quote :
หลังจากปล่อยผีญี่ปุ่นมาโลดแล่นกระทู้เมื่อวาน วันนี้มาถึงคิวของผู้ที่จะตัดสินสรรพสัตว์ในโลกหลังความตายดีกว่าค่ะ
ประวัติพญายมราช
ตำนานท้าวพญายมราช (พระยม)
ท้าว พญายมราช หรือ พระยม ในเทวตำนานยุคต้น ท้าวจตุโลกบาลแห่งทิศทักษิณ กล่าวไว้คือพระยม เป็นองค์เดียวกัน มีลักษณะใบหน้าดุดัน พระวรกายสีแดงทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ พระหัตถ์ขวาถือบ่วงยมบาศก์(บ่วงบาศก์ที่ใช้จับมัดวิญญาณทั้งหลาย) พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้ท้าวยมทัณฑ์ ทรงกระบือเป็นพาหนะ มีอิทธิฤิทธิ์มากทำหน้าที่พิพากษาและปกครองดวงวิญญาณทั้งหลายในนรกภูมิ มีบริวารคือ ยมฑูต หรือ นายนิรยบาล มีหน้าที่นำวิญญาณทั้งหลายไปยังสำนักพญายม และลงโทษแก่ดวงวิญญาณในนรก
ซึ่ง บริวารท้าวพญายมราชที่คนไทยรู้จักดีมีด้วยกัน ๒ องค์ ได้แก่ พระกาฬไชยศรี และ เจ้าพ่อเจตตคุปต์ ซึ่งมีรูปเคารพอยู่ที่ศาลหลักเมือง ทำหน้าที่จดชื่อและจับวิญญาณชั่วร้ายที่จะมารบกวนบ้านเมือง ท้าว พญายมราช เป็นเทวดาที่มีการกล่าวถึงในตำนานของทุกชาติพันธุ์ภาษา ของทุกวัฒนธรรมทั่วโลก ต่างกันเพียงการเรียกนามที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาษาเท่านั้น ส่วนหน้าที่และอำนาจนั้นมีความคล้ายคลึงกัน ตำนานลัทธิข้างจีนฝ่าย มหาญาน กล่าวว่า พญายมเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง
ตำนานท้าวพญายมราช มีการกล่าวถึงกำเนิดไว้หลากหลาย อาจเป็นเพราะพญายมเป็นตำแหน่งเทวราชผู้ปกครองยมโลก มีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามมติของเทวสภา หรือบารมีที่สั่งสมมาอย่างเหมาะสมทำให้ไปเกิดเป็นท้าวพญายมราช จากเทวตำนานในยุคต้นที่กล่าวว่าท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ พระยม
ด้วย ในยุคต้นที่ยังไม่มีวิญญาณใดที่เหมาะสม ท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ ท้าววิรุฬหก ทรงเป็นเทวกำเนิดจึงต้องรับภาระในตำแหน่งพญายม หรือ พระยม ซึ่งก็มีตำนานได้กล่าวไว้ว่า บริวารของพญายมคือ ยมฑูต ก็ คือกุมภัณฑ์ พวกหนึ่งนั่นเอง แต่เมื่อมีมนุษย์มากขึ้นสั่งสมบารมีหรือมีความเหมาะสมย่อมได้รับการสถาปนา ให้ดำรงตำแหน่ง
ท้าวพญายมราช องค์ปัจจุบันในอดีตชาติก่อนที่ท่านจะได้รับสถาปนาเป็นท้าวพญายมราชนั้น ท่านเป็นมนุษย์ในครั้งก่อนพุทธกาล ในยุคที่ยังมนุษย์อยู่กันเป็นชุมชนยังไม่ใหญ่นัก ซึ่งท่านเป็นหัวหน้าชุมชนในหมู่บ้านเป็นผู้มีวิชาความรู้ เมื่อเกิดเหตุความไม่สงบขึ้นในชุมชนหมู่บ้านท่านเป็นผู้นำปราบปรามแก้ไข และต้องตัดสินพิพากษา
ครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ฆ่ากันตายในหมู่บ้าน ที่ท่านดูแลอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าเป็นผู้กระทำด้วยเกรงกลัวความผิด เพราะโทษนั้นหนักถึงกับต้องประหารให้ตายตกตามกันคือชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ท่านในฐานะผู้ปกครองดูแลเมื่อสอบสวนแล้วไม่มีผู้ยอมรับผิด จึงได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาเสกแป้งฝุ่นแล้วซัดออกไปก็จะปรากฎรอยเท้า ผู้กระทำผิด
บันทึกคำทักท้วง
การปฏิบัติหน้าที่ ของพญามัจจุราชและคณะ
ผศ.พระครูสุนทรธรรมโสภณ (วิเชียร ปญฺญาวุฑฺโฒ)
๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๘
ความนำ ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจ หรือข้อตกลงเบื้องต้นกับผู้อ่านก่อนว่า ผู้เขียนได้เขียนในขณะที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มิได้ละเมอเพ้อฝัน หรือสติฟั่นเฟือนวิกลจริตผิดปกติโดยประการทั้งปวง แต่มีแรงบันดาลใจจากการมรณะภาพของพระอาจารย์มหามังกร ปัญญาวโร แห่งวัดภูหินดัง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ผู้เป็นเสมือนอาจารย์ที่เคยสั่งสอน ให้ข้อคิดเตือนสติในยามที่ผู้เขียนมีแนวคิดและพฤติกรรมเฉไฉออกนอกความถูกต้องดีงาม ท่านเป็นแบบอย่างแห่งจริยะความประพฤติ ท่านเป็นเพื่อนร่วมงาน ที่ทำงานร่วมแล้วมีความอบอุ่นใจ มีความสุขใจ ท่านคอยแนะแนวการทำงานอย่างมีระบบ วางแผนงานอย่างสุขุมรอบคอบ มีการติดตามประเมินงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว ท่านเป็นเพื่อนรุ่นพี่ ที่รักและห่วงใยเอื้ออาทรต่อน้อง คอยให้กำลังใจในการทำงานด้วยดีเสมอมา ซึ่งความจริงคุณลักษณะตามที่กล่าวมาแล้วนี้ ท่านได้ใช้กับเพื่อน กับรุ่นน้องและกับศิษย์ ตลอดทั้งกับประชาชนทุก ๆ คนไม่เพียงผู้เขียนเท่านั้น เมื่อท่านมาด่วนจากไปแบบที่เราไม่คาดคิดว่าจะรวดเร็วขนาดนี้ และเป็นตัวแทนแห่งความรู้สึกนึกคิดของผู้พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ที่เคารพ และจากสิ่งที่หวงแหนทั้งมวล ฉะนั้นการเขียนคำทักท้วงการปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชในครั้งนี้เป็นเพียงการระบายความรู้สึกนึกคิดอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการเริ่มวิธีคิดแบบทวนกระแส เพื่อสนองกระแสความรู้สึกให้รู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันกับพวกที่ประสบกับความพลัดพรากแล้วชวนกันคิดตามกระแสธรรม ตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา
บันทึกคำทักท้วงการปฏิบัติหน้าที่ ข้าแต่พญามัจจุราชผู้เป็นใหญ่ ผู้เป็นเจ้าแห่งความตาย ข้าพเจ้าและคณะ มีความเคลือบแคลงสงสัย ในการปฏิบัติหน้าที่ของท่านและคณะ ต้องการทราบความจริง และขอทราบความกระจ่างชัด ถึงระบบระเบียบ หลักการและเหตุผลในการปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชและคณะ จึงต้องการให้ทบทวนการปฏิบัติหน้าที่เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาหลังจากได้ตริตรองพิจารณาด้วยเหตุและด้วยผล ตรวจสอบสภาพความเป็นจริง ตลอดทั้งเหตุผลความจำเป็นแล้ว จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชและคณะนั้น เสมือนเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไปโดยปราศจากเหตุผลและความจำเป็น ไม่มีความสอดคล้องกับความเป็นจริงของบุคคลและสถานที่
ข้าพเจ้ามีความสงสัยและขอกล่าวหาว่า พญามัจจุราชและคณะได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการเลือกปฏิบัติ หลายครั้งพวกข้าพเจ้าเหล่ามวลมนุษย์ได้ใคร่ครวญพิจารณารอบคอบแล้วเห็นว่า บางคนยังไม่สมควรที่จะต้องเอาชีวิตเขาไป ท่านพญามัจจุราชกลับส่งทหารและบริวารมาไล่จับไปโดยเร็วและง่ายดาย แต่ขณะเดียวกันมีบางคนที่อยู่อย่างไร้ค่า แถมยังก่อความทุกข์ความเดือดร้อนให้คนอื่น ก่อปัญหาให้กับสังคม ข่มเหงรังแกรีดนาทาเร้นเพื่อนมนุษย์ มีพฤติกรรมที่หลอกลวงต้มตุ๋นเพื่อนมนุษย์ เช่น ครองเพศเป็นพระสงฆ์แต่ความประพฤติเป็นมหาโจรปล้นศรัทธา คอร์รับชั่นความเชื่อของชาวบ้าน เป็นการทุจริตศรัทธาของประชาชน บ้างครองเพศเป็นพระแต่จิตใจเป็นยักษ์เป็นมารที่มีแนวโน้มากขึ้นทุกวันในสังคมมนุษย์ อย่างพวกที่ผลิตอาวุธออกมาเข่นฆ่า ยกกำลังทหารพร้อมด้วยอาวุธนานัปการไปยึดครองประเทศอื่น ไปทำลายล้างผู้คน ไปปล้นสะดมทรัพยากรธรรมชาติของประเทศอื่น ไปเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินข่มเหงรังแกสารพัด เข่นฆ่าผู้คนล้มตายไปมามาย พญามัจจุราชกลับเมินเฉยปล่อยให้กลุ่มบุคคลประเภทนั้นลอยนวล พญามัจจุราชให้กฎเกณฑ์เข้าไปดำเนินการในเอาชีวิตของผู้คนอะไร ทำไมไม่ยึดประโยชน์สุขที่จะเกิดแก่มหาชน ขณะนี้พวกข้าพเจ้ากำลังรวบรวมหลักฐาน ในการปฏิบัติหน้าที่อันดูเหมือนที่ไร้ซึ่งเหตุผลเหล่านั้น เพื่อดำเนินการประท้วงและให้ทบทวนในการปฏิบัติหน้าที่ หากไม่สามารถชี้แจงเหตุผลให้กระจ่างชัดจนเป็นที่พอใจของพวกข้าพเจ้าเหล่ามนุษย์แล้ว ในขั้นตอนต่อไปจำเป็นต้องดำเนินการยื่นเรื่องเพื่อถอดถอนพญามัจจุราชและคณะ ในฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นการเลือกละเว้นการปฏิบัติ หรือไม่ ขอให้พญามัจจุราชโปรดได้ชี้แจงเหตุผลในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะบางกรณีมาจับในขณะที่ทำงานอันเป็นประโยชน์สุขต่อสังคม บางคนมียศมีตำแหน่งใหญ่โตแล้วใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางมิชอบ ใช้ไปในทางเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์ของผู้อื่น บางคนมีกำลังแข็งแรงก็ใช้กำลังที่ตนมีนั้นไปก่อกรรมทำเข็ญ ไปปล้นไปจี้ ไปเบียดเบียนคนอื่นก่อความปั่นป่วนเดือดร้อนให้กับสังคมบ้านเมือง คือ”ประเภทมีชีวิตอยู่ก็วุ่นวาย ตายไปคนก็สมน้ำหน้า” แบบนี้ก็ควรตาย ขอให้พญามัจจุราชทำงานโดยใช้หลักของนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ มองในมิติเหตุที่จะตกกับสังคมโดยรวมเป็นที่ตั้งเพียงอย่างเดียว ดัง กรณี ต่อไปนี้
๑. มาจับไปในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เพื่อมวลมนุษยชาติ ในฐานะเป็นคนของประชาชน ถือได้ว่ากำลังอยู่ระหว่างทำการบำบัดความทุกข์บำรุงสุขทางใจของมนุษย์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และมีความตั้งใจในการทำงาน ตั้งใจในการทำหน้าที่ของความเป็นพุทธบุตร สมตามที่ได้กล่าวปฏิญาณว่าจะมอบกายถวายชีวิต จะยอมเป็นทาสพระพุทธ พระธรรมและสงฆ์ จะกระทำทุกอย่างด้วยความจงรักภักดีต่อพระพุทธ พระธรรมและสงฆ์ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และก็กระทำตามที่ได้กล่าวปฏิญาณไว้อย่างมั่นคงด้วยดีอย่างสม่ำเสมอ
๒. บางคนอายุยังน้อย เป็นวัยที่กำลังทำงาน และเป็นการทำงานที่เป็นไปเพื่อความสุขของมหาชน ที่สำคัญเพราะมีพระภิกษุน้อยรูป เป็นบุคคลน้อยคนในสังคมมนุษย์ปัจจุบันที่มีวิธีคิดที่เข้าถึงรากฐานของวัฒนธรรมของความเป็นสงฆ์ คือ ความคิดเพื่อส่วนรวม เพื่อความสุขความเจริญของส่วนรวม นั่นคือวัฒนธรรมของสังคมสงฆ์ เพราะการกระทำที่เป็นไปเพื่อหมู่คณะ เป็นระบบความคิดที่เป็นสังฆะโดยแท้ หรือที่เรียกว่าจิตสาธารณะ คือความรู้สึกที่เห็นคุณค่าของส่วนรวม ทำงานเพื่อความสุขของส่วนรวม
๓. บางทีความกระทบกระเทือนทางร่างกายเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่พอแก้ไขเยียวยาได้ คือถ้าเป็นรถ เป็นเรือ หรือเป็นวัตถุก็พอซ่อมได้ ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะทุบทิ้งทั้งคัน ทุกทิ้งทั้งร่างกาย เพื่อให้เปลี่ยนสถานภาพทางร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาแบบมักง่ายแบบสุกเอาเผากิน ของพญามัจจุราชและคณะอย่างเห็นชัดเจน
มาตรการสำหรับปฏิบัติการที่เร่งด่วน ๑. ยื่นเรื่องเพื่อประท้วงและให้ทบทวนในการปฏิบัติหน้าที่ และอาจถึงขั้นยื่นเรื่องเพื่อขอถอดถอนพญามัจจุราชและคณะให้พ้นจากตำแหน่ง หากเห็นว่ามีความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นการเลือกละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะพวกเราเหล่ามนุษย์เห็นว่ามีความไม่ชอบมาพากลในการปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชและคณะ
๒. หลักการและเหตุผล กฎระเบียบ กฎกติกาที่พญามัจจุราชใช้ดำเนินการในการจัดการกับมนุษย์มาโดยตลอดนั้น เป็นกฎระเบียบที่อาจไม่ทันสมัย ไม่มีความสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของบริบทต่าง ๆ ทางสังคมในยุคปัจจุบัน จึงเห็นสมควรให้มีการทบทวนกฎระเบียบ และระเบียบวิธีการปฏิบัติของพญามัจจุราชและคณะให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง อาจถึงต้องยกเลิกกฎบางข้อที่ไม่ทันสมัย
๓. พวกเราเหล่ามนุษย์ต้องเร่งรีบหาวิธีการ จึงได้มีการระดมสมอง(Brain storming) เปิดเวทีแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อหามาตรการในการปฏิบัติร่วมกัน และมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า”จะเร่งรีบดำเนินการ หากเห็นว่ามีสิ่งใดที่ควรกระทำ จะเร่งทำความดี โดยการคิดดี พูดดีและทำดีอย่างเร่งด่วน โดยจะไม่พัดวันประกันพรุ่ง เพื่อมิให้พญามัจจุราชและคณะ เคลื่อนไหว และดำเนินการใด ๆ ได้ทัน พวกข้าพเจ้าจะรีบกระทำก่อนเพื่อมิให้พญามัจจุราชตั้งตัวได้ทัน
๔. ตั้งหน่วยเฝ้าระวัง หน่วยนี้ทำหน้าที่เคลื่อนที่เร็วในการเตือนภัย เพื่อให้ความรู้กับเพื่อนมนุษย์ เตือนสติในการเตรียมความพร้อม ในสิ่งที่ทำ คำที่พูด อารมณ์ที่นึกคิด เพื่อให้เหล่าเพื่อนมนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่อย่างผู้ไม่ประมาทในเพศ วัย และฐานะ ให้เป็นผู้มีความรู้ตัวทั่วพร้อมมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา เพราะพญามัจจุราชจะทำงานแบบตรงไปตรงมาแบบไม่เกรงใจใครใด ๆ ทั้งสิ้น
๕. ความจริงหน่วยงานหรือองค์กร ตลอดทั้งบุคลากรที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงในการทำหน้าที่เตือนภัย ให้สติกับประชาชน หน่วยงานแรกได้แก่วัดหรือพระสงฆ์ในฐานะผู้นำด้านจิตวิญาณ ประการแกรพระสงฆ์ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ วางตัวให้เหมาะสมกับสมณภาวะแล้วเตือนค่อยให้ประชาชนเป็นผู้มีสติไม่ประมาทในเพศ วัย ฐานะตามด้วย และหน่วยงานและบุคลากรที่ควรทำหน้าที่อันทรงคุณค่านี้ คือสถานศึกษา ข้าราชการ ผู้ซึ่งถือว่ามีการศึกษา อบรมและมีการพัฒนามาดี เพราะโดยหลักแล้วผู้มีการศึกษา ผู้ที่ได้รับการพัฒนามาแล้วต้องเป็นที่ช่วยเหลืออนุเคราะห์คนอื่น ให้เหมือนพี่ต้องช่วยเหลือน้อง การศึกษาและการพัฒนาหากสร้างให้เกิดจิตสำนึกอย่างนี้ ถือว่าสุดยอดของการพัฒนา แต่นี้เพราะความผิดพลาดอย่างมหันต์ ในการจัดการศึกษาและการพัฒนา เพราะผู้ที่ได้ชื่อว่ามีการศึกษาและมีการพัฒนากลายเป็นผู้ที่ก่อปัญหา ก่อความเดือดร้อนให้สังคมเสียเอง ประเด็นนี้ จึงเป็นเด็นทีท้าทายความรู้ความสามารถของหน่วยเฝ้าระวังเตือนภัยให้สติเป็นอย่างมาก
กฎแห่งความเป็นจริง ความจริงคำว่า “พญามัจจุราช”นั้นเป็นเพียงคำศัพท์ที่ใช้แทนกฎธรรมชาติ ที่ใช้แทนกฎแห่งความตายของสรรพชีวิต ในบรรดาชาวพุทธทั้งหลายคงคุ้นเคยกับคำสอนที่เกี่ยวกับความตาย เป็นต้นว่า ”ความเป็นมันไม่ยั่งยืน ความตายมันยั่งยืน เราต้องตายเป็นแท้ ความเป็นของเรามีความตายเป็นที่สุด และความเป็นของเราไม่เที่ยง แต่ความตายของเรามันเที่ยง” เหล่านี้เป็นต้น
พระพุทธศาสนาสอนให้รู้เท่าทันกับความเป็นจริง ให้เผชิญกับความเป็นจริงตามที่มันเป็น โดยเฉพาะความจริงที่เกี่ยวกับความตาย เพราะความตายไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีนิมิต ไม่ลางบอกเหตุใด ๆทั้งสิ้น และกฎอันนี้เป็นกฎที่ให้ความยุติธรรมแก่ทุกคนในโลกนี้อย่างเท่าเทียมกัน อย่างพระพุทธองค์สอนให้อยู่กับความไม่ประมาททุกลมหายใจ พระองค์สอนระลึกถึงความตายทุก ๆ วินาที สอนให้เผชิญกับความตาย ในฐานะที่ความตายเป็นกฎความจริงอย่างหนึ่ง เพราะหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาสอนให้รู้เท่าทันกับความจริง ตามสภาพของสิ่งนั้นเป็น เมื่อเรามาเกิดอยู่ในโลกนี้ เมื่อความจริงของโลกนี้เป็นอย่างนี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือมาศึกษาโลกนี้ให้รู้ความจริง ตามสภาพที่โลกเป็น
มองความตายสองมิติ ประการแรก มองความตายที่สิ้นสูญ คือหมดไปสิ้นไป ในฐานะที่มนุษย์ปุถุชน คนหนาด้วยกิเลส จิตใจยังไปด้วยความรัก ความโลภ ความโกรธและความหลง ยังมีความดีใจ เสียใจ ยังอ่อนไหวไปตามกระแสของอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ กล่าวคือยังออกไหวไปตาม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ หากพูดง่าย ๆ แบบฟังแล้วเข้าใจง่าย ๆ ในฐานะที่กำลังโดนคลื่นของโลกธรรม พัดพาไป แล้วจมปลักลงในห้วงลึกแห่งอวิชชา คือ ความไม่รู้ พระพุทธศาสนาจึงสอนให้เกิดความรู้ ตามหลักของไตรสิกขา คือศีล สมาธิและปัญญา
ความตายในมิติของความสิ้นสูญ ความหมดไปสิ้นไปนี้ หากคิดตามแล้วเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะไม่สามารถรอดพ้นจากความตายไปได้ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด ๆ จะขึ้นเขาลงห้วย ใต้พื้นน้ำ ใต้พื้นดิน เข้าหลบในถ้ำและหุบเขา แม้จะไปหลบซ่อนบนฟากฟ้าเวหาหาว ไม่มีทางหลบได้โดยประการทั้งปวง นี้มองในมิติด้านสถานที่ ต่อมามองในด้านฐานะเพศ ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ไม่อาจมีข้อยกเว้น กฎนี้ให้สิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิให้เหนื่อยเปล่า หวังว่านักสิทธิมนุษยชนคงมีความพึงพอใจกับกฎอันนี้ ส่วนวิธีการปฏิบัติต่อผู้ตายนั้นเอาไว้พูดกันในโอกาสอื่น อย่างอยู่ในเพศสมณะนักบวช นักพรต เป็นพระ เถน เณร ชี ก็อย่างนึกว่าตนจะรอดพ้นจากความตายได้ แม้ที่สุดเป็นเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ก็ตกอยู่ภายใต้กฎอันเดียวกันนี้อย่างเท่าเทียมกัน
เมื่อมองในฐานะเพศไปแล้ว ตอนนี้มามองต่อ ในฐานะวัย เช่น วัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยทำงาน วัยเฒ่าแก่ ชรา ก็ตายให้เห็นในทุก ๆ วัย ขอร้องไว้ไม่ได้ จะจ่ายสินบาทคาดสินบนไม่ได้ เช่น จะไปขอร้องว่า ลูกกระผมยังเล็ก ยังอายุน้อย ขอร้องเถิดเจ้าข้า อย่าพึ่งให้ตายเลย ไม่ได้ผล หรือขอร้องว่าท่านแก่ชราแล้ว ปล่อยท่านเถิดอย่ามารบกวนท่านเลย ท่านเป็นแม่เป็นพ่อคนเดียวของกระผม ของดิฉัน เคารพรักท่านมาก ขอไว้หน่อยเถิด อย่าให้ท่านต้องตายเลย ก็ไม่เป็นผล คือขอไว้ไม่ได้ ดังคำกลอนบทหนึ่ง ที่พระอาจารย์มหามังกร ปัญญาวโร ได้ประพันธ์ไว้ ความว่า
แก่เจ็บตาย คนทั้งหลาย จะต้องพบ
จะหลีกหลบ ซ่อนเร้น เป็นไร้ผล
จะแสนสวย มั่งมี หรือยากจน
ในที่สุด ทุกคน จะต้องตาย
ความแตกต่างมนุษย์จึงไม่ได้อยู่ที่ตายหรือไม่ตาย หากแต่อยู่ที่ตายแบบไหน ตายแล้วเหลืออะไรไว้ เป็นอนุสรณ์แก่ชาวโลก หรือจะตายแบบเขาสมน้ำหน้า สาธุการหรือตายแบบคนเขาอาลัยหา ตายแบบคนเขาระลึกถึงคุณความดี นำเอาข้อคิดคำสอนมาเป็นเครื่องเตือนสติ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต คือจะต้องตายทั้งทีต้องตายแบบมีดีเหลือไว้
วัวควายเอย เจ้าต่ำซ้ำ เป็นสัตว์
คราวิบัติ เนื้อเขาหนัง ยังขายได้
แต่มนุษย์ เมื่อวิบัติ คือตายไป
เอาไปขาย ครึ่งสตางค์ ยังว่าแพง ตามตลาดเราเห็นแต่เขาขายเนื้อสัตว์ เนื้อปลา ขายหนังสัตว์ ขนสัตว์ แต่ไม่เคยมีที่ไหนเขาเอาเนื้อนางสาวไทย นางสาวจักรวาฬที่ตายแล้วไปวางขายตามตลาด ว่านี้เนื้อสันนางไทย เนื้อสันนางสาวจักรวาฬเมื่อ พ.ศ.นั้น พ.ศ.นี่ ขายในราคาย่อมเยา หรือโฆษณาว่า นี้เนื้อนางสาวไทยแดดเดียว เนื้อนางสาวจักรวาฬแดดเดียวช่วยซื้อหน่อย แม้มีคนขาย ก็คงไม่มีคนซื้อแน่นอน ไม่เชื่อก็ลองดู ผู้เขียนคนหนึ่งละไม่ขอเล่นด้วย
เพราะคุณค่าของความเป็นคนอยู่ที่คุณความดี อยู่ที่คุณประโยชน์ที่ได้สร้างสมไว้ด้วยการกระทำทางกาย ทางวาจาและทางจิตใจ ประเด็นนี้มีความสำคัญ จึงอยากฝากไว้ให้เป็นข้อคิด
ประการที่สอง มองความตายที่ก่อให้เกิดความสร้างเสริม คือสร้างสติปัญญาที่รู้เท่าทันกับความเป็นจริงตามที่มันเป็น เพราะความจริงตามที่เป็นอยู่ คือ มันตายแบบไม่เลือกเพศ วัย ฐานะ และกาลเวลา จากประเด็นนี้เราต้องดำเนินชีวิตโดยความประมาท ต้องเป็นคนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา คือสร้างเสริมความเป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะ คือรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกขณะวินาที และต้องเร่งรีบทำความดีแบบไม่พัดวันประกันพรุ่ง รีบทำแบบไม่ให้ความตายขยับทัน แบบไม่ให้ความรู้ตัวทัน พอทำดีทางใดได้ต้องรีบทำก่อนทันที เช่น คิดดี พูดดี ทำดี เพราะความตายมันไม่มีในพรรษา นอกพรรษา ไม่หน้าร้อน หน้าฝน และหน้าหนาว อย่ารีรอเป็นอันขาด เพราะการมัวรีรอเป็นความประมาทอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อรู้และคิดได้อย่างนี้ จึงได้ชื่อว่ามองความตายแบบสร้างเสริม คือ สร้างเสริมสติปัญญา สร้างความรู้เท่าทันกับกฎแห่งความเป็นจริงหรือกฎธรรมชาติ(Nature Law ) เราในฐานะเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องอยู่ใต้กฎของธรรมชาติ ประเด็นสำคัญเราต้องรู้ต้องเข้าใจในกฎธรรมชาติ และปฏิบัติต่อกฎธรรมชาติตลอดทั้งการท่าทีความรู้สึกต่อกฎธรรมชาติอย่างถูกต้องเหมาะสม
สรุป ที่ผู้เขียนได้เสนอมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเสนอความเห็นแทนความรู้สึกผู้พลัดพรากที่กำลังประสบกับความโศกเศร้าเหงาซึม อย่างน้อยแนวคิดของผู้เขียนอาจเป็นเพื่อนในยามเศร้า ของผู้ที่ตกอยู่ในกระแสของความโศกซึมได้ เพื่อจะทุเลาความโศกซึมไปบ้าง แต่ที่สุดผู้เขียนพยามชี้ให้คิดถึงหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ทรงสอนถึงหลักความจริง สอนให้เข้าใจถึงกฎธรรมชาติที่ไม่มีข้อยกเว้นในเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ เพศ วัยและฐานะใด ๆ โดยประการทั้งปวง และพระองค์ตรัสสอนมิให้ตั้งอยู่ในความประมาท ให้ดำรงตนและดำเนินชีวิตอย่างมีสติตลอดเวลา และตำหนิผู้ที่ประมาทว่าเสมือนหนึ่งเป็นคนที่ตายแล้ว
ดังนั้นขอท่านผู้อ่านโปรดเรียนรู้เข้าใจในความเป็นจริงตามธรรมชาติ เรียนรู้ตนเองให้เข้าใจตนเอง เตือนตนด้วยตนเอง เอาชนะตนด้วยตนเอง แล้วเป็นที่ตนด้วยตนเอง ดำรงตนอยู่อย่างอิสระ โดยปราศจากการครอบงำของความโลภ ความโกรธและความหลง มีความเจริญรุ่งโรจน์ด้วยสติปัญญา แล้วจะเป็นผู้ที่ดำรงชีวิต และดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ในเพศ ไม่ว่าเพศหญิงและเพศชาย ไม่ประมาทในวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หนุ่มสาว เฒ่าแก่ ไม่มาทในฐานะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวย ยากจนเข็ญใจ มีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหนในที่สุดก็จะตกอยู่ในกฎแห่งความเป็นจริงตามธรรมชาติที่กล่าวมาแล้วเช่นกันทุก ๆ คน ขอท่านผู้อ่านทั้งหลายโปรดได้สังวรระวังตนเองให้มีสติ อย่าลืมพระราชดำริ ของพระพุทธองค์ทรงเตือนก่อนที่พระองค์จะปรินิพพานเพียงอึดใจเดียวว่า “ ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” นี่คือคำเตือนของบรมครูที่ทรงเตือนด้วยความเมตตา
quote :
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีชายชราคนหนึ่งต้องต่อสู้กับความยากลำบากมา ตั้งแต่หนุ่มจนแก่วันหนึ่งเข้าไปตัดฟืนในป่าเพื่อนำไป
ขายในเมืองเป็นการยัง ชีพระหว่างทางรู้สึกหนักและเหน็ดเหนื่อยเหลือกำลัง
เกิดความน้อยใจในโชคชะตาตนเองที่ต้องต่อสู้กับความยากจนมาเป็นเนิ่นนาน ชายชราจึงโยนมัดฟืนลงจากบ่าของตนพร้อมตะโกน
ด้วยเสียงอันแหบแห้ง “ข้าแต่พญามัจจุราช โปรดมาเอาชีวิตอันไร้ค่านี้ไปเสียที
ข้าไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว” เมื่อตะกี้เจ้าว่าอย่างไรนะ ข้าฟังไม่ถนัด” พญามัจจุราชปรากฎกายขึ้นแล้วย้อนถามชายชรา
“อ้อ..ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแต่อยากหาคนช่วยยกมัดฟืนใส่บ่าให้หน่อยเท่านั้น” กล่าวจบชายชราก็รีบแบกมัดฟื้นเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: คำพูดกับความจริงที่มนุษย์ต้องการนั้น อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน โดยเฉพาะคำว่าอยากตายกับความอยากจะตายจริงๆ นั้น ยิ่งเป็นละเรื่องกันเลยทีเดียว
เครดิต :
http://www.oknation.net/blog/sulfa/2011/05/08/entry-1