่งความมืดมิดเพราะตาบอด โยนกิ่งของพืชกาฝากใส่ "บาลเดอร์" เทพแห่งความสุขและความยินดี จนบาลเดอร์สิ้นลมหายใจไปในทันที ทำให้โลกต้องตกอยู่ในความมืดมิดและความเศร้าสลด

       นิทานของชาวสแกนดิเนเวียยังมีเวอร์ชั่นอื่นอีก รวมถึงมีผู้แย้งว่าในบทกวีของโลกาเซนนา ที่เป็นภาษานอร์สโบราณได้กล่าวถึงชื่อของเทพทั้ง 17 องค์ที่ไปร่วมในงานเลี้ยง โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นเทพโลกิเป็นผู้พังประตูรั้วเข้าไปจริง แต่กลับไม่ใช่คนที่ 13 และก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจุดจบของเทพบาลเดอร์อีกด้วย

       เพราะฉะนั้น ความเชื่อที่เก่าแก่ว่าด้วยอาถรรพ์เลข 13 จึงนิยมที่จะอ้างอิงเรื่องของเดอะ ลาสต์ ซัพเปอร์ มากที่สุด กระทั่งมีการบันทึกไว้เมื่อศตวรรษที่ 18 ว่า.. เชื่อกันว่าเมื่อใดก็ตามที่มีคน 13 คนมานั่งร่วมรับประทานอาหารในโต๊ะเดียวกัน คนที่ลุกจากโต๊ะไปเป็นคนแรกจะเป็นคนแรกที่ต้องตาย

      สำหรับเหตุผลที่เจาะจงว่าจะต้องเป็น "วันศุกร์" นั้น นอกจากกรณีที่ว่าพระเยซูถูกนำไปตรึงกางเขนในวันศุกร์แล้ว ในตำราของฝรั่งยังว่า "วันศุกร์" เป็นวันที่ใช้ประหารนักโทษ ทั้งยังถือว่าเป็นวัน "ทิป ทอด เดย์" (Tip Tod Day) หมายความว่าเป็น "วันปีศาจ" ชาวประมงในสมัยก่อนจึงไม่ออกทะเลในวันศุกร์

      ความเชื่อแต่โบร่ำโบราณของฝรั่งยังห้าม "ไม่ให้ตัดเล็บในวันศุกร์" เพราะแม่มดจะมาขโมยเล็บเอาไปเสกให้เจ้าของเล็บกลายเป็นแม่มด รวมทั้งเชื่อว่าเมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาใหม่ๆ วันที่อีฟและอดัมละเมิดคำสั่งพระเจ้า กัดกินผลไม้ต้องห้ามในสวนอีเดนนั้นเป็น "วันศุกร์" และวันที่ทั้งสองถูกพระเจ้าลงโทษให้ลงมาชดใช้โทษที่โลกมนุษย์ก็เป็น "วันศุกร์" อีกเช่นกัน

       เหตุฉะนี้เมื่อ "ศุกร์ 13" มาเยือน (ฝรั่ง) หลายๆ คนจึงปริวิตกหวาดผวาจนขึ้นสมอง กลายเป็น "โรคกลัววันศุกร์ที่ 13" ซึ่งมีชื่อเรียกยาวๆ ว่า "พาราสเคฟดิคาเทรียโฟเบีย" (paraskevidekatriaphobia) หรือโรค "ฟริกกาทริสไคเดคาโฟเบีย" (friggatriskaidekaphobia)

       มีการศึกษาประเมินกันว่า คนอเมริกันเป็นโรคพาราสเคฟดิคาเทรียโฟเบีย ถึง 21 ล้านคน หรือประมาณ 8% ของอเมริกันชนที่ยังอยู่ในความเชื่อเรื่องนี้ อย่าหัวเราะเยาะว่า โรคกลัววันศุกร์ที่ 13 เป็นเรื่องเล่นๆ

       เพราะมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อย่างแน่นอน เรื่องนี้มีสถิติเกิดขึ้นแล้ว ที่ศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันบำบัดอาการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเริกา ประเมินว่า.. ในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐ อเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงินถึง 800-900 ล้านเหรียญสหรัฐ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

      และเมื่อเปิดดูสถิติอุบัติเหตุในเรื่องจาก "ศุกร์ 13" ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลก เมื่อผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน บริติช เมดิคัล เจอร์นัล เมื่อปี ค.ศ.1993 เรื่อง "Is Friday the 13th Bad for Your Health?" ศึกษาความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 กับพฤติกรรมและสุขภาพ โดยเปรียบเทียบวันศุกร์ที่ 6 กับวันศุกร์ที่ 13 พบว่า อัตราการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวันศุกร์ที่ 13 มีมากกว่าวันศุกร์ที่ 6 อย่างเห็นได้ชัด

       และในขณะที่น้อยคนเลือกที่จะขับรถออกจากบ้านในวันศุกร์ 13 แต่ตัวเลขคนที่ประสบอุบัติเหตุกลับมากกว่าวันศุกร์อื่นๆ ถึง 52%

      กลับมาที่ประเทศไทย เรื่องของ "ศุกร์ 13" จะเป็นอาถรรพ์แบบฝรั่งหรือไม่ คงต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาของแต่ละบุคคล อาจมีบางคนเชื่อ บางคนไม่เชื่อ เหมือนกับเรื่องของโชคลางอื่นๆ เรื่องของโชคชะตา เรื่องของดวง ฮวงจุ้ย ว่าแต่ว่า..

"วันไหนๆ ก็ดีทั้งนั้น"

อาจารย์หนู กันภัย
เจ้าสำนักสักยันต์อาจารย์หนู


"สำหรับคนไทยแล้ว จริงๆ ดีทุกวัน แต่คนเราอาจจะคิดไปกันเอง อาจจะตรงข้ามกับชาวต่างชาติ ตราบใดเรายังหายใจอยู่เราถือว่าเป็นวันมงคลทุกวัน ยกตัวอย่างคนจีนบอกว่าเลข 4 ไม่ดี เป็นเลขตาย ส่วนเลข 8 เลข 9 ดี แต่เห็นคนที่เขาประสบความสำเร็จประกอบกิจการต่างๆ รุ่งเรืองร่ำรวย รถเขายังออกด้วยเลข 4 เลยไม่เข้าใจว่ามีการถือกันยังไงกันแน่...

...ทางโหราศาสตร์เลข 13 ถือเป็นเลขมหาอุดได้ แล้วแต่ฤกษ์ที่จะคิดค้นขึ้นมาหรือฤกษ์ปลุกเสกขึ้นมา หรือจะเป็นด้านมืด "อาคมอุต" ก็ได้ (1+3 เท่ากับ 4 ทางจีนว่าไม่ดี) ตัวเลขก็เป็นเพียงตัวเลข ถ้าในตำราของไทยจริงๆ ยันต์ บางทีก็มีหมด ทั้ง 12 13 14 มีหมด ซึ่งเป็นหัวใจของพระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ ไม่มีตัวไหนที่ไม่เป็นมงคล ถือเป็นมงคลทั้งหมด

หรืออย่างวันพุธที่หลายคนบอกว่าเป็น "วันหัวกุดท้ายเน่า" แต่อาจารย์กลับคิดว่าเป็นวันมงคล เป็นวันราหู จริงๆ คนเขาจะคิดไปเอง บางตำราก็จะเเยกแตกแขนงกันออกไป บางครั้งก็ถือหลายลัทธิ สำหรับอาถรรพ์เลข 13 ถ้าคนไทยที่เป็นหนอนหนังสือ ชอบอ่านหนังสือหน่อยก็อาจจะถือตามเมืองนอก แต่ถ้าคนที่เขาเล่นวิชาอาคมจริงๆ อย่างเช่นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เขาถือว่าเป็นวันมงคล..

... คือ เลข 13 เป็นมหาอุด-อุดสิ่งที่ชั่วร้ายต่างๆ ตามตำราไทยเป็นมงคล คือไม่รับรู้ลิ้น ปาก จมูก หู กาย ใจ หมายถึงปิดทวารทั้ง 9 อุดหูไม่ให้ได้ยิน ปิดตาไม่ให้เห็นในสิ่งที่ไม่ดี ฯลฯ คือจะอุดสิ่งที่ไม่ดีไม่ให้เข้ามาหาตัวเรา"

"ศุกร์ 13 เป็นความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น"

อดิศร ยุทธโยธิน
ผู้ช่วยเจ้าอธิการคริสตจักรพลับพลา ประชานิเวศน์ 1


"ธรรมดาแล้วในคัมภีร์ไบเบิลไม่มีการกล่าวถึงเรื่องศุกร์ 13 น่าจะเป็นความเชื่อของแต่ละท้องถิ่นหรือแต่ละประเทศมากกว่า ที่นำเรื่องเชื่อมโยงกันกับเรื่องของพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน แต่วันที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนนั้น ก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงว่าเป็นวันที่ 13 จริงๆ แล้ว เพียงแต่ว่าตรงกับวันศุกร์เท่านั้น และในวันนี้ชาวคริสต์ก็เชื่อว่าวันนี้เป็นวันดี ที่เรียกกันว่า Good Friday เพราะเป็นวันที่พระเจ้าเสียสละชีวิตเพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ และหลังจากถูกฝังไม่นาน พระองค์ก็ฟื้นขึ้นมาจากความตาย

...ความเชื่อเรื่องอดัมกับอีฟ ที่ว่าทั้งคู่แอบกินลูกแอปเปิ้ลในสวนของเทพอีเดน จนทำให้ถูกขับไล่ออกจากสวน และอีฟได้เสียชีวิต ในไบเบิลก็ไม่ได้มีการบัญญัติไว้ว่าเป็นวันศุกร์

หรือเรื่องเดอะ ลาสทต์ ซัพเปอร์ (The Last Supper) อาหารมื้อสุดท้ายก่อนพระเยซูจะถูกตรึงไม้กางเขน ที่มีคนร่วมโต๊ะทั้งหมด 13 คน จนคิดว่าเป็นตัวเลขที่โชคร้าย ความจริงแล้วเป็นวันที่พระเยซูเรียกสาวกมาอธิบายว่าต่อไปภายหน้าเมื่อพระองค์ไม่อยู่แล้ว ให้ยึดถือว่าตัวขนมปังเป็นดั่งตัวแทนของพระองค์ และไวน์องุ่นเปรียบเสมือนเลือดของพระองค์ที่หลั่งรินออกจากร่างกาย ไม่ได้เกี่ยวกับความโชคดีหรือโชคร้ายแต่อย่างใด..

ในคัมภีร์ไบเบิลสอนว่า ไม่ได้บอกให้เราเชื่อเรื่องวันหรืออะไร เพราะทุกวันก็คือวันดี เราอธิษฐานมอบให้พระเจ้ามันก็จะเป็นวันดี พระเจ้าบอกว่าถ้าเราเชื่ออะไร ก็จะเป็นไปตามนั้น ถ้าเราปล่อยให้สิ่งที่เราเชื่อมามีอำนาจเหนือเรา.."

เครดิต : http://hilight.kapook.com/view/33793



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#59
25-02-2012 - 18:53:44

#59 Nebula Eva  [ 25-02-2012 - 18:53:44 ]





quote :
เรื่องของศุกร์ 13 ยังไม่จบเพียงเท่านี้ มาต่อด้วยความเชื่อของอาถรรพ์ในวันศุกร์13 กันค่ะ


13 เรื่องอาถรรพ์ สยดสยองของวันศุกร์ 13?


      ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความเชื่อชนิดที่คิดกันเป็นตุเป็นตะว่าเป็นวันแห่งความโชคร้าย ซึ่งความเชื่อที่ว่าก็คือถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามจะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อที่อยู่ในบรรดาชาติที่พูดภาษาอังกฤษทั่วโลก และยังขยายไปถึงชาติอื่นๆ อีกด้วย และในประเทศบางประเทศอย่าง กรีซ สเปน ถือเอาวันอังคารที่ 13 เป็นวันโชคร้ายเช่นกัน

      โดยหลักๆ แล้วจุดเริ่มต้นความเชื่อเรื่องนี้เชื่อมโยงกับความเชื่อที่ว่ามีคน 13 คน ร่วมทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซู (The Last Supper) ก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนในวันศุกร์ประเสริฐ (ทั้งนี้ มีการบันทึกเอาไว้ในศตวรรษที่ 18 โดยเชื่อกันว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คน 13 คนมานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันแล้ว คนที่ลุกจากโต๊ะไปเป็นคนแรกจะเป็นคนแรกที่ต้องตาย) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่มีหลักฐานใดที่ชี้ชัดเป๊ะๆ ว่าประชาชนถือเอาว่าวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้าย ไทยรัฐออนไลน์รวม 13 เรื่อง ของวันศุกร์ 13 มาให้อ่านกัน

1. บางตำราเชื่อว่าอาถรรพ์ศุกร์ 13 มาจากตำนานของ "ชาวนอร์ส" ที่อาศัยอยู่ในแถบสแกนดิเนเวีย เป็นเรื่องของเทพ 12 องค์ มารวมจัดงานเลี้ยงในห้องโถงเอกีร์ (เทพแห่งมหาสมุทร) แล้วเทพแห่งไฟ "โลกิ" ซึ่งไม่ได้รับเชิญมาร่วมงาน จึงพังประตูรั้วเข้ามาในฐานะแขกคนที่ 13 และให้เทพฮอด (เทพแห่งความมืดมิด เพราะตาบอด) โยนกิ่งพืชกาฝากใส่บาลเดอร์ (เทพแห่งความสุขความยินดี) จนบาลเดอร์เสียชีวิตในที่สุด

2. เลข 13 ถือเป็นเลขแห่งความโชคร้าย ใครที่เกี่ยวข้องกับเลขนี้ก็เชื่อกันว่าจะมีแต่ความวิบัติในชีวิต ถือเป็นเลขที่สร้างความหวาดกลัวอย่างมาก จนมีคนคิดบัญญัติศัพท์เลยทีเดียว โดยเรียกคนที่หวาดกลัวอาถรรพ์ศุกร์ 13 ว่า Paraskevidekatriaphobia มาจากภาษากรีก 3 คำคือ วันศุกร์ (Paraskevi) สิบสาม (dekatreis) และความหวาดกลัว ( Phobos)

3. ในวันศุกร์ที่ 13 อเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงินเกือบพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากประชาชนจำนวนหนึ่งไม่กล้าเดินทางไปไหน ไม่กล้าทำอะไรไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

4. ความอาถรรพ์ของวันศุกร์ ขจรขจายไปทั่วโลก เช่น วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1869 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในอเมริกา วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1929 ตลาดหุ้นอเมริกาล่ม วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1939 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในออสเตรเลียวันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1945 เกิดสงครามทางอากาศครั้งสำคัญในนอร์เวย์ วันศุกร์ที่ 13 ปี ค.ศ. 1970 เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ พายุกระหน่ำมายังประเทศบังคลาเทศมีผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1978 เกิดการสังหารหมู่ในอิหร่าน 13 ศพ วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1982 อาร์เจนติน่ายกกองกำลังยึดเกาะฟอร์คแลนด์ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1989 บริษัทคอมพิวเตอร์ IBM เสียหายอย่างหนักเพราะโดยไวรัสคอมพิวเตอร์โจมตีระบบ วันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2006 พายุหิมะชื่อ “Aphid” พัดถล่มเมืองบัฟฟาโล่ รัฐนิวยอร์ค วันศุกร์ ที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2007 เกิดทอร์นาโดหลายลูกพร้อมกันในทางเหนือของเท็กซัส เป็นต้น

5. นอกจากเป็นตำนานอาถรรพ์ที่สร้างความเชื่อจนฝังรากลึกแล้ว หลายครั้งก็มีเหตุการณ์ที่ตอกย้ำถึงความอาถรรพ์อยู่เรื่อยๆ อย่างการเกิดอุบัติเหตุที่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีการทำสถิติเกี่ยวกับอัตราการเกิดอุบัติเหตุไว้ในแต่ละวันศุกร์ ซึ่งวันศุกร์ที่ 13 นั้นจะมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าวันอื่นๆ ถึง 52%

6. ความอาถรรพ์ที่ดูแล้วจะเห็นแต่เรื่องโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างโดยเฉพาะที่สร้างภาพยนตร์เรื่อง “ศุกร์ 13 ฝันหวาน” หรือ Friday 13 th ออกมาสร้างความหวาดกลัวนั้น ไม่ว่าจะทำภาคไหนก็มีคนสนใจแห่ไปดูกันอย่างไม่น่าเชื่อ

7. อีกเรื่องเล่าที่แปลงมาจากตำนานของชาวสแกนดิเนเวีย บอกว่า การที่มีคนที่ 13 มาร่วมรับประทานอาหารในโต๊ะเดียวกัน คนที่จะต้องตายเป็นคนแรกคือคนที่ลุกจากโต๊ะก่อนคนอื่น ไม่ใช่อย่างตำนานในข้อที่ 5

8. เหตุผลที่วันศุกร์เป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้น เพราะเชื่อกันว่านอกจากการที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนในวันศุกร์แล้ว ตามตำรายังบอกว่า วันศุกร์เป็นวันที่ใช้ประหารนักโทษ อีกทั้งยังถือเป็นวัน Tip Top Day หรือว่าวันปีศาจนั่นเอง ชาวประมงส่วนใหญ่จึงไม่นิยมออกทะเลในวันศุกร์กันเลย

9. ในสมัยโบราณชาวตะวันตกมีความเชื่อว่าห้ามตัดเล็บในวันศุกร์ เพราะแม่มดจะขโมยเล็บเอาไปเสกให้เจ้าของกลายเป็นแม่มด

10. ตามตำนานเรื่องพระเจ้าสร้างโลกบอกว่า เมื่อครั้งพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาใหม่ๆ อดัมและอีฟได้ละเมิดคำสั่งพระเจ้า กัดกินผลไม้ต้องห้ามของสวนอีเดนในวันศุกร์ จึงถูกพระเจ้าลงโทษให้ลงมาชดใช้กรรมในโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นวันศุกร์เช่นกัน

11. โรคความหวาดกลัวอาถรรพ์ศุกร์ 13 หรือ Paraskevidekatriaphobia มีการประเมินออกมาแล้วว่าคนส่วนใหญ่เป็นโรคนี้ถึง 21 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งพวกเขายังมีความเชื่อเรื่องนี้อยู่

12. ตามข้อมูลในวิกิพีเดียบอกไว้ว่า ถ้าเดือนใดก็ตามที่เริ่มต้นวันแรกเป็นวันอาทิตย์ เดือนนั้นจะมีวันศุกร์ที่ 13 เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ในแต่ละปีจะเกิดขึ้นไม่เกิน 3 ครั้ง

13. เมืองไทยก็ไม่น้อยหน้า หลายโรงแรมและตึกหลายแห่งก็ไม่มีชั้นที่ 13 เช่น โรงแรมอโนมา สวิสโฮเต็ล เป็นต้น เนื่องจากกลัวความอาถรรพ์ กระทั่งตัวลิฟต์หลายสำนักงานก็จะไม่มีปุ่มกดชั้นที่ 13 เช่นกัน

สุดท้ายคำพูดนี้มักจะใช้ได้เสมอ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่...!


เครดิต : http://www.oknation.net/blog/anakkumlangbai/2011/05/13/entry-3


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-02-25 18:58:02


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#60
25-02-2012 - 18:54:00

#60 Nebula Eva  [ 25-02-2012 - 18:54:00 ]





ความน่ากลัวของ ศุกร์ 13


      ในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา กรีก สเปน ฯลฯ เชื่อว่าศุกร์ที่ ที่ 13 เป็นวันแห่งความโชคร้าย �Black Fridays� ซึ่งมีคำศัพท์เฉพาะที่เรียกคนที่กลัวหมายเลข 13 ว่า Paraskavedekatriaphobia ซึ่งมาจากภาษากรีก 3 คำคือ ศุกร์, สิบสาม และความกลัว
ทำไมต้องศุกร์ที่ 13
เริ่มจากวันศุกร์ ในวันศุกร์นั้นเป็นวันไม่ดีนัก จากประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์พบว่าพระเยซูถูกตรึงกางเขนในวันศุกร์, วันศุกร์เป็นวันที่อีฟ(ภรรยาของอาดัมมนุษย์คู่แรกของโลก)เอาผลไม้ต้องห้ามให้อาดัมกิน, การสังหารกันเองระหว่างลูกสองของของอีฟและอาดัมก็เกิดขึ้นในวันศุกร์ เช่นกันคือ อาเบลและคาอิน, ในโนอาห์ก็เกิดน้ำท่วมโลก ซึ่งเหตุผลทั้งหลายนี้ทำให้คริสเตียนส่วนหนึ่ง(อังกฤษ เยอรมัน โปแลนด์ โปตุเกส)มองว่าวันศุกร์เป็นวันที่ไม่ดี



      ส่วน 13 ที่มีความเชื่อว่าเป็นเลขอัปมงคลของฝรั่งนั้นความจริงยังไม่มีใครหาต้นตอเจอ แต่เลข 13 มีประวัติว่ามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องโชคร้ายมายาวนาน ไล่ตั้งแต่ อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูร่วมเสวยกับสาวกมีคนร่วมรับประทานอาหารทั้งหมดรวมทั้งพระเยซูด้วยคือ 13 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นผุ้ทรยศต่อพระองค์(The Last Supper)
อีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นในยุโรปหลังสงครามครูเสดเป็นที่รวมศุกร์และวันที่ 13 ไว้รวมกัน เหตุการณ์วันนั้นเป็นการรวมบรรดาอัศวินที่ไปรบเพื่อศาสนากลับมาแล้วมีอำนาจมากจนทำให้ศาสนาจักรหาทางกำจัด ในปี ค.ศ.1307 ฝรั่งเศสสมัยกษัตริย์ฟิลิปที่ 4 เป็นวันทำการจับกุมอัศวินเหล่านั้นครั้งใหญ่ที่สุด ข้อหาเป็นคนนอกรีตซึ่งเป็นข้อหารุนแรงมากในขณะนั้น หลายคนถูกนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อของชาวนอร์เวย์เชื่อว่าเลข 13 เป็นเลขอัปมงคลเนื่องจากตามตำนานของพวกเขาเล่าถึงเกี่ยวกับเทพ 12 องค์ มารวมกันจัดงานเลี้ยงในห้องโถงของเอกีร์ เทพแห่งมหาสมุทร จู่ๆ มีเทพที่ไม่รับเชิญคือ เทพแห่งไฟที่ชื่อ โลกิ เข้ามางานเลี้ยง และไม่เพียงบุกเข้าไปเท่านั้นยังใช้ธนูยิงเทพบาล์เดอร์ เทพแห่งความสุข จนบาลเดอร์สิ้นลมหายใจตายไปในทันที ทำให้โลกต้องตกอยู่ในความมืดมิดและความเศร้าสลดไปทุกหนแห่ง
ศตวรรษที่ 18 มีการบันทึกเอาไว้ว่า ชาวอังกฤษเชื่อกันว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คน 13 คนมานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันแล้ว คนที่ลุกจากโต๊ะไปเป็นคนแรกจะเป็นคนแรกที่ต้องตาย
นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังบอกอีกว่า คนทั่วไปเชื่อว่าเลขที่ 123 เป็นเลขไม่ดีนั้นมาจากความเชื่อว่าเลข 12 เป็นเลขที่สมบูรณ์นั้นเอง เช่นหนึ่งปีมี 12 เดือน,ราศีมี 12 ราศี, เทพเจ้ากรีกมี 12 องค์, ชนเผ่าอิสราเอลมี 12 ชนเผ่า และเลข 13 คือเลขที่บ่งบอกถึงความไม่ลงตัวเหมือนเลข 12 ทำให้เลข 13 จึงเป้นส่วนเหินเสมอ


ความนี้มาดูเรื่องจริงบ้าง

      จากประวัติศาสตร์เราพบว่ามีเหตุการณ์ไม่ดีในประวัติศาสตร์อยู่เยอะ ที่เกี่ยวข้องกับศุกร์ที่ 13 และนี้คือส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่ว่านั้น
วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1869 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1929 ตลาดหุ้นอเมริกาล่ม
วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1939 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในประเทศออสเตรเลีย
วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1945 เกิดสงคราทางอากาศครั้งสำคัญในนอร์เวย์,ฮอลลีวูดเกิดการประท้วงของสหภาพแรงงานในโรงถ่ายภาพยนต์วอร์เนอร์ การประท้วงลุกลามและรุนแรงจนเกิดการนองเลือดขึ้น
วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1970 เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ พายุกระหน่ำมายังประเทศบังคลาเทศมีผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก
วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1978 เกิดการสังหารหมู่ในอิหร่าน
วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1982 อาร์เจนติน่ายกกองกำลังยึดเกาะฟอร์คแลนด์ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1989 บริษัทคอมพิวเตอร์ IBM เสียหายอย่างหนักเพราะโดยไวรัสคอมพิวเตอร์โจมตีระบบ
วันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2006 พายุหิมะชื่อ �Aphid� พัดถล่มเมืองบัฟฟาโล่ รัฐนิวยอร์ค
วันศุกร์ ที่ 13 เมษายน 2007 เกิดทอร์นาโดหลายลูกพร้อมกันในทางเหนือของเท็กซัส
      ในวางสารการแพทย์ของอังกฤษฉบับตีพิมพ์ ค.ศ.1993 รายงานว่าวันศุกร์ที่ 13 จะมีอุบัติเหตุทางการจราจรมากกว่าวันอื่นๆ ถึง 50 กว่าเปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นในโครงการอพอลโล 13 ของนาซ่า แม้ไม่เกิดขึ้นในวันศุกร์ก็เถอะ ยายอวกาศถูกปล่อยจากโลกถึงดวงจันทร์เมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ.1970 ก็เริ่มเกิดเหตุขัดข้องหลังจากยานเดินทางออกไปพ้นจากแรงดึงดูดของโลกแล้วสองวัน ทำให้ถังเก็บออกซิเจนกับระบบไฟฟ้าหลักที่เรียกว่า Sarvice Module เสียหายอย่างหนักจนต้องสละส่วนนั้นทิ้งไป คงเหลือแต่ยานควบคุมที่จะแล่นลงสู่ดวงจันทร์และนักบินอวกาศต้องเอาชีวิตรอดถึง 5 วันในการคอยจังหวะที่จะเดินทางกลับบ้าน และรอดตายอย่างปาฏิหารย์และปลอดภัยทุกคน

      นอกจากนี้องค์กรนาซ่าพบดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งชื่อ 2004 MN4 ซึ่งเป็นไปได้ 1 ใน 60 ที่อาจพุ่งชนโลกเมื่อ ศุกร์ ที่13 เมษายน ปีค.ศ.2029 ซึ่งการชนของมันอาจทำให้โลกหายนะได้(ส่วนรายละเอียดนั้นติดตามชมหายนะโลกแบบเวอร์ๆ ที่กำลังเป็นเรื่องจริงเร็วๆ นี้)
นอกจากนี้นักจิตวิทยายังพบว่า มีผู้เชื่อถือและคิดว่าศุกร์ที่ 13 โชคร้ายมากถึง 17 ล้านคน ใในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 � 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน
และนี้คือศุกร์ที่ 13 ในอนาคตครับ ไปดูว่ามันมีเดือนอะไรบ้างที่เกิด ศูกร์ที่ 13
ค.ศ. 2009 กุมภาพันธ์ มีนาคม และพฤศจิกายน
ค.ศ. 2010 สิงหาคม
ค.ศ. 2011 พฤษภาคม
ค.ศ. 2012 มกราคม เมษายน และกรกฎาคม
ค.ศ. 2013 กันยายนและธันวาคม
ค.ศ. 2014 มิถุนายน
ค.ศ. 2015 กุมภาพันธ์ มีนาคม พฤศจิกายน
ค.ศ. 2016 พฤษภาคม
ค.ศ. 2017 มกราคม และตุลาคม

เครดิต : จากต่วนตูนพิเศษ ฉบับที่ 396 ตุลาคม 2550 cammy ดัดแปลง+


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-02-25 19:03:46


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 26th April 2024 06:13

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ