โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
รวมเรื่องลึกลับ ตำนาน และความหลอน [เลิกอัพกระทู้นี้ถาวร]
Nebula Eva
#161
09-03-2012 - 14:14:49

#161 Nebula Eva  [ 09-03-2012 - 14:14:49 ]





เทพโอลิมปัส


      เทพโอลิมปัส (The Olympians, Major gods) เป็นเทพที่อาศัยบนยอดเขาโอลิมปัส (Olympus) มีทั้งหมด 12 องค์

ซุส (Zeus) เป็นราชาของบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายและเหล่ามนุษย์บนโลก ซุสมีอาวุธเป็นอัศนีบาต

      เทพซูส (อังกฤษ: Zeus, /zus/) เป็นราชาแห่งทวยเทพ ผู้ปกครองเขาโอลิมปัส (Olympus) และเทพแห่งท้องฟ้าและฟ้าร้องของตำนานเทพปกรณัมกรีก สัญลักษณ์ประจำพระองค์คือสายฟ้า โคเพศผู้ นกอินทรี และต้นโอ๊ก นามของซีอุสแปลว่าความสว่างของท้องฟ้า
นามของพระองค์ในตำนานเทพปกรณัมโรมันคือเทพจูปิเตอร์ (Jupiter) และนามในตำนานอีทรูสแคนคือเทพไทเนีย (Tinia)
พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของโครนัส (Cronus) และรีอา (Rhea) ซึ่งเป็นเทพไททัน ในหลายๆ ตำนานกล่าวว่าพระองค์ได้สมรสกับเทพีเฮร่า (Hera) แต่ก็มีสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองดอโดน่า (Dodona) ที่อ้างว่าคู่สมรสของเทพซูสแท้จริงแล้วคือเทพีไดโอนี (Dione) นอกจากนี้มหากาพย์อีเลียด (Illiad) ยังกล่าวไว้ว่าเทพซูสเป็นพระบิดาของเทพีอโฟรไดต์ (Aphrodite) ที่กำเนิดจากเทพีไดโอเน่อีกด้วย เทพซูสมักมีชื่อเสียงในพฤติกรรมนอกลู่นอกทางเรื่องชู้สาวของพระองค์ ซึ่งยังรวมไปถึงความสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มนามแกนีมีด (Ganymede) ด้วยเช่นกัน พฤติกรรมของพระองค์ทำให้เกิดผู้สืบเชื้อสายอยู่หลายองค์และหลายคนด้วยกัน อาทิเช่น เทพีอาธีน่า (Athena) เทพอพอลโล (Apollo) และเทพีอาร์ทีมิส (Artemis) เทพเฮอร์มีส (Hermes) เทพีเพอร์ซิโฟเน่ (Persephone) เทพไดโอไนซัส (Dionysus) วีรบุรุษเพอร์ซีอุส (Perseus) วีรบุรุษเฮอร์คิวลีส (Hercules) เฮเลนแห่งทรอย (Helen) กษัตริย์ไมนอส (Minos) และเหล่าเทพีมิวเซส (Muses) ส่วนผู้สืบเชื้อสายที่เกิดจากเทพีเฮร่าโดยตรงได้แก่เทพเอรีส (Ares) เทพีเฮบี (Hebe) และเทพเฮฟเฟสตุส (Hephaestus) เทพีเอริส (Eris) และ เทพีไอไลธีเอีย (Eileithyia)


โพไซดอน (Poseidon) เทพเจ้าแห่งท้องทะเล สัญลักษณ์ของพระองค์คือ “สามง่าม” หรือ “ตรีศูล” เทพผู้เขย่าพื้นพิภพ ผู้บัลดาลให้เกิดพายุ บิดาแห่งม้า

โพไซดอน หรือ โพเซดอน หรือ โปเซดอน (อังกฤษ: Poseidon; กรีก: Ποσειδών; ละติน: Neptūnus เนปจูน) เทพเจ้าแห่งท้องทะเลและมหาสมุทร ผู้ปกครองดินแดนแห่งท้องน้ำ ตั้งแต่แหล่งน้ำจืด เช่น แม่น้ำ ลำคลอง จนถึงใต้บาดาล มีตรีศูลเป็นอาวุธ บางตำนานกล่าวว่ามีท่อนล่างเป็นปลา นอกจากนี้แล้วยังถือว่าเป็นเทพแห่งแผ่นดินไหว และเป็นเทพแห่งม้าด้วย
ตามตำนานเล่าว่า โพเซดอนเป็นบุตรของโครนัสกับรีอา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก 5 องค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพแห่งโอลิมเปียนทั้งสิ้น ได้แก่
เฮสเทีย เทพีแห่งเตาผิง ผู้ดูแลครัวเรือน
ดีมิเตอร์ เทพีแห่งธัญพืชและการเกษตร
เฮรา ชายาแห่งเทพซูส เทพีผู้คุ้มครองสตรีและการสมรส
ฮาเดส ผู้ครอบครองยมโลก
ซูส ผู้เป็นใหญ่ในสภาเทพแห่งโอลิมปัส
      รูปลักษณ์ของโพเซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือสามง่ามเป็นอาวุธ ซึ่งสามง่ามนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถดลบันดาลให้เกิดทะเลคลั่งหรือแผ่นดินไหวได้ ครั้งหนึ่งโพเซดอนเคยคิดที่จะโค่นอำนาจของซุส โดยร่วมมือกับเฮราและอะธีนา แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกซุสลงโทษ โดยการให้ไปสร้างกำแพงเมืองทรอยร่วมกับอพอลโลด้วยเช่นกัน
      โพเซดอนมีมเหสีองค์หนึ่งคือแอมฟิไทรท์ ซึ่งเป็นนีริอิด หรือบุตรสาวของ นีริอัสและดอริส โพไซดอนเห็นนางเต้นรำร่วมกับเหล่านีริอิดอื่นๆ จึงลักพาตัวนางไปเป็นชายาในดินแดนใต้สมุทร
      ชายาอีกองค์หนึ่งของโพไซดอนเป็นหญิงรับใช้ของอะธีนา คือ เมดูซ่า ก่อนที่จะถูกสาบให้มีผมเป็นงู เพราะหลงใหลในความงามของเมดูซ่า เมื่ออะธีนาทราบเรื่องจึงสาบเมดูซ่าให้เป็นปีศาจที่มีผมเป็นงู และเมื่อมองใครก็จะกลายเป็นหินไปหมด เมื่อเปอร์ซิอุสตัดศีรษะของเมดูซ่าแล้ว เลือดของเมดูซ่าที่กระเซ็นออกมา กลายเป็นม้าบินสองตัว คือ เพกาซัส (Pegasus) และ คริสซาออร์ (Chrysaor) ดังนั้นจึงถือว่า ทั้งเพกาซัสและคริสซาออร์เป็นลูกของโพเซดอนด้วย
      โพเซดอน มีพาหนะเป็นม้าน้ำเทียมรถ ที่มีส่วนบนเป็นม้าและท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งบางครั้งจะพบรูปโพเซดอนอยู่บนรถเทียมม้าน้ำนี้ขึ้นมาจากทะเล
      ในสมัยโบราณ ที่แหลมสุนิอ้อน ห่างจากกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซไม่มาก มีวิหารที่สร้างถวายแด่โพเซดอนอยู่


ดิมิเทอร์ (Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรรม การเก็บเกี่ยว

      ดิเมเทอร์ (Demeter) ตามชื่อกรีกหรือภาษาโรมันว่า ซีริส (Ceres) เป็นเทวีครองข้าวโพด ซึ่งหมายถึงการเกษตรกรรมนั่นเอง เจ้าแม่เดเมเทอร์มีธิดาองค์หนึ่งทรงนามว่า พรอสเสอะพิน (Proserpine) หรือ เพอร์เซโฟนี (Persephone) เป็นเทวีครองฤดูผลิตผลของพืชทั้งปวง เป็นธิดาของโครนัสและรีอา ซึ่งเป็นไททัน มีพี่น้องร่วม 5 คน ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพโอลิมเปียนทั้งนั้น ได้แก่ ซุส โพไซดอน ฮาเดส เฮร่า และ เฮสเทีย เดเมเทอร์ไม่ค่อยมีบทบาทในตำนานกรีกมากยกเว้นเรื่องความงามของนางที่ทำให้เกิดปัญหา สามีของนางมี 2 คน ได้แก่ โพไซดอน และ ซุส โพไซดอนเป็นบิดาของแอรีออน และ ซุสเป็นบิดาของพรอสเสอะพิน


เฮรา (Hera) ราชินีแห่งสวรรค์ เป็นทั้งพี่สาวของซุสและเป็นภรรยาด้วย เฮร่าเป็นเทพีแห่งการให้กำเนิดทารก การสมรส สตรี สัตว์ประจำพระองค์คือนกยูง

      ฮีรา หรือ เฮรา (อังกฤษ: Hera /ˈhɪərə/, /ˈhɛrə/; {{lang-el|Ήρα, Ήρη} }) เป็นมเหสีและเชษฐภคินี (พี่สาว) ของซูส พระนางเป็นเทพีแห่งหญิงสาวและชีวิตสมรส เป็นผู้ปกป้องสตรีที่แต่งงานแล้ว พระนางทรงประทับบนพระบัลลังก์ทองคำเคียงข้างซูสบนภูเขาโอลิมปัส และทรงพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ใส่พระทัยกับเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมของสวามี ฮีราได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเทพธิดาผู้มีพระกรใสกระจ่างดุจงาช้าง ในตำนานโบราณสัตว์ประจำองค์ของเทพีฮีราคือวัว แต่ในตำนานยุคใหม่นกยูงเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำพระองค์ และจะตามเสด็จอยู่ไม่ห่าง
      เทพีฮีราเป็นที่รู้จักกันดีในด้านของอารมณ์ดุร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อชายาองค์อื่นๆของซูส และบุตรที่เกิดจากชายาเหล่านั้น ไม่ว่าพวกนางจะเป็นเทพีหรือเป็นมนุษย์ก็ตาม ตัวอย่างของผู้ที่ถูกเทพีฮีราปองร้ายมีมากมาย เช่น เทพีลีโต มารดาของเทพอพอลโล่และเทพีอาร์ทีมิส เฮอร์คิวลิส ไอโอ ลามิอา เกรานา ซิมิลี มารดาของเทพไดโอนิซัส ยูโรปา เป็นต้น ก็จะเจอจุดจบแบบไม่สวยงาม


แอรีส (Ares) เทพแห่งสงคราม บุตรของ ซูส กับ เฮร่า สัตว์ประจำพระองค์คือเหยี่ยวและสุนัขมังกรไฟ (บางตำราว่าเป็นนกแร้ง) เทพองค์นี้มีเทพที่เป็นน้องสาวชื่อว่า อีริส เธอคือเทพีแห่งการวิวาท

      แอรีส (อังกฤษ: Ares /ˈɛəriz/) หรือที่ชาวโรมันเรียกว่า มาร์ส (Mars) เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม อาวุธ และชุดเกราะ และเป็นหนึ่งในสิบสองเทพแห่งโอลิมปัสด้วย
      แอรีส เป็นเทพแห่งการสงครามเช่นเดียวกับ อธีน่า แต่ทว่าอธีน่าจะได้รับการยกย่องและบูชามากกว่า เนื่องจากอธีน่าเป็นเทพีที่ใช้สติปัญญาวางแผนในการสู้รบมากกว่า ซึ่งได้รับการบูชาในฐานะเทพีแห่งสติปัญญาด้วย ผิดกับแอรีสซึ่งมักจะใช้ความดุดันและโหดร้ายในการสงครามมากกว่า ซึ่งโฮเมอร์ กวีเอกคนสำคัญของกรีกโบราณ ยังเคยเขียนถึงพระองค์ว่า เป็นเทพที่โหดร้ายและหยาบช้า
แอรีสเป็นบุตรของซีอุสมหาเทพและพระนางเฮรา มเหสีของซีอุส แอรีสเป็นเทพที่ชาวกรีกไม่นับถือบูชา เพราะถือว่าเป็นเทพที่โหดร้ายและมีเรื่องราวที่น่าอับอายเกี่ยวกับพระองค์เยอะ และถึงแม้จะเป็นเทพแห่งสงคราม แอรีสก็รบแพ้ในการสงครามหลายต่อหลายครั้ง ทั้งแก่มนุษย์กึ่งเทพเองอย่าง เฮราคลีสและกับอธีน่า เทพีแห่งสงคราม พี่น้องของพระองค์เอง
      แต่แอรีสเป็นที่นับถืออย่างมากของชาวโรมัน ซึ่งเป็นชนเผ่าที่โปรดปรานการสู้รบ ถึงกับแต่งให้แอรีสเป็นบิดาของโรมูลัส (Romulus) ผู้สร้างกรุงโรมเลยทีเดียว
      ในทางด้านชู้สาว พระองค์ลักลอบมีชู้กับเทพีอโฟรไดท์จนเป็นเรื่องราวใหญ่โตให้อับอายไปทั้งสวรรค์ และเป็นอพอลโล เทพแห่งดวงอาทิตย์ที่จับผิดและแก้ไขพฤติกรรมของทั้งคู่
      แอรีส เมื่อเสด็จไปไหน จะใช้รถศึกเทียมม้าฝีเท้าจัดมากมาย แสงเกราะและแสงศาตราวุธส่องแสงเจิดจ้าบาดตาผู้พบเห็น มีบริวารที่ติดสอยห้อยตามอยู่ 2 คนคือ ดีมอส (Deimos) ซึ่งแปลว่าความกลัว กับ โฟบอส (Phobos) แปลว่าความน่าสยองขวัญ บางตำนานก็กล่าวว่า ทั้งดีมอสและโฟบอสเป็นบุตรชายฝาแฝดของแอรีส และชื่อของทั้งคู่ก็เป็นรากศัพท์ของคำว่า ความตื่นตระหนก (Panic) และ ความกลัว (Phobia) และในทางดาราศาสตร์ แอรีสหรือมารส์ คือดาวอังคาร ดีมอส และ โฟบอส ก็ถูกตั้งเป็นชื่อของดวงจันทร์บริวารของดางอังคารด้วย
quote :
อีริส เทพีแห่งการวิวาท



อะพอลโล (Apollo) เทพเจ้าแห่งการทำนาย กีฬา การรักษาโรคภัย การดนตรี และ เป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ เป็นบุตรแห่ง ซีอุส และ เทพีเลโต (Leto) มีน้องสาวฝาแฝดชื่อ อาร์เทมิส (Artemis) อะพอลโล่มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คือ ต้นลอเรล Laurel สัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือนกกาเหว่าและห่าน เครื่องดนตรีประจำพระองค์

      อะพอลโล (อังกฤษ: Apollo, กรีก: Ἀπόλλων อพอลลอน) บุตรชายคนโตของมหาเทพซีอุส เป็นหนึ่งใน 12 เทพแห่งโอลิมปัส เป็นบุตรของซีอุส จอมเทพแห่งสวรรค์และนางเลโต เป็นเทพแห่งแสงสว่าง หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ รวมถึงเป็นเทพแห่งสัจจะและการดนตรีด้วย อพอลโลมีน้องสาวฝาแฝดชื่อ อาร์เทมีส หรือ ไดอาน่า (ในโรมัน) ซึ่งเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์คู่กัน อพอลโล เป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม มักเล่นดนตรีด้วยพิณ เชี่ยวชาญการใช้ธนู ในสงครามกรุงทรอย อพอลโลมีบทบาทเป็นเทพที่รักษาชายฝั่งเมืองทรอย ที่เมืองเดลฟี่มีเทวสถานบูชาอพอลโลอยู่
นอกจากนี้แล้ว อพอลโลยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น ฟีบัส (Phoebus) อาเบล (Abel) ไพธูส (Pytheus) หรือ เฮลิออส (Helios) ซึ่งแต่ละชื่อมีความหมายถึง แสงสว่างทั้งสิ้น
      ปัจจุบัน อพอลโลเป็นชื่อที่ถูกตั้งตามอยู่บ่อยครั้ง โดยมีความหมายในทางที่เกี่ยวกับแสงสว่างหรือความสำเร็จ เช่น เป็นชื่อปฏิบัติการทางอวกาศของนาซาที่เรียกว่า โครงการอะพอลโล หรือเป็นชื่อสินค้าต่างๆ เช่น ยี่ห้อน้ำมันเครื่อง ยี่ห้อหรือชื่อรุ่นรถยนต์ ชื่อบริษัท เป็นต้น
อพอลโลเป็นเทพที่ถูกปั้นด้วยทองแดงยืนคร่อมอ่าวทะเลอีเจียน ที่เกาะโรดส์ ที่มีชื่อว่า เทวรูปโคโลสซูส นับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์โลกยุคโบราณด้วย โดยทั่วไปรูปปั้นอพอลโลจะถือเครื่องดนตรีคล้ายพิณและมีลูกบอลทองคำที่เป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์


อาร์เทมีส (Artemis) เทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์ เป็นบุตรีของซูสและ เทพีเลโต เป็นน้องสาวแฝดของอะพอลโล่ พระองค์เป็นเทพีพรหมจรรย์องค์หนึ่งใน 3 องค์ ภาพที่ผู้คนเห็นอยู่เสมอๆ คือพระองค์จะถือธนูและศร มีสุนัขติดตาม สวมกระโปรงสั้น บางครั้งอาจเห็นเธออยู่บนรถศึกเทียมด้วยกวางขาว

      อาร์เทอมีส (อังกฤษ: Artemis (เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /ˈɑrtəmɪs/)) หรือในภาคโรมันคือไดอานา (Diana)คือเทพเจ้าแห่งการล่าสัตว์ เทพีแห่งดวงจันทร์ และเป็นเทพีแห่งความรักทางใจ ตำนานการกำเนิดกล่าวว่าเป็นธิดาฝาแฝดของเทพซุสกับนางอัปสร ลีโต(Leto) หรือ แลโตนา (Latona) มีพี่ชายร่วมอุทรคือ เทพอพอลโลซึ่งเป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ และการดนตรี
      เทพฝาแฝดทั้งสองถูกปองร้ายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เพราะเทพีเฮราซึ่งเป็นมเหสีเอกของเทพซุสเกลียดชังชายาน้อยของสวามีจึงลามไปถึงบุตรที่เกิดจากอนุเหล่านั้นด้วย เมื่อรู้เรื่องของนางลีโต พระนางจึงสาปแช่งนางลีโตว่าจะไม่สามารถคลอดบุตรบนแผ่นดินใดได้ อีกทั้งยังส่งงูร้าย ไพธอน (Python)ตามฉกกัดนางลีโตตลอดเวลา นางลีโตประสบเคราะห์กรรมอย่างน่าสงสารเพราะไปที่ใดก็ไม่มีใครต้อนรับด้วยกลัวเกรงอาญาของเทพีเฮรา ทั้งต้องหลบหนีงูร้ายจนอยู่ไม่เป็นสุข และเทพซุสก็กลัวเทพีเฮราเกินกว่าจะช่วยเหลือนางลีโตกับบุตรในครรภ์
กระทั่งครบกำหนดครรภ์ นางลีโตเจ็บปวดทุกข์ทรมานปางตายเพราะไม่อาจคลอดบุตรได้ ทำให้เทพโพไซดอนเกิดความสงสาร จึงบันดาลเกาะดีลอส (Delos)ให้โผล่ขึ้นกลางทะเล ไม่ติดต่อกับแผ่นดินใด นางลีโตจึงพ้นคำสาป จนกระทั่งสามารถประสูติเทพฝาแฝด เทพอพอลโล และเทพีอาร์เทอมิส ออกมาอย่างปลอดภัย
      ทันทีที่ประสูติออกจากครรภ์ เทพอะพอลโลก็ฆ่างูไพธอนตาย จนได้นามอีกว่า ไพธูส เมื่อเทพทั้งสองประสูติ เทพบิดาซุสจึงอัญเชิญเทพทั้งสองขึ้นเป็นเทพบนเขาโอลิมปัส และคลายความหมางใจระหว่างเทพีเฮรากับเทพฝาแฝดจนเป็นผลสำเร็จ


เฮอร์มีส (Hermes) เทพแห่งการค้า การโจรกรรม และผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพ เป็นบุตรของ ซูส กับ เทพธิดาไมอา เทพไททัน พระองค์มักจะปรากฏกายในลักษณะสวมหมวกขอบกว้าง สวมรองเท้ามีปีก ถือคทาที่มีงูพัน ชื่อ คะดูเซียสซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการแพทย์

      เฮอร์มีส (อังกฤษ: Hermes) เป็นชื่อเทพเจ้าในปกรณัมกรีก เรียกชื่อในตำนานเทพเจ้าโรมันว่า เมอร์คิวรี่ เป็นเทพผู้คุ้มครองเหล่านักเดินทาง คนเลี้ยงแกะ โจรผู้เร่ร่อน กวี นักกีฬา นักประดิษฐ์ และพ่อค้า อาจเรียกได้ว่า เฮอร์มีสเป็นเทพแห่งการสื่อสาร พระองค์เป็นบุตรของเทพซูสเกิดแต่นางเมยา (Maia) มีของวิเศษคือหมวกและรองเท้ามีปีก เรียกว่า เพตตะซัส (Petasus) ซึ่งเป็นของขวัญที่ได้รับจากเทพบิดา เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเทพสื่อสาร และมีคถาคาดูเซียส (Caduceus) ซึ่งรูปร่างของคถาจะมีคถางูไขว้อยู่สองตัว เฮอร์มีสพบงูสองตัวนี้เมื่อเห็นมันสู้กันเลยเอาคถาทิ่มระหว่างงูสองตัวเพื่อห้ามไม่ให้เกิดความวิวาท งูเลยเลื้อยมาพันอยู่รอบไม้แล้วหันหัวเข้าหากันจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกลางด้วย
      บุตรของเทพเฮอร์มีสได้แก่ เทพแพน เทพเฮอร์มาโฟรไดทัส และเทพออโตไลคัส


อาธีน่า (Athena) หรืออีกนามหนึ่ง มิเนอร์วา (Minerva) เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด และศิลปศาสตร์ทุกแขนงของกรีกรวมถึงศิลปะการต่อสู้ด้วย ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์คือต้นมะกอก โดยเทพีอธีน่า เป็นผู้ที่มอบมะกอกให้กับมนุษย์เป็นองค์แรก ทำให้เมืองเอเธนส์ ได้ใช้ชื่อของพระองค์เป็นชื่อเมืองเพื่อเป็นเกียรติ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเธอได้แก่ นกฮูก

      เทพีอธีนา (อังกฤษ: Athena (เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /əˈθinə//)) หนึ่งในสิบสองเทพแห่งโอลิมปัส เป็นเทพีแห่งปัญญา เนื่องจากเกิดมาจากส่วนหัวของ ซูส ประมุขแห่งเหล่าทวยเทพ ในขณะที่กำลังประชุมเหล่าเทพที่เทือกเขาโอลิมปัส เมื่อจู่ ๆ ซูสเกิดปวดศีรษะอย่างรุนแรง จึงได้ให้เฮเฟสตัส เทพแห่งการตีเหล็กใช้ขวานผ่าศีรษะออก ปรากฏเป็นอธีนาที่สวมชุดเกราะพร้อมหอกกระโดดออกมา เทพีอธีนาเป็นธิดาของเทพีเมทิส ซึ่งถูกซูสกลืนเข้าไปในท้องตั้งแต่ยังมีครรภ์แก่ เนื่องจากคำทำนายที่ว่าบุตรที่เกิดจากนางจะเป็นผู้โค่นบัลลังก์ของซูส แต่แม้ว่าอธีนาจะถือกำเนิดมาพร้อมกับคำทำนายนั้น พระนางก็เป็นหนึ่งในลูกรักของซูส ว่ากันว่าฮีราอิจฉาอธีนาที่ถือตัวว่าเป็นผู้กำเนิดมาจากซูสโดยตรง
และนอกจากอธีนาจะเป็นเทพีแห่งปัญญาแล้ว ยังเชื่อกันว่าพระนางเป็นเทพีแห่งสงครามด้วย เนื่องจากเทวรูปของพระนางมักปรากฏเป็นรูปผู้หญิงสวมชุดเกราะ ถือโล่ห์และหอกที่มือซ้าย และถือไนกี้ เทพีแห่งชัยชนะที่มือขวา โดยที่ชื่อกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ ก็มีที่มาจากพระนามของนาง ชื่อเต็มของอธีนาคือ พัลลัสอธีนา (Pallas Athena) ซึ่งชื่อพัลลัส มาจากเพื่อนมนุษย์ของอธีนาซึ่งเธอพลั้งมือสังหารไปขณะเล่นด้วยกัน จึงได้นำชื่อของพัลลัสมาใส่นำหน้าเพื่อเป็นที่ระลึก อธีนาเป็นตัวแทนของสงครามที่เอาชนะด้วยกลยุทธหรือความถูกต้อง ซึ่งต่างจากแอรีสที่เป็นเทพสงครามที่ใช้กำลังมากกว่า
นอกจากนี้ อาธีนา ยังเป็นหนึ่งในสามเทพีพรหมจรรย์ด้วย ซึ่งประกอบด้วย พระนาง, อาร์เทมีส เทพีแห่งดวงจันทร์ และเฮสเทีย เทพีแห่งครัวเรือน


อะโฟรไดต์ (Aphrodite) เทพีแห่งความรักและความงาม เป็นบุตรีของ ซูส กับ เทพีไดโอนี่ (บางตำราว่าเกิดจากฟองคลื่น) สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเธอได้แก่นกกระจอก นกนางแอ่น ห่าน และเต่า ส่วนดอกไม้และผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระนางได้แก่กุหลาบ และแอปเปิล กล่าวกันว่าพระนางเป็นเทพีผู้คุ้มครองเหล่าโสเภณีด้วย นางได้สมรสกับเฮเฟสทัส เทพแห่งการช่างที่ทีรูปร่างอัปลักษณ์ จึงได้มีสัมพันธ์ชู้สาวกับแอเรส หรือมาร์ส เทพแห่งสงคราม ต่อมาได้มีบุตรชื่อคิวปิด(อิรอส)เทพแห่งความรัก และบุตรคนเล็ก แอนติรอส เทพผู้บันดานให้เกิดความรักตอบ

      อะโฟรไดต์ (อังกฤษ: Aphrodite (เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /ˌæfrəˈdaɪti/); กรีก: Ἀφροδίτη; ละติน: Venus) เป็นเทพเจ้ากรีกแห่งความรัก, ความปรารถนา, และความงาม ชื่ออื่นๆ ที่เรียก “ไคพริส” (Kypris) “ไซธีเรีย” (Cytherea) ตามชื่อสถานที่ ไซปรัส และ ไซธีราซึ่งเชื่อว่าเป็นที่เกิดของอาโฟร์ไดร์ทิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของอาโฟร์ไดร์ทิได้แก่ต้นเมอร์เติล (Myrtle), นกพิราบ, นกกระจอก และ หงส์
เทพีแอฟรอไดทีทิเทียบได้กับเทพีวีนัส ในตำนานเทพเจ้าโรมัน
      อะโฟรไดต์ทรงเป็นเทพธิดาแห่งความรักและความงาม ทั้งความรักที่บริสุทธิ์ และความรักที่เต็มไปด้วยตัณหา และความริษยา ทรงครอบครองสายคาดวิเศษที่สามารถมัดใจเทพและชายทุกคนได้ในทันที ทรงเป็นผู้ให้พรเพื่อให้ผู้มีความรักสมหวัง ในขณะเดียวกันก็ทรงสามารถที่จะทำลายความรักของผู้ที่พระนางไม่พอใจได้ในทันที


เฮเฟสตัส (Hephaestus) เทพแห่งไฟ โลหะ และการช่าง เป็นบุตรของ ซูส กับ เฮร่า (บางตำราว่าเป็นบุตรของเฮราผู้เดียว) พระองค์เป็นเทพที่พิการและอัปลักษณ์

      เฮเฟสตัส (อังกฤษ: Hephaestus /hɪˈfɛstəs/) เทพแห่งไฟ โลหะ และการช่าง เป็นบุตรของซูส กับฮีรา (บางตำราว่าเป็นบุตรของฮีรา ผู้เดียว) พระองค์เป็นเทพที่พิการและอัปลักษณ์ ซึ่งอาจเกิดจากการที่ถูกซูสโยนลงจากสวรรค์เมื่อครั้งเข้าไปช่วยฮีรา จากการทะเลาะกับซูส
เนื่องด้วยเหตุดังกล่าว พระองค์จึงถูกพระบิดาและมารดาทอดทิ้ง อีกทั้งพระชายาคือเทพีอโฟรไดท์ยังดูแคลนจนกระทั่งไปมีชู้รักมากมาย รวมทั้งอนุชาร่วมอุทรของเทพฮีเฟสตัสเอง คือเทพอาเรสจนมีโอรสธิดาหลายองค์ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีสายเลือดสวามีอัปลักษณ์องค์นี้แม้แต่องค์เดียว
ฮีเฟสตัสใช้เวลาช่วง 10 ปีแรกอยู่ในทะเล และได้สร้างโรงหล่อไว้ใต้ภูเขาไฟเอตนา มีไซคลอปส์เป็นคนงาน โดยสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น มีดังนี้
อาวุธของ อคิลลีส และ อีเนียส
คทาของ อะกาเมมนอน
สร้อยคอของ Harmonia ซึ่งผู้สวมใส่จะประสบเคราะห์ร้าย
โล่ของ เฮราคลีส

      เทพเฮเฟสตัสมีรักครั้งแรกคือเทพีอะธีนา แต่พระนางไม่ตกลงปลงใจด้วย (คงเพราะเทพเฮเฟสตัสใช้กำลังพยายามลวนลามพระนาง) และเหตุนี้ทำให้เทพีอะธีนามุ่งมั่นจนกลายเป็น 1 ใน 3 เทพีครองพรหมจรรย์


ไดโอนีซุส (Dionysus) เทพแห่งไวน์ การทำไวน์ และการเก็บเกี่ยวผลไม้ และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพแห่งละครอีกด้วย

      ไดอะไนเซิส (อังกฤษ: Dionysus หรือ Dionysos, ˌdaɪəˈnaɪsəs; กรีกโบราณ: Διόνυσος หรือ Διώνυσος) หรือ แบคคัส (อังกฤษ: Bacchus, ˈbækəs)
      ใน ตำนานเทพเจ้ากรีก “ไดอะไนเซิส” เป็นเทพเจ้าแห่งไวน์ ผู้เป็นแรงบันดาลใจของความประเพณีความคลั่งและความปิติอย่างล้นเหลือ (ecstasy) และเป็นเทพองค์ล่าสุดในสิบสองเทพโอลิมปัส ที่มาของไดอะไนเซิสไม่เป็นที่ทราบ แต่ตามตำนานว่าได้รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศ
      เทพไดโอไนซูส เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า แบคคัส เทพแห่งเมรัย และไวน์องุ่น เป็นบุตรของเทพซูสกับนางซิมิลี่ ซึ่งเป็นมนุษย์ ธิดาแห่งกรุงเธป เทพซูสได้แปลงกายเป็น มนุษย์รูปงามลงมาโลกมนุษย์ เพราะเกรงว่ามเหสี พระนางเฮร่า จะรู้เข้า และกลัวว่านางซิมิลี่จะเกรงกลัวในรัศมีของพระองค์ และในที่สุด ก็ได้นางเป็นชายาอีกองค์ แต่แล้ว พระนางเฮร่า ก็รู้เข้า จึงได้แปลงกายมาเป็นคนรับใช้ของนางซิมิลี่ มาหลอกล่อให้นางอยากเห็นรูปร่างที่แท้จริงของเทพซุส
      นางซิมิลี่ จึงได้ให้เทพซุสในรูปมนุษย์ ไปสาบานกับแม่น้ำสติ๊กซ์ ว่าจะให้ของขวัญแก่นาง แล้วนางซิมิลี่ ก็ให้เทพซุสเปลี่ยนร่างที่แท้จริงออกมา พระองค์เกรงว่า ถ้าให้นางเห็นร่างที่แท้จริงของพระองค์ จะทำให้นางซิมิลี่มอดไหม้ เพราะ รัศมีของพระองค์ จึงบอกแก่นางซิมิลี่ว่า จะดูแลลูกในครรภ์ของนาง ส่วนนางก็จะได้รับของขวัญสมใจ แล้วพระองค์ก้ได้ เปลี่ยนร่างเป็นเทพซูส นางซิมิลี่ก็มอดไหม้ไป แต่บุตรของนางไม่เป็นอะไรเพราะ เป็นบุตรแห่งเทพ จากนั้น เทพซูส จึงได้ให้พวกนิมฟ์ล นางไม้ ดูแลเทพไดโอไนซูส พวกนิมฟ์ล ได้สอนให้เทพไดโอไนซูส ปลูกพืชต่างๆ โดยเฉพาะองุ่น ต่อมาพระองค์ได้ทดลองนำองุ่นไปหมักเอาไว้ และก็ได้ค้นพบ นำองุ่นที่รสชาติดีอย่างประหลาด ที่ยิ่งดื่ม ยิ่งมึนเมา ยิ่งอยากดื่ม ยิ่งสนุกสนาน พระองค์จึงได้เผยแพร่การทำไวน์องุ่นไปทั่วแดน และต่อมา เทพซูส ได้รับพระองค์ไปเป็นเทพโอลิมปัสอีกพระองค์ (เทพไดโอไนซูส และเทพีดิมีเตอร์ เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ ที่ชาวกรีกและโรมันให้ความเคารพบูชายิ่งนัก)
      ไดอะไนเซิสผู้เป็นเทพของการเกษตรกรรม และการละคร นอกจากนั้นก็ยังรู้จักกันในนามว่า “ผู้ปลดปล่อย” (Liberator) ที่ปลดปล่อยส่วนลึกของตนเองโดยทำให้คลั่ง หรือให้มีความสุขอย่างล้นเหลือ หรือด้วยเหล้าองุ่น หน้าที่ของไดอะไนเซิสคือเป็นผู้สร้างดนตรีออโลส (aulos) และยุติความกังวล นักวิชาการถกกันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไดอะไนเซิสกับ “คตินิยมเกี่ยวกับวิญญาณ” และความสามารถในการติดต่อระหว่างผู้ยังมีชีวิตอยู่และผู้ที่ตายไปแล้ว


quote :
ฮาเดส (冥王ハーデス, Meiō Hādesu?, Meiō (เมโอ) แปลว่า "เจ้าแห่งความมืด") เทพเจ้าแห่งยมโลก เป็นเทพผู้ที่ทำสงครามกับอาธีนามาแต่ครั้งสมัยเทพนิยาย สงครามระหว่างเทพทั้งสองนี้ ถูกเรียกว่า "สงครามศักดิ์สิทธิ์" และการที่อาธีนาต้องมาจุติบนโลกในยุคนี้ ก็เพื่อทำสงครามศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งสุดท้ายกับฮาเดส หลังจากสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งก่อนเกิดขึ้นเมื่อ 234 ปีก่อน

      ...ในตำนานกรีกโบราณเทพที่เทพผู้เป็นใหญ่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า โปเซดอน อีกองค์หนึ่งก็คือ ฮาเดส (หรือชาวโรมัน เรียกว่า พลูโต) แดนบาดาลหรือยมโลกและคนตายต่างก็อยู่ในความปกครองของเทพองค์นี้ทั้งหมด
      คำว่า"พลูโต"นี้มีความหมายว่า เทพแห่งทรัพย์ เพราะถือกันว่า นอกจากยมโลกแลัว ท้าวเธอฮาเดสยังครองมวลธาตุล้ำค่าใต้พื้นพิ�� พอีกด้วย บางทีจึงมีชือว่า ดีส (Dis) แปล ตรงตัวว่า ทรัพย์ [ บางแห่งกล่าวว่า ฮาเดสครองยมโลกและคนตายเท่านั้น ส่วนเทพผู้ครองความตายนั้นมี อีกองค์หนึ่ง เรียกว่า แธนาทอส (Thanatos)ใน�� าษากรีก หรือ ออร์คัส (Orcus) ใน�� าษาลาตินเป็นคู่กันกับ ฮิปนอส (Hpnos) เทพประจำ ความหลับ ]
      เนื่องด้วยอุปนิสัยของเทพฮาเดส จ้าวแดนบาดาล ออกจะเย็นชาแข็งกร้าว ปราศจากความเวทนาสงสารให้แก่ผู้ใด แต่เต็มไปด้วยความยุติธรรมทุกขณะ เช่นนี้ จึง เป็นเหตุให้ ท้าวเธอยากจะหาสตรีมาเป็นชายาครองบัลลังก์ปรโลกคู่กันได้เลย ดังนั้น เมื่อท้าวเธอเสด็จขึ้นมาบนพื้นพิ�� พในวันหนึ่ง และประสบพบพานโฉมงามนาม เพอร์เซโฟนี (Persephone) ธิดาองค์เดียวของเจ้าแม่โพสพเทวี ดีมีเตอร์ เข้าให้ ฮาเดสลืมเลือนไปหมดสิ้นว่า อนงค์นางนี้ที่แท้จริงคือหลานในไส้ของตน เพราะว่า ดีมิเตอร์เทวีเป็นน้องนางของพระองค์นั่นเอง จ้าวแห่งแดนบาดาลจึงไม่รอช้า ฉุดคร่าเอาตัวเพอร์เซโฟนีลงไปสู่ดินแดนใต้พิ�� พ เพื่อครองคู่เป็นราชินีปรโลกด้วยความมิเต็ม ใจของนาง
      ครั้งหนึ่งได้แก่ ทรงหลงเสน่ห์ความน่ารักของนางอัปสรนามว่า มินธี (Minthe) แต่ทว่าความรักนี้มิยั่งยืน ด้วยเหตุที่พระแม่ยายดีมิเตอร์เทวีทรงร้ายเหลือ ทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบหน้าฮาเดสเท่าใดนัก แต่เมื่อท้าวเธอทำท่าจะนอกใจ ธิดาของตนเข้าให้ เจ้าแม่ก็พิโรธโกรธเกรี้ยวจนกระทั่งไล่กระทืบมินธีนางอัปสรผู้น่าสงสารตายคาบาทของเจ้าแม่ จ้าว แดนบาดาลเวทนาสงสารนางอัปสรน้อยนั้น จึงเปลึ่ยนร่างของนางให้กลายเป็นพืชชนิดหนึ่งมีกลิ่นหอม และได้กลายเป็น พืชประจำพระองค์ตลอดมา
      ผู้คนในสมัยโบราณจะถวายสักการะแด่เทพฮาเดสด้วยแกะดำ ทำให้กลายเป็นพิธีกรรมที่เร้นลับสืบมาที่จะบูชา ยัญแด่เทพแห่งมรณะหรือเทพแห่งความชั่วร้ายอื่น ๆ ด้วยแพะหรือแกะสีดำเช่นเดียวกัน
      ฮาเดส เป็นพี่ชายของมหาเทพซีอุส และเป็นจักรพรรดิแห่งบาดาล หรือยมโลก ดังนั้นฮาเดสจึงมีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกว่าเทพโลกันตร์ พระยม หรือเทพแห่งความตาย ยมโลกหรืออาณาจักรของฮาเดส เป็นดินแดนเร้นลับ �� ายใต้พื้นพิ�� พที่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ส่องไม่ถึงอาณาจักรแห่งนี้จึงมืดมิด และทนทางที่จะลงไปก็ลำบากเอาการเพราะต้องเดินทางไปถึงสุดขอบพิ�� พโดยข้ามมหาสมุทรไป(คนกรีกโบราณเชื่อว่าโลกแบน และรายล้อมด้วยมหาสมุทร)
      จากความเชื่อนี้เอง จึงเกิดธรรมเนียมเอาเงินใส่ปากคนตายก่อนฝัง นอกจากแม่น้ำสองสาย ยังมีแม่น้ำอีก 3 สาย คือ 1. แม่น้ำสติกซ์ (Styx) แปลว่าแม่น้ำแห่งควาเกลียด เป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ 2. แม่น้ำลีธี หรือ เลเธ แปลว่าแม่น้ำแห่งความลืม เมื่อดวงวิญญาณคนตายได้ดิ่มน้ำแล้วจะลืมความหลัง 3. แม่น้ำเฟลจีธอน หรือ เฟลเกทธอน แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำไฟ มีเปลวไฟลุกไหม้โชติช่วงอยู่บนผิวน้ำ และอยู่ล้อมรอบนรกขุมลึกสุด คือ ทาร์ทะรัส
      ........ท่านฮาเดสปกครองยมโลกอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย โดยมีเพียงผู้ช่วยกิจการงาน คราวหนึ่ง มหาเทพจูปิเตอร์ จองจำยักษ์สี่ตนไว้ในถ้ำบนยอดเขาเอตน่า แต่บางตำราว่า ยักษ์ที่ถูกจองจำมีเพียงตนเดียว

เครดิต : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%81
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/page06.html


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-09 14:15:46


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Call_Me_Monster
#162
09-03-2012 - 14:27:11

#162 Call_Me_Monster  [ 09-03-2012 - 14:27:11 ]




ขอพื้นที่โฆษณาหน่อยครับ



หนังสือเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดวางดครงเรื่องและ วาดภาพประกอบเอง โดยอิงจากข้อมุลที่หามา และเข้าโครงการของ abook เมื่อปีที่แล้วครับ

ติดตามรายละเอียดได้ในเพจ เฟสบุค พิมพ์ว่า Call Me Monster นะครับ

หรือกดเข้าลิงค์ตามนี้ http://www.facebook.com/pages/Call-Me-Monster/213918988653665

มีเรื่องเกียวกับ ชูปาคาบา บันยิป เนสซี ซึชิโนโกะ เยติ และอื่นๆ นะครับ



Nebula Eva
#163
10-03-2012 - 03:27:33

#163 Nebula Eva  [ 10-03-2012 - 03:27:33 ]





ตำนานของมนุษย์หมาป่า
WEREWolf



       หลายท่านอาจคุ้นหูกับคำว่า “มนุษย์หมาป่า” และคิดว่านั่นเป็นตำนานของอดีตกาล เดี๋ยวนี้คงไม่มีแล้ว แต่กลับใจคิดใหม่ได้นะครับ เพราะเมื่อสิบกว่าปีมานี่เอง คือใน ค.ศ.1989 ได้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นที่มณฑลบอโดซ์ของฝรั่งเศส ตำรวจจับชายผู้ต้องหามาคนหนึ่ง อายุ 28 ปี เขาสารภาพว่าเป็นฆาตกรผู้ก่อคดี แต่อ้างว่า เนื่องจากตอนนั้นเขาแปรสภาพไปเป็นมนุษย์หมาป่าโดยไม่รู้ตัว จึงได้กระทำการอันโหดเหี้ยมเพื่อดูดเลือดเหยื่อ ด้วยเหตุนี้เองคนฝรั่งเศสจึงเกิดฮือฮาศึกษาข้อมูลของมนุษย์หมาป่า ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ซันเดย์สเปเชียลหนนี้จึงขอนำข้อมูลดังกล่าวมาขยายต่อ

       นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า มนุษย์หมาป่านั้น แท้ที่จริงก็คือสัญชาตญาณของสัตว์ป่าที่มีอยู่ในตัวมนุษย์บางคนนั่นเอง คำว่า WEREWOLF ที่หมายถึงมนุษย์หมาป่านั้นก็มาจากคำว่า เวอร์ (WERE) ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษโบราณแปลว่า “คน” และแทบจะทุกชาติทุกภาษาก็จะมีตำนานของคนที่กลายเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ มากมาย เช่น รัสเซียกับสแกนดิเนเวียจะมี “มนุษย์หมี” บางประเทศที่ไม่มีหมาป่าก็อาจมีมนุษย์สิงห์ มนุษย์จระเข้ มนุษย์จิ้งจอก อาทิ ในปี ค.ศ.1933 แพทย์อังกฤษคนหนึ่งได้รายงานว่าเขาได้เห็นชาวแอฟริกา 2 คน แปรร่างกลายเป็นหมาจิ้งจอกในระหว่างการทำพิธีกรรมทางศาสนา

       สำหรับในเอเชียของเรา เช่น อินเดีย จะมีการพูดถึงมนุษย์เสือ ซึ่งก็อาจเป็นประเภทเดียวกับเสือสมิงของไทยเรานะครับ นอกจากนี้ก็มี “มนุษย์งู” ทางแถบอเมริกาใต้ โฮ้ย...แทบทุกประเภทสัตว์ละครับ ทีนี้ทำไมคนเราถึงอยู่ๆ ก็กลายร่างเป็นหมาป่าไปได้ จากการค้นคว้าในตำนานพบว่าเกิดขึ้นได้จากการใช้คาถาปลอมแปลงตัว บางรายใช้น้ำมันศักดิ์สิทธิ์ลูบไล้ร่างกาย และประกอบกับการสวมเสื้อคลุมหนังหมาป่า หรือเอาเข็มขัดหนังหมาป่ามาคาดเอว แต่ที่มักจะตรงกันก็คือเขาผู้นั้นจะกลายร่างในคืนวันเพ็ญ ผสมผสานกับการได้กลิ่นอายของดอกไม้พิเศษบางชนิด ร่างกายเขาผู้นั้นจะปรากฏขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุมหูจะยาวตั้งตรงชี้ฟ้า และเขี้ยวแหลมคมงอกออกมาจากปาก ดวงตาโชนแดงฉานเมื่อต้องแสงไฟ ครั้นแล้วเขาก็จะออกล่าเหยื่อเพื่อกินเนื้อสดๆหรือดื่มเลือดทั้งเป็น


       จากบันทึกในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส สามารถสืบย้อนหลังไปได้ถึงใน ค.ศ.1573 เมื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งต้องหวาดผวาจากการมีเด็กหลายคน ถูกสังหารและฆาตกรได้กินเนื้อหนังศพ ทางการจับผู้ต้องสงสัยได้นามว่า กิลส์ การ์นิเยร์ เขาต้องยอมรับสารภาพเนื่องจากถูกทรมาน แล้วก็เลยโดนลงทัณฑ์ด้วยการเผาทั้งเป็น

       ต่อมาไม่นานคือ ค.ศ.1589 คราวนี้ที่เยอรมัน เมื่อชายชื่อ ปีเตอร์ สตับบ์ ถูกตั้งข้อหาว่าปลอมแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าโดยใช้เข็มขัดหนังหมาป่ามาคาด เขาได้กระทำฆาตกรรมทั้งบุรุษ สตรี และเด็กๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 25 ปีก่อนจะถูกจับ สตับบ์รับสารภาพและให้การว่า สำหรับผู้หญิงนั้น เขาลงมือข่มขืนก่อนแล้วจึงฆ่า จากนั้นจึงกินศพของเธอ สตับบ์ถูกตัดสินให้ประหารอย่างต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสก่อนจะสิ้นใจ

       แต่รายที่เกรียวกราวที่สุดเห็นจะได้แก่เด็กหนุ่มวัยแค่ 14 ปี นาม ชอง เกรนิเยร์ ซึ่งก่ออาชญากรรมอยู่ในแถบมณฑลบอโดซ์, ฝรั่งเศส เขาสารภาพว่าได้กินเนื้อเด็กที่ถูกเขาฆ่ามากกว่า 50 คน ระหว่างให้การในศาลนั้นเขาได้สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ร่วมฟังคดี เพราะเล่าว่า เขาเคยไล่ล่าหญิงชราผู้หนึ่งแล้วก็พบว่าเนื้อเหี่ยวย่นของนางนั้น “เหนียวเหมือนหนังควาย” นอกจากนี้ยังเล่าอีกว่าสำหรับเด็กเล็กๆ นั้น พอถูกเขากัดคำแรกก็จะร้องโหยหวนจนแสบแก้วหูด้วยความเจ็บปวด

       คดีนี้หนแรกเกรนิเยร์ถูกพิพากษาให้เผาทั้งเป็น หากทว่าพอเรื่องขึ้นถึงศาลสูง ผู้พิพากษารับฟังคำให้การของเกรนิเยร์ที่ว่า “ตอนผมอายุ 10 ขวบ เพื่อนบ้านได้พาผมไปพบกับเจ้าป่าผู้หนึ่ง ท่านได้ มอบหนังสุนัขป่าให้แก่ผม ตั้งแต่นั้นผมก็ออกล่าเหยื่อไปทั่ว” ผู้พิพากษาได้ปรึกษากับจิตแพทย์แล้วสรุปว่าเกรนิเยร์ นั้นป่วยจากอาการประสาทหลอนจึงไม่มีความผิด และส่งเด็กหนุ่มไปอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งตลอดชีวิต

       นอกจากมนุษย์หมาป่าเดี่ยวๆ แล้ว ที่ฝรั่งเศสก็ยังมีชนเผ่ามนุษย์หมาป่า ที่เรียกขานกันว่าพวก ลูแปง อีกด้วย ร่ำลือกันว่าคนพวกนี้มีถิ่นฐานอยู่ที่นอร์มังดี ในยามค่ำคืนพวกเขาจะจับกลุ่มกันสนทนาด้วยภาษาแปลกๆ ชอบยืนพิงกำแพงสุสานของเมือง หากทว่ามนุษย์หมาป่าลูแปงกลัวเกรงมนุษย์และจะหลีกลี้หนีไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ผ่านมา ว่ากันว่าพวกลูแปงจะใช้มือเปล่าๆ ขุดคุ้ยหลุมศพและโลง แล้วเอากระดูกศพขึ้นมาแทะ

       สำหรับมนุษย์ที่แปลงร่างเป็นหมาป่า ในคืนเพ็ญและออกอาละวาดนั้น เขาจะคืนร่างกลับเป็นคนเดิม หรือเราจะมีวิธีป้องกันตัวเองให้พ้นภัยจากพวกนี้ได้อย่างไร ตามตำนานระบุว่า มนุษย์หมาป่าจะคืนร่างโดยอัตโนมัติในยามอาทิตย์อุทัย และแทบทุกตำนานกล่าวตรงกันว่าร่างของพวกเขา จะกลับเป็นคนธรรมดาทันทีเมื่อได้รับบาดเจ็บ หรือถูกฆ่าตาย บางรายมีบันทึกว่ามีผู้ยิงถูกมนุษย์หมาป่าและต่อมาก็พบว่าชายผู้หนึ่งในหมู่บ้านมีบาดแผลที่ตำแหน่งเดียวกับหมาป่าที่ถูกยิง

       แม้มนุษย์หมาป่าจะดูน่าเกรงขาม แต่ตำนาน ส่วนใหญ่เชื่อว่า การตามล่าและสังหารพวกเขานั้นไม่ยาก ไม่ต่างอะไรกับการไล่ล่าหมาป่าธรรมดาๆ มีหลายเรื่องของยุโรปที่เขียนบอกไว้ถึงการสังหารมนุษย์หมาป่า ด้วยการยิง ทุบตี และแทงด้วยมีด ทว่าก็มีบางตำนานเหมือนกันที่แย้งว่ามนุษย์หมาป่านั้น มีวิญญาณปิศาจสิงอยู่จึงไม่อาจถูกฆ่าด้วยวิธีทั่วไป ทั้งนี้ ในอังกฤษ สกอตแลนด์ และฝรั่งเศส เชื่อว่ามนุษย์หมาป่าจะไม่ตายด้วยกระสุนปืนธรรมดา จะฆ่าได้ก็ด้วยกระสุนปืนที่ทำจากโลหะเงินเท่านั้น โดยเฉพาะถ้ากระสุนเงินนั้นผ่านการลงคาถาอาคมมาแล้ว

       ในยามที่ต้องเผชิญหน้าจ๊ะเอ๋กับมนุษย์ หมาป่าโดยบังเอิญ ท่านว่าให้รีบตะโกนเรียกชื่อเขาผู้นั้น (ถ้าเรารู้ว่าเป็นใครที่เปลี่ยนร่าง) สามครั้ง เขาก็จะรู้สึกตัวและกลับคืนสู่ร่างเดิม หรือถ้าหากสามารถทำให้เขาเลือดออกถึงสามหยดก็จะได้ผลเช่นกัน สำหรับตัวมนุษย์หมาป่าเอง ถ้าหากอยากคืนกลับเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างถาวร ก็จะต้องงดเว้นการกินเนื้อมนุษย์เป็นระยะเวลาเก้าปีเต็ม แล้วอำนาจปิศาจที่สิงสู่ก็จะมลายหายไป



เครดิต : http://web.bangmod.ac.th/HomeworkHelper/default.asp?id=251&page=1&keyword=&fieldname=



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
thae33001
#164
10-03-2012 - 08:33:25

#164 thae33001  [ 10-03-2012 - 08:33:25 ]





น่ากลัว ทั้งนั้น



Get Excited
Nebula Eva
#165
10-03-2012 - 18:20:11

#165 Nebula Eva  [ 10-03-2012 - 18:20:11 ]





เรื่องต้องห้ามที่คนโบราณถือ



จิ้งจกร้องทักห้ามออกจากบ้าน
      ตาม ความเชื่อของคนโบราณกล่าวว่า หากจิ้งจกร้องทัก จะกี่ครั้งก็ตาม หากเสียงนั้นอยู่ด้านหลังหรือตรงศีรษะ ให้พยายามเลื่อนการเดินทางเป็นเวลาอื่น อาจจะเป็นภายในวันเดียวกันก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานั้น เพราะอาจทำให้ได้รับอุบัติเหตุหรือไม่มีโชคลาภ แต่หากเสียงร้องทักอยู่ด้านหน้าหรือซ้ายมือให้เดินทางได้ จะทำให้การเดินทางเป็นไปอย่าสะดวกสบาย จะได้พบโชคลาภ หรือติดต่อธุรกิจเป็นผลสำเร็จ ซึ่งจะว่าไปแล้วปัจจุบันนี้จะหาจิ้งจกให้เห็นในเมืองกันก็คงยากเต็มทีอยู่ หากจู่ๆ มันยังพยายามโผล่หน้ามาร้องทัก ณ คอนโดใหญ่ใจกลางเมือง อันนี้ก็น่าคิด

กระจกเงาในบ้านแตก
      โบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับกระจกหลายอย่าง เช่น
1. ถ้ากระจกเงาในบ้านแตก คนในบ้านนั้นกำลังมีเคราะห์ถึงขั้นเลือดตกยางออก เพราะโบราณเชื่อกันว่ากระจกเงาที่เราใช้ส่องอยู่ทุกวันนี้ เปรียบเสมือนกับเงาหรือดวงวิญญาณของมนุษย์ เพราะเมื่อเวลาที่เราได้ส่องกระจก เราก็จะเห็นรูปร่างลักษณะหน้าตาของเรา ดังนั้นคนในสมัยโบราณจึงให้ความสำคัญ กับกระจกเงาเป็นอย่างมาก หาก วันใดเงาของท่านเเตกสลายไป ดวงวิญญาณของท่านก็จะลับไปด้วยเช่นกัน หากกระจกส่องเงาเเตกให้รีบเก็บกวาดให้สะอาด เเล้วนำไปทิ้งในที่มิดชิด เพราะกลัวว่าเด็กหรือใครต่อใคร ที่เดินผ่านมาจะเหยียบเอา เเละเกิดบาดเจ็บได้ หลังจากนั้น ก็ให้จุดธูปไหว้พระขอพร สิ่งศักดิ์สิทธ์ให้ช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย ในวันรุ่งขึ้นก็ให้ตักบาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรเสีย และให้รีบซื้อบานใหม่มาทดแทน

2. หากเมื่อใดก็ตามที่ท่านยืนส่องกระจกในบ้านเพื่อดูเงาหรือความเรียบร้อยของ ตัวเอง และปรากฏว่าอยู่ๆ เงาในกระจกของท่านก็หายไป(เรื่องนี้ไม่ธรรมดา) ถือว่าเป็นลางไม่ดี อาจมีอันตรายถึงชีวิต ให้รีบไปทำการสะเดาะเคราะห์ ตักบาตรทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรเสีย เผื่อว่ากรรมหนักจะได้กลายเป็นเบา สถานการณ์นี้หากเกิดขึ้นจริง คงหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้แน่ๆ เป็นเรื่องที่น่ากลัวใช่หยอก

3. หากเมื่อใดก็ตามที่ระจกในบ้านเเตก หรือร้าว โบราณว่าไม่ให้เก็บกระจก หรือเศษกระจกไว้ในบ้าน ให้นำไปทิ้ง เพราะเชื่อว่า กระจกที่เเตกหรือร้าว เป็นลางร้ายเกี่ยวกับคนในครอบครัวอาจทำให้คนในครอบครัวมีการทะเลาะเบาะเเว้ง กัน อยู่กันอย่างไม่เป็นสุข เเละอาจเกิดอันตรายจนถึงเลือดตกยางออกได้ เรื่อง นี้ลงความเห็นว่าแน่นอนเพราะมันจะทำให้บาดมือคนในบ้านได้แน่ๆ หากซุ่มซ่ามไปโดนมันเข้า ถึงจะไม่เชื่อโบราณก็ไม่สมควรเก็บไว้ในบ้านจริงๆ นั่นแหละ

4. ไม่ควรตั้งกระจกให้ตรงกับปลายเตียงนอน เพราะคนในสมัยโบราณ เชื่อเรื่องพิธีกรรมเกี่ยวกับกระจกว่า มันสามารถสะท้อนภาพคนที่ตายไปเเล้ว ออกมาจากกระจก ดังนั้นผู้ที่นอนอยู่บนเตียงจึงมักจะนอนฝันร้าย เเละมักจะนอนไม่ค่อยหลับ เพราะมีความรู้สึกเหมือนกับว่ามีเงาของใครบางคนคอยจ้อง มองอยู่ตลอดเวลา หาก มองในแง่ของจิตวิทยาแล้ว การวางกระจกเอาไว้ปลายเตียงก็ไม่ควรกระทำ เพราะมันคงทำให้รู้สึกแปลกๆ อาจมีแสงสะท้อนเข้าตาทำให้นอนไม่หลับ หรืออาจจะทำให้เรารู้สึกระแวง เพราะทุกครั้งที่เราขยับตัว ในกระจกก็จะมีภาพเคลื่อนไหวไปด้วย อีกอย่างก็คงไม่มีใครอยากเห็นตัวเองตอนนอนหัวฟูนักหรอก มันน่ากลัว...

กลางคืนได้ยินเสียงร้องเรียก ห้ามขานรับ
      ใน สมัยก่อนที่ยังไม่มีไฟฟ้าสะดวกสบายเหมือนในปัจจุบัน ค่ำลงต่างคนก็ต่างดับตะเกียงนอนนอนกันหมด โบราณจึงกล่าวว่า หากปิดบ้านแล้วมีเสียงคนมาร้องเรียก ให้เงียบเสีย เพราะนั่นเป็นเสียงของดวงวิญญาณ ที่อาจจะมาหลอกมาหลอนก็เป็นได้ หากขานรับจะทำให้วิญญาณนั้นเข้ามาในบ้านได้ ความ เชื่อนี้หากคิดกันในแง่เหตุและผลของคนรุ่นใหม่ อาจจะเป็นการสอนว่าให้ระวังตัวเองจากโจรหรือมิจฉาชีพ โดยเฉพาะเวลาอยู่คนเดียว ไม่ใช่ว่าใครเรียกก็ขานตอบ เดี๋ยวนี้ต้องเพิ่มเข้าไปด้วยว่า หากมีคนเคาะประตูก็อย่าเพิ่งรีบเปิดรับ ตั้งสติดูหน้าหลังให้ดีเสียก่อน

ตาเขม่น
      ถือ เป็นเรื่องยอดฮิตที่พูดถึงกันบ่อย ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เขม่นได้หลายส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปาก แขน ขา หรือแม้กระทั่งตา การเขม่นตาจะแบ่งออก เป็น 3 ช่วงคือ หากเขม่นตาใน ช่วงเช้า - บ่าย คนโบราณว่า ถ้าเป็นข้างขวาจะมีโชค ลาภ ได้รับข่าวดี เรียกว่า จะสมหวังในเรื่องที่รอคอย และหากเขม่นที่ตาซ้าย ท่านว่าจะมีเคราะห์ โชคร้ายผิดหวังอย่างแน่นอน เช่น มีการทะเลาะกัน เกิดขึ้น หรือจะต้องสูญเสียของรักบางอย่างไป แต่ถ้าเขม่นตาไม่ว่าจะเป็นข้างซ้ายหรือข้างขวา ในช่วงเวลาเย็นถือว่ามีโชคมีลาภ จะได้พบญาติสนิทมิตรรักเดินทางมาหา แต่ถ้าเป็นในช่วงกลางคืน การเขม่นตาขวาจะไม่ดี จะมีเคราะห์มีเหตุร้ายเกิด ขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าหากเขม่นตาซ้ายจะมีโชคลาภ สมหวังในสิ่งที่รอคอย หรือที่เรียกติดปากว่า ขวาร้าย-ซ้ายดี ซึ่งเชื่อว่าการเขม่นตา เป็นลางบอกเหตุที่แม่นยำมากๆ โดยจะถือเวลาที่จะเกิดเหตุดีและร้ายภายใน 3 วัน


       สำหรับความเชื่อนี้ เชื่อว่าหลายๆ คนคงได้หาคำตอบกับตัวเองมาแล้วบ่อยครั้ง คงมีน้อยคนนักที่เกิดเขม่นตาขึ้นมามากๆ แล้วจะไม่นึกถึงคำว่าขวาร้าย-ซ้ายดี ขึ้นมาเลย ส่วนใหญ่พอเห็นว่าเป็นข้างซ้ายก็โล่งใจไปแล้วเปราะหนึ่ง ถ้าเป็นข้างขวาเมื่อไหร่ ก็จะเกิดความหวาดระแวงเล็กน้อย แต่ถ้าหากจะเชื่อคำโบราณกันจริงๆ ก็คงต้องดูที่เวลาด้วย ส่วนเรื่องว่าเป็นจริงมากน้อยแค่ไหนนั้น หลายคนคงเจอคำตอบไปแล้ว

      “พุธห้ามตัด พฤหัสห้ามถอน” เป็นอีกวลีหนึ่ง ที่มักได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกความเชื่อในเรื่องฤกษ์ยาม ว่าวันไหนทำอะไรดี วันไหนไม่ควรทำ ซึ่งจะยกเป็นตัวอย่างเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับวันต้องห้ามต่างๆ ที่ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนท่องกันจนติดปากให้ได้ยินว่า “ขึ้นบ้านวันเสาร์ - เผาผีวันศุกร์ - โกนจุกวันอังคาร - แต่งงานวันพุธ - พุธห้ามตัด, พฤหัสห้ามถอน - สงฆ์ 14 นารี 11”

~ห้ามขึ้นบ้านวันเสาร์~
      เนื่อง จากว่าวันเสาร์ตามหลักโหราศาสตร์ถือกันว่า เป็นวันแห่งโทษทุกข์ และดาวเสาร์ยังจัดเป็นดาวแห่งบาปเคราะห์อีกด้วย แต่การขึ้นบ้านใหม่ต้องการความร่มเย็น ความสุขและความมั่นคงถาวร ความเจริญ ดังนั้นคนโบราณจึงห้ามมิให้ประกอบพิธีเกี่ยวกับการปลูกสร้าง บ้านเรือน เช่น การยกเสาเอก วางศิลาฤกษ์ เปิดป้ายอาคาร หรือแม้กระทั่งการย้ายเข้าสู่บ้านใหม่ในวันนี้

~ห้ามเผาผีวันศุกร์~
      ตาม คติโบราณห้ามทำการฌาปนกิจศพกันในวันศุกร์ เพราะชื่อของวันศุกร์นั้น ไปคล้องจองกับคำว่า "สุข" ดังนั้นเมื่อเอาความสุขไปให้คนตาย เป็นการกระทำอันไม่เป็นมงคล ความทุกข์ทั้งหลายก็จะต้องตกมาถึงคนเป็นหรือผู้ที่ทำการดังกล่าว ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ดาวศุกร์เป็นดาวรื่นเริง บันเทิงใจ ดาวสังคม และความรัก ซึ่งตรงกันข้ามกับความทุกข์ ความหม่นหมอง ดังนั้นคนโบราณจึงได้ห้ามการกระทำดังกล่าวเอาไว้และมีคำพูดที่ให้ท่องกันติด ปากว่า "เผาผีวันศุกร์ ให้ทุกข์คนเป็น"

~ห้ามโกนจุกวันอังคาร~
      วัน อังคารนั้นถือกันว่าเป็นวันแรงวันหนึ่ง เพราะดาวอังคารคือดาวแห่งเทพเจ้าของสงคราม คนโบราณเชื่อว่าวันเจ้าแห่งสงครามนี้เหมาะแก่การออกรบหรืองานที่ต้องการความ แข็งแกร่ง ความเด็ดขาดมากกว่า ไม่ควรใช้วันดังกล่าวเพื่อกระทำการที่เป็นมงคล หรือต้องการความร่มเย็น ความผาสุก และลาภผลต่างๆ เช่นการโกนจุก การขึ้นบ้านใหม่ พิธีมงคลสมรส เป็นต้น เพราะถ้าหากนำวันนี้ไปใช้แล้วก็อาจจะมีการทะเลาะวิวาทกัน หรือมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นก็ได้ เพราะดาวอังคารยังจัดเป็นดาวแห่งอุบัติเหตุอีกด้วย

~ห้ามแต่งงานวันพุธ~
      ใน ทางโหราศาสตร์กล่าวว่า ดาวพุธเป็นดาวแห่งความแปรปรวน มักมีการโคจรที่ผิดปรกติอยู่เสมอ เดี๋ยวดีเดี๋ยวช้า เดี๋ยวเดินเร็ว แต่สักพักกลับเดินถอยหลัง ด้วยสาเหตุดังกล่าวคนโบราณจึงถือว่าดาวพุธเป็นดาวที่หาความแน่นอนและความ มั่งคงไม่ได้ จึงไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้วันนี้เป็นวันประกอบพิธีมงคลสมรส เพราะอาจจะทำให้คู่บ่าวสาวมีจิตใจที่โลเล ไม่มั่นคงกับคู่ครองของตนเอง ซึ่งจะนำพาไปสู่การนอกใจและหย่าร้างกันในที่สุด

~พุธห้ามตัด,พฤหัสห้ามถอน~
      วัน พุธห้ามตัดผม และตัดไม้ เพราะวันพุธเป็นวันแห่งการเจริญเติบโตและวิวัฒนาการ ถือว่าถ้าตัดผมวันพุธจะทำให้ปัญญาทราม ส่วนวันพฤหัสนั้นเป็นวันครูเป็นวันที่นิยมเรียนวิชา ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า รุ่งเรือง ดังนั้นไม่ควรถอน หรือโค่นทำลายสิ่งใดๆ ก็ตาม และในวันพฤหัสนี้ทางโบราณยังห้ามเรื่องการแต่งงานอีกด้วย เพราะวันนี้คือวันครู ดังนั้นไม่ควรกระทำการดังกล่าวในวันนี้เพราะถือว่าเป็นการไม่เคารพนับถือครู บาอาจารย์

~สงฆ์ 14,นารี 11~
      ความหมายคือ ท่านห้ามมิให้ทำการใดๆ ให้แก่พระสงฆ์ ในวันขึ้น 14 ค่ำ และแรม 14 ค่ำ ทั้งสิ้น เช่น การบวชนาค การอุปสมบท และการฉลองพระเป็นต้น เพราะถือกันว่าวันนั้นเป็นวันโกน พระสงฆ์ทุกรูปจะต้องปลงผมในวันนั้น ถือเป็นการตัดราศีของพระท่าน จึงไม่ควรให้ท่านทำการมงคลใดๆ ส่วนนารี 11 โบราณท่านห้ามมิให้ทำการใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสตรีเพศในวันขึ้น 11 ค่ำและวันแรม 11 ค่ำ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดสมาคมสตรี เปิดโรงเรียนสตรี หรือเปิดหอพักสตรีก็ตาม



       จะ เห็นได้ว่า ความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับฤกษ์ยามเหล่านี้เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมา บางเรื่องก็มิได้มีคำอธิบายแน่ชัด และบางตำราก็ยังมีคำอธิบายที่แตกต่างกันออกไปอีก จริงๆ แล้ว ความเชื่อเกี่ยวกับฤกษ์ยามยังมีอีกมากมาย คงไม่สามารถนำมาอธิบายได้หมด และหากถามว่าในปัจจุบันเรายังจะควรเชื่อเรื่องฤกษ์เวลาดีหรือร้ายเหล่านี้อยู่หรือไม่ ก็คงต้องขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน บางคนก็ยังคงถือเอาตามโบราณว่าไว้ เพื่อความสบายอกสบายใจ และช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับชีวิต แต่ในยุคสมัยที่เร่งรีบแบบนี้บางคนก็จำเป็นต้องถือเอาฤกษ์สะดวกเป็นที่ตั้งเช่นกัน

       นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่ออื่นๆ อีกมากมายที่ไม่อาจนำมาอธิบายได้หมด เช่น ถ้ามีนกแสกบินมาเกาะที่บ้านใคร เชื่อว่า บ้านนั้นจะมีคนตาย ถ้าหากหวีผมอยู่แล้วหวีหักแสดงว่าจะมีลางร้าย ตุ๊กแกร้องกลางวันจะมีเรื่องไม่ดี หรือจะเป็นข้อห้ามต่างๆ อีก เช่น ห้ามตับเล็บตอนกลางคืน ห้ามตัดผมวันพุธ ห้ามเล่าความฝันขณะกินข้าว ห้ามปลูกไม้ใหญ่ในบ้าน ฯลฯ ซึ่ง เรื่องเหล่านี้ บางเรื่องเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอยู่แล้ว อย่างการตัดเล็บตอนกลางคืน โบราณเขาอาจจะเตือนว่ามันจะทำให้เกิดอันตรายก็ได้ เพราะกลางคืนแสงสว่างไม่เพียงพอ

      ไม่เสมอไปที่ความเชื่อจะไม่มีเหตุผล คนโบราณอาจจะมีกลวิธีในการสอนลูกหลาน ด้วยการขู่ให้กลัวก็เป็นได้ แต่สำหรับความเชื่ออื่นๆ เช่นเรื่องฤกษ์ยาม เรื่องความเป็นสิริมงคล ในกิจต่างๆ ที่ยึดถือกันมา มันเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจก่อนที่จะทำอะไร จนถึงทุกวันนี้ความเชื่อเหล่านี้ ก็ยังคงฝังลึกในจิตใจของคนไทย ถึงจะไม่มากมายสำหรับบางคน แต่ก็พอที่จะสะกิดใจกันอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้น ก็คงไม่รู้สึกอะไรเวลาใส่ชุดดำไปเยี่ยมไข้ หรือนอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก จริงไหมเอ่ย

....จะเชื่อ จะถืออะไร ก็ให้พอประมาณ มีอยู่แค่สองมือเท่านั้น กลัวว่าจะหนัก......

เครดิต : www.praphansarn.com



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#166
เด็กซ่าบ้านแสบ
10-03-2012 - 18:22:48

#166 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 10-03-2012 - 18:22:48 ]






เดียวต้องไปดูรูป เบียคุยะ X เร็นจิก่อน


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-10 18:23:35

nookza_acnlnw
#167
11-03-2012 - 15:53:27

#167 nookza_acnlnw  [ 11-03-2012 - 15:53:27 ]




น่ากลัวทุกเรื่องเลยอ่าๆๆๆๆ


sunmaja
#168
11-03-2012 - 16:15:50

#168 sunmaja  [ 11-03-2012 - 16:15:50 ]




แต่ละอย่างน่ากลัวมากกกกกกกกก



ป่วย T _ T
onn_onn
#169
11-03-2012 - 16:22:59

#169 onn_onn  [ 11-03-2012 - 16:22:59 ]






บ้านเราถืออันที่เป็นวันอะถือหมดเลย


Nebula Eva
#170
11-03-2012 - 19:13:07

#170 Nebula Eva  [ 11-03-2012 - 19:13:07 ]





สัปเหร่อ




      หนังสือ "ประเพณีเนื่องในการตาย" โดย พระยาอนุมานราชธน มีข้อสันนิษฐานถึงคำ "สัปเหร่อ" ว่า น่าจะมาจากคำว่า สัปบุรุษ แปลว่าคนดี ซึ่งคำนี้ภาษาเขมรออกเสียงว่า สัปเหร่อ

ความหมาย
      ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2546 สัปเหร่อ (สับ-ปะ-เหร่อ) แปลว่าผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับศพ ตั้งแต่ทำพิธีมัดตราสัง จนกระทั่งนำศพลงฝังหรือเผาและจากงานวิจัยของ ทวีศักดิ์ วรฤทธิ์เรืองอุไร เรื่อง "สัปเหร่อกับการจัดการศพของชุมชน" ที่เสนอต่อคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สัปเหร่อคือผู้ที่ทำหน้าที่แปรสภาพสังขารร่างกายของคนที่ตายไปแล้วให้สูญสลายไปจากโลกอย่างสิ้นเชิง โดยการฝังซากศพไปในดิน หรือเผาให้มอดไหม้ด้วยไฟ โดยอาจมีวิธีเฉพาะ



      คำว่าสัปเหร่ออาจอยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาช้านาน เนื่องจากการตายนั้นเป็นสิ่งปกติของคนเรา หน้าที่หลักของสัปเหร่อเริ่มจากเตรียมเมรุเผาศพ โดยจะกวาดเถ้ากระดูกของศพที่เผาก่อนหน้าเพื่อไม่ให้ปะปนกับศพที่กำลังจะเผา และขอซื้อที่จากเทวดาเจ้าที่ชื่อ "ตากะลี ยายกะลา" ก่อนการเผา สัปเหร่อจะเปิดโลงและตัดด้ายที่มัดมือมัดเท้าของศพ จากนั้นล้างหน้าศพด้วยน้ำมะพร้าว เมื่อญาติๆ ผู้ตายช่วยกันเคลื่อนศพไปสู่เมรุแล้ว สัปเหร่อก็จะดำเนินการเผาตามขั้นตอน กินเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ สามารถเก็บกระดูกให้ญาติพี่น้องที่รอรับอยู่



      ในการปฏิบัติหน้าที่สัปเหร่อต้องมีจรรยาที่สำคัญ คือการไม่เลือกปฏิบัติ ต้องเผาศพให้เจ้าภาพทุกรายโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง และจะต้องทำหน้าที่ด้วยความเป็น "มืออาชีพ" คือทำด้วยความรับผิดชอบและเรียบร้อยทุกขั้นตอน นับตั้งแต่การทำความสะอาดเตาเผาในการเตรียมเมรุจนถึงการเก็บกระดูก

      บทบาทหน้าที่ของสัปเหร่อในสมัยก่อนที่ยังมีการเผาศพแบบเชิงตะกอน คนที่สามารถเผาศพได้จะมีอยู่หลายคน ในการเผาแต่ละครั้งจะมีชาวบ้านไปช่วยกันประมาณ 10 คน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนเตาเผาจากเชิงตะกอนมาเป็นเตาเผาแบบปิด คือเมรุ การจำกัดตัวบุคคลผู้รับหน้าที่เผาศพก็เกิดขึ้น เนื่องจากเมรุเป็นสมบัติที่มีราคาแพงของวัด คนที่จะมาดูแลเมรุจึงไม่ใช่ใครก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่เจ้าอาวาสและชาวบ้านยอมรับ การมีเมรุจึงนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สถานะของสัปเหร่อชัดเจนขึ้น

      ราชการกำหนดหน้าที่สัปเหร่อเป็นงานประเภทที่ 5 คือพนักงานบริการ และพนักงานขายในร้านค้าและตลาด ในหมวด 51 คือเป็นพนักงานให้บริการในเรื่องส่วนบุคคลและบริการด้านการป้องกันภัย กำหนดเป็น "สัปเหร่อและเจ้าหน้าที่ฉีดยาศพ" ทำหน้าที่จัดการเผาศพและฝังศพ รักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการฉีดสารเคมีในร่างศพ รวมถึงการทำพิธีต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการศพ

เครดิต : http://www.shockfmclub.com/story_detail.php?historyshock_id=385



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#171
11-03-2012 - 19:13:28

#171 Nebula Eva  [ 11-03-2012 - 19:13:28 ]





quote :
วันนี้จะอัพสองเรื่องเนื่องจากอารมณ์ดี~ เลยเอาเรื่องเล่ามาฝากด้วย^^

เรื่องเล่าจากประสบการณ์จริง
ตอน คนทำศพ!!

      บ่ายวันหนึ่งขณะขับรถอยู่ในย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์ เห็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอันเป็นผลจากค่านิยมความต้องการวัตถุของมนุษย์ แผ่ขยายไปทั่วทุกตารางนิ้ว มนุษย์ไม่เพียงแต่แข่งขันเพื่อความเจริญกับมนุษย์ผู้อื่น แต่ยังต้องแข่งขันกับตนเองและเวลาที่ล่วงผ่านไปโดยไม่เคยคอยใคร

      มนุษย์โลกแทบทุกคนพยายามที่จะปีนป่ายดันตนเองไปให้สูงเหนือกว่าผู้อื่น เพียงเพราะต้องการตอบสนองความต้องการของตนเองให้มากที่สุด ความมีน้ำใจที่เป็นคุณค่าของชีวิตมนุษย์หดหายไป มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ยังคงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี มีความสุขในสิ่งที่ตนเองทำ คอยช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ต้องการสิ่งตอบเเทนใดๆ ดังบุคคลสุจริตที่ประกอบอาชีพสัปเหร่อ

      “สัปเหร่อ” หรือ “คนทำศพ”เป็นอาชีพหนึ่งที่ถูกค่านิยมวางให้อยู่ภายใต้กรอบของความไร้เกียรติและศักดิ์ศรี เป็นอาชีพที่ ถูกมองว่าสกปรกและหากินอยู่กับศพ จากอาชีพที่เคยมีเกียรติของสังคมในอดีต( เพราะช่วยเหลือผู้อื่นยามสิ้นอายุ ) แต่ปัจจุบันถูกมองอย่างต่ำต้อยไร้ศักดิ์ศรี เหมือนเป็นคนไร้ค่าในสังคมปัจจุบัน

      จุดหมายของเราในครั้งนี้ อยู่ที่บุคลท่านหนึ่งที่ประกอบอาชีพ “สัปเหร่อ” และไม่ทำตัวตกต่ำไร้ค่าอย่างที่ค่านิยมของสังคมได้ตีกรอบเอาไว้ ยังคงเปี่ยมล้นไปด้วยจิตใจอันดีงาม คอยช่วยเหลือโดยไม่หวังวัตถุหรือสิ่งตอบแทนใดๆ ขอเพียงแค่อาหารเพื่อยังชีพและความสุขภายในจิตใจก็เพียงพอ

      “ลุงชื่อแจ้ นาสา อายุ 87 ” เสียงเรียบๆของลุงแจ้ เริ่มเรื่องราวประสบการณ์อาชีพสัปเหร่อ ถูกเครื่องบันทึกเทปบันทึกตามหน้าที่ของมัน

      “ตอนเด็กๆลุงทำนาอยู่กับพ่อแม่ที่มีนบุรี พอโตได้หน่อยก็มาอยู่ที่วัดปราสาท(วัดชื่อดังย่านจังหวัดนนทบุรี) อยู่กับลุงที่บวชเป็นสมภาร ตอนแรกๆที่ลุงมาอยู่ก็มาเป็นเด็กวัด จากนั้นก็บวชเป็นเณร แต่งงานมีลูกก็ตอนอยู่วัดปราสาทนี่แหละ
ลุงทำผี(ศพ)ตั้งแต่อายุ 15 ตอนนี้ก็ 87 แล้ว ต้องทำทุกอย่าง เวลาปลงศพก็มัดตราสังข์ ท่องคาถาสะกดผีธรรมดาๆ แต่ลุงจะวางดิน 3 ก้อน ตรงหัว ตรงเอวเเละที่ปลายเท้าของศพ เป็นความเชื่อว่าชาติหน้าจะได้มีที่ดินเป็นที่อยู่ตอนศพมาใหม่ๆ ก็ต้องอาบน้ำศพ พรมน้ำหอมให้ศพมีกลิ่นหอม เสื้อผ้าให้สวมกลับด้านเพราะเชื่อว่าวิญญาณจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ ส่วนดอกไม้(ดอกบัว) ธูปเทียน ที่มัดติดกับศพก็เพื่อให้วิญญาณนำไปไหว้พระศรีอาริย์ (พระสงฆ์ที่ตรัสรู้หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน 2500 ปี) พอลุงจะเผาผี(ศพ) ก็เอาเหรียญบาทใส่ปากศพเพื่อให้ติดตัวไปใช้ในอีกชาติหนึ่ง ส่วนน้ำมะพร้าวก็เอาไว้ล้างหน้าศพเพราะเป็นน้ำที่สะอาด บริสุทธิ์ที่สุด ศพส่วนใหญ่ก็ทำเเบบเดียวกันทั้งนั้น บางคนเขาให้สำรอก (การแล่เอาเนื้อของศพทิ้งให้เหลือแต่กระดูก โดยยังไม่เผา)เราก็ต้องทำ ไม่ได้มีความเชื่ออะไรหรอก เขาเอากลับบ้าน(ต่างจังหวัด)ไป
เผาลำบากเอาไปทั้งตัวมันเอาไปยาก ถ้าเอากระดูกห่อผ้าไปคนอื่นก็ไม่รู้ ขึ้นรถ ลงเรือ คนก็ไม่รังเกียจ แต่สมัยนี้ไม่มีมา 5-6 ปีแล้ว”

      ดวงอาทิตย์ค่อยๆเคลื่อนตัวเองออกจากเมฆหนา สาดแสงทะลุผ่านเงาไม้ตกลงบนพื้นดินใกล้ๆบริเวณที่เรานั่งคุยกันอยู่ นกกระจอก 2 ตัวบินผ่านเข้ามา ส่งเสียงดังทะเลาะกันจ้อกแจ้ก พร้อมกับเกิดความสงสัยเข้ามาภายในใจของผมว่าทำไมลุงแจ้จึงเลือกทำอาชีพสัปเหร่อ

      “ทีแรกก็ไม่คิดจะทำหรอกตอนนั้นมันเมาก็เลยไปช่วยเขา ขอให้มีเหล้าลุงทำได้ทั้งนั้น ทำได้ทุกอย่าง พอตอนหลังสัปเหร่อคนเก่าที่เขาเคยเลี้ยงเหล้าตาย ไม่มีใครทำศพ ให้ก็เลยช่วยเขาแล้วก็ทำต่อมาเรื่อยๆ เวลาลุงทำงานอยู่กับศพลุงไม่เคยกลัวเลย ทีแรกมันเมาจะไปรู้เรื่องอะไร พอตอนหลังไม่กินเหล้าชักจะเริ่มชิน ก็ไม่กลัวแล้วขนาดศพเละๆ หัวขาดมาลุงก็ไม่กลัวผีสางนางไม้ก็ไม่เคยเจอ บางคนเดินไปด้วยกันบอกเห็นผี ลุงบอกให้ดูดีๆพอดูเข้าจริงก็ไม่มีอะไร”

      ดวงอาทิตย์ยังคงสาดแสงร้อนแรง ลุงแจ้หัวเราะเหมือนสิ่งที่พบมาเป็นเรื่องปกติธรรมดา ความร้อนเริ่มแผ่ขยายเข้ามาใกล้บริเวณวงสนทนา เหมือนกับการรุกรานของค่านิยมความต้องการวัตถุที่แผ่เข้ามาปกคลุมสังคมไทย แต่ลุงแจ้ยังคงนั่งนิ่งยิ้มอย่างเป็นสุขเหมือนไม่ทุกข์ร้อนกับเทคโนโลยี วัตถุที่เจริญขึ้น

      “ ลุงไม่อยากได้อะไร เขาให้ลุงทำแค่ไหนก็ทำแค่นั้น จริงๆแล้วอยากจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มากกว่า ค่าจ้างลุงยังไม่เอาเลย ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร ถึงรับเงินมาก็จริงแต่ก็ถวายวัดหมด เค้ามีทำบุญสร้างโบสถ์สร้างพระที่ไหนลุงก็ไปทำ ของกินของใช้เขาให้มาเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้นๆ ลูกๆ หลานๆ เลี้ยงลุงแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ลุงได้ทำผี(ศพ)ลุงกลับดีใจ ช่วยเหลือผู้อื่นแล้วยังได้บุญอีก บวชเณร บวชพระ ยังสึกได้ ลุงทำผีแล้วมันเลิกไม่ได้ เมื่อก่อนลุงเคยทำงานกวาดขยะไปด้วย ทำผีไปด้วย ก็ต้องทำงานทั้งสองอย่างให้ดีที่สุด อย่าไปย่อท้อ”

      ถึงแม้จะประกอบอาชีพ “สัปเหร่อ” แต่อาวุธยุทโธปกรณ์(อุปกรณ์) ในการทำงานของลุงแจ้นั้นไม่ธรรมดาเลย แม้จะมองดูผิวเผินเหมือนกับมีดธรรมดาทั่วๆไป

      “ลุงมีมีด 2 เล่มเป็นมีดหมอวางอยู่หัวนอน ทีแรกลุงไว้บนบ้านมันไม่อุ่นใจก็เลยไว้ที่หัวนอน ของมีครูทั้งนั้น ไม่เคยใช้ตัดใช้เฉือนอย่างอื่น ใช้กับผี(ศพ)อย่างเดียว กรีดหนังกรีดเนื้อ ตัดด้ายตราสังข์ใช้เล่มนี้ทั้งนั้น คาถาก็มี ตอนอายุ 20 กว่าๆ ลุงไปเรียนกับพระที่อาศัยอยู่ในถ้ำที่ต่างจังหวัด คาถาที่ใช้ก็ นะโม ธรรมดา แต่ลุงจะไม่ท่องคำว่า “สะ” เอาแค่นะโมตัด(ตัส) 3จบเท่านั้น อยากให้คนตายเขาตัดทางโลกไม่ต้องห่วงคนที่ยังอยู่”

      นอกจากการทำงานเป็นสัปเหร่อที่เป็นอาชีพประจำแล้ว ช่วงเวลาว่าง ลุงแจ้ยังนั่งภาวนาระลึกถึงพระพุทธเจ้าศาสดาแห่งศาสนาพุทธอยู่เป็นประจำ

      “ทุกคืน ตอนดึกๆ ลุงก็นั่งภาวนาสมาธิ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า จิตของเราก็สงบ อีกอย่างเราปลงสังขารได้ด้วย ลุงไม่กลัวตายแล้วจะมารับลุงเมื่อไรก็มา”

      แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ลุงแจ้ได้รับจากการทำอาชีพสัปเหร่อ ไม่ได้เพียงแต่ความสุขในจิตใจและการภาวนาระลึกถึงพระพุทธเจ้าเพียงเท่านั้น แต่กลับได้ทั้งสมาธิ สติ ปัญญา ความอดทน รวมถึงจิตใจที่สงบอีกด้วย
“ลุงมีสมาธิ ลุงนั่งภาวนาทุกคืน แล้วลุงก็มีสติ มีความอดทนมากขึ้น ปัญญาเราก็จะเกิด เพราะทำอาชีพนี้แล้วต้องอดทนเขาให้ทำอะไรก็ต้องทำ พูดไปก็เหมือนโกหกเพราะสิ่งที่ลุงได้รับ มันมองไม่เห็น มันไม่ได้กองอยู่ตรงหน้าเรา แต่มันอยู่ในจิตใจ พอลุงทำผี ลุงก็สบายใจได้ช่วยเหลือผู้อื่น เงินทองหรือวัตถุสิ่งของมันของนอกกายตายเป็นผีแล้วก็เอาไปไม่ได้ ทำบุญทำทานช่วยเหลือคนอื่นดีกว่า กินข้าวกินน้ำ มันยังมีอิ่ม แต่ทำบุญช่วยเหลือคนอื่น มันไม่มีอิ่มหรอก ทำแล้วมีความสุข ทำได้เรื่อยๆ พอเหนื่อย พักเดี๋ยวเดียวก็หาย แต่มันอิ่มเอมใจ ใจก็สบาย กายเราก็สบายไปด้วย”

      ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ลมพัดแรงเข้ามากระทบใบหน้าของลุงแจ้ผู้เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งประสบการณ์ชีวิตที่ยาวนานใบหน้าที่มีแต่ความสงบและความสบายในจิตใจ และยังคงตรึงฝังแน่นรักในอาชีพ “สัปเหร่อ” ไปจนวันตาย

      “ลุงคงทำผี(ศพ)จนตาย มันรักเสียแล้ว อีกอย่างลุงก็มีความสุข สบายใจ สิ่งที่เราได้รับมา ใครก็ขโมยเราไปจากเราไม่ได้
มันติดตัวเราไปจนวันสุดท้าย ลุงพอใจกับชีวิตของลุงแล้ว”

      ดวงอาทิตย์สีส้มส่องแสงระเรื่ออยู่ที่ปลายฟ้า ลุงแจ้เดินมาส่งผมที่หน้าบ้าน หมู่แมกไม้เขียวครึ้มสองข้างทาง จั้กจั่นเรไรส่งเสียงร้องกันอย่างเซ็งแซ่ ผมเดินยิ้มออกไปอย่างมีความสุข หลังจากได้ฟังประสบการณ์ชีวิตของลุงแจ้

      ระหว่างขับรถกลับ ผมนั่งเหม่อ มองออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์ ความมืดมิดเริ่มปกคลุมทั่วท้องฟ้า ในใจเกิดคำถามขึ้นอีกว่า….มนุษย์โลกคนอื่นๆจะพบความสุขที่แท้จริงได้ไหม? หากเขาไม่มีเงินทองหรือวัตถุสิ่งของนอกกาย

เครดิต : http://utcc2.utcc.ac.th/faculties/comarts/webjrshow/web%20horkor2[46]/fea3.htm


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-11 19:24:21


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#172
เด็กซ่าบ้านแสบ
11-03-2012 - 19:16:09

#172 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 11-03-2012 - 19:16:09 ]






2 เลยหรอ


Nebula Eva
#173
11-03-2012 - 19:20:23

#173 Nebula Eva  [ 11-03-2012 - 19:20:23 ]





quote : เด็กซ่าบ้านแสบ

2 เลยหรอ


ต้อนรับการกลับมาของนายไง เลยอารมณ์ดี^^



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
BEN TENNYSON
#174
11-03-2012 - 19:38:46

#174 BEN TENNYSON  [ 11-03-2012 - 19:38:46 ]





อยากถามแค่ว่า......

ถ้าผมฟังเพลงในหน้าแรกแล้วผมจะเป็นไรมะ
กลัววววว


Nebula Eva
#175
11-03-2012 - 19:57:04

#175 Nebula Eva  [ 11-03-2012 - 19:57:04 ]





quote : BEN TENNYSON

อยากถามแค่ว่า......

ถ้าผมฟังเพลงในหน้าแรกแล้วผมจะเป็นไรมะ
กลัววววว


      มันเป็นประวัติของเพลงค่ะ ตาม คหสต. ของเรานะ เพลงมันไม่ได้มีอาถรรพ์อะไรหรอกค่ะ เพียงแต่จังหวะทำนองเพลงมันออกแนวเศร้าหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เพราะตอนที่คนแต่งเพลงนี้ ดันแต่งตอนที่อยู่ในช่วงสิ้นหวัง ดังนั้นเพลงมันเลยเหมือนจะขุดด้านมืดที่สุดในชีวิตคนฟังออกมาค่ะ ถ้าคนที่เคยผ่านช่วงความสิ้นหวังที่เรียกว่าตายทั้งเป็นจนอยากตายไปเลยได้ฟัง อาจจะไปนึกถึงเรื่องที่สิ้นหวังที่สุดในชีวิตก็ได้ อย่างคนที่ตายเพราะฟังเพลงนี้อาจเป็นเพราะความอ่อนแอของจิตใจมากกว่าเลยทำให้อยากตายก็เท่านั้น หากคนที่ฟังเพลงนี้แล้วต้องตาย ตัวเจ้าของกระทู้เองก็เป็นปีศาจไปแล้วค่ะ เพราะเราชอบเปิดฟังตอนทำการบ้านกับฟังตอนก่อนนอน เพราะถ้าฟังดีๆทำนองของเพลงนี้มันเพราะ และก็ซึ้งมาก แม้มันจะออกแนวเศร้าๆ แต่ก็เป็นเพลงที่แต่งมาจากความรู้สึกในตอนที่มีชีวิตของผู้แต่งในตอนนั้น

ดังนั้นคนที่ฟังเพลงนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน ถ้าไม่ไปเลียนแบบประวัติความเป็นมาของเพลงนี้นะ^^



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#176
เด็กซ่าบ้านแสบ
11-03-2012 - 20:02:36

#176 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 11-03-2012 - 20:02:36 ]






quote : Nebula Eva

quote : เด็กซ่าบ้านแสบ

2 เลยหรอ


ต้อนรับการกลับมาของนายไง เลยอารมณ์ดี^^



BEN TENNYSON
#177
11-03-2012 - 20:17:41

#177 BEN TENNYSON  [ 11-03-2012 - 20:17:41 ]





quote : Nebula Eva

quote : BEN TENNYSON

อยากถามแค่ว่า......

ถ้าผมฟังเพลงในหน้าแรกแล้วผมจะเป็นไรมะ
กลัววววว


      มันเป็นประวัติของเพลงค่ะ ตาม คหสต. ของเรานะ เพลงมันไม่ได้มีอาถรรพ์อะไรหรอกค่ะ เพียงแต่จังหวะทำนองเพลงมันออกแนวเศร้าหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เพราะตอนที่คนแต่งเพลงนี้ ดันแต่งตอนที่อยู่ในช่วงสิ้นหวัง ดังนั้นเพลงมันเลยเหมือนจะขุดด้านมืดที่สุดในชีวิตคนฟังออกมาค่ะ ถ้าคนที่เคยผ่านช่วงความสิ้นหวังที่เรียกว่าตายทั้งเป็นจนอยากตายไปเลยได้ฟัง อาจจะไปนึกถึงเรื่องที่สิ้นหวังที่สุดในชีวิตก็ได้ อย่างคนที่ตายเพราะฟังเพลงนี้อาจเป็นเพราะความอ่อนแอของจิตใจมากกว่าเลยทำให้อยากตายก็เท่านั้น หากคนที่ฟังเพลงนี้แล้วต้องตาย ตัวเจ้าของกระทู้เองก็เป็นปีศาจไปแล้วค่ะ เพราะเราชอบเปิดฟังตอนทำการบ้านกับฟังตอนก่อนนอน เพราะถ้าฟังดีๆทำนองของเพลงนี้มันเพราะ และก็ซึ้งมาก แม้มันจะออกแนวเศร้าๆ แต่ก็เป็นเพลงที่แต่งมาจากความรู้สึกในตอนที่มีชีวิตของผู้แต่งในตอนนั้น

ดังนั้นคนที่ฟังเพลงนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน ถ้าไม่ไปเลียนแบบประวัติความเป็นมาของเพลงนี้นะ^^
ขอบคุณครับ โชคดีที่ผมไม่ได้ฟังตอนเศร้า เพราะเห็นประวัติแล้วมัน......


Nebula Eva
#178
12-03-2012 - 01:59:37

#178 Nebula Eva  [ 12-03-2012 - 01:59:37 ]





บทปลงสังขาร


มนุษย์เราเอย เกิดมาทำไม นิพพานมีสุข

อยู่ใยมิไป ตัณหาหน่วงหนัก หน่วงชักหน่วงไว้

ฉันไปมิได้ ตัณหาผูกพัน ห่วงนั้นพันผูก

ห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงทรัพย์สินศฤงคาร จงสละเสียเถิด

จะได้ไปนิพพาน ข้ามพ้นภพสาม ยามหนุ่มสาวน้อย

หน้าตาแช่มช้อย งามแล้วทุกประการ แก่เฒ่าหนังยาน

แต่ล้วนเครื่องเหม็น เอ็นใหญ่เก้าร้อย เอ็นน้อยเก้าพัน

มันมาทำเข็ญใจ ให้ร้อนให้เย็น เมื่อยขบทั้งตัว

ขนคิ้วก็ขาว นัยน์ตาก็มัว เส้นผมบนหัว

ดำแล้วกลับหงอก หน้าตาเว้าวอก ดูหน้าบัดสี

จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอย เหมือนดอกไม้โรย

ไม่มีเกสร จะเข้าที่นอน พึงสอนภาวนา

พระอนิจจัง พระอนัตตา เราท่านเกิดมา

รังแต่จะตาย ผู้ดีเข็ญใจ ก็ตายเหมือนกัน

เงินทองทั้งนั้น มิติดตัวเรา ตายไปเป็นผี

ลูกเมียผัวรัก เขาชักหน้าหนี เขาเหม็นซากผี

เปื่อยเน่าพุพอง หมู่ญาติพี่น้อง เขาหามเอาไป

เขาวางลงไว้ เขานั่งร้องไห้ แล้วกลับคืนมา

อยู่แต่ผู้เดียว ป่าไม้ชายเขียว เหลียวไม่เห็นใคร

เห็นแต่ฝูงแร้ง เห็นแต่ฝูงกา เห็นแต่ฝูงหมา

ยื้อแย่งกันกิน ดูน่าสมเพช กระดูกกูเอ๋ย

เรี่ยรายแผ่นดิน แร้งกาหมากิน เอาเป็นอาหาร

เที่ยงคืนสงัด ตื่นขึ้นมินาน ไม่เห็นลูกหลาน

พี่น้องเผ่าพันธุ์ เห็นแต่นกเค้า จับเจ่าเรียงกัน

เห็นแต่นกแสก ร้องแรกแหกขวัญ เห็นแต่ฝูงผี

ร้องไห้หากัน มนุษย์เราเอ๋ย อย่าหลงกันเลย

ไม่มีแก่นสาร อุตส่าห์ทำบุญ ค้ำจุนเอาไว้

จะได้ไปสวรรค์ จะได้ทันพระเจ้า จะได้เข้าพระนิพพาน

อะหัง วันทามิ สัพพะโส อะหัง วันทามิ นิพพานะปัจจะโย โหตุ ฯ



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#179
12-03-2012 - 02:29:50

#179 Nebula Eva  [ 12-03-2012 - 02:29:50 ]





ประวัติย่อพระพุทธเจ้า 28 พระองค์



1. องค์สมเด็จพระพุทธตัณหังกร - ผู้กล้าหาญ

ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้านันทราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุนันทราชาเทวี
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 10,000 ปี
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
พระวรกายสูง 18 ศอก
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 20,000 ปี


2. องค์สมเด็จพระพุทธเมธังกร – ผู้มียศใหญ่

ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า เทโว
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง ยะสุนทราชาเทวี
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 80,000 ปี
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 15 วัน
พระวรกายสูง 18 ศอก
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี


3. องค์สมเด็จพระพุทธสรณังกร – ผู้เกื้อกูลแก่โลก

ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุมาเลราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง ยสะเทวี
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 10,000 ปี
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 2 เดือน กับ 20 วัน
พระวรกายสูง 18 ศอก
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี


4. องค์สมเด็จพระพุทธทีปังกร – ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง

สถานที่ประสูติ กรุงรัมมวดีมหานคร
ประสูติเมื่อ วันเพ็ญ เดือน 8 อาสาฬหนักขัตฤกษ์
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า นรเทวราช(พระเจ้าสุเทพ)
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางเจ้า สุเมธา
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ปทุมาราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอสุภขันธกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 10,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 9 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นปิปผลิ
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุมังคลเถร และพระติสสเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสาคตเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนันทาเถรี และพระสุนันทาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า ตปุสสะ และภัลลิกะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฎฐายิกา ชื่อว่า นางสิริมา และนางโสณา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 400,000 องค์
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี
อายุพระศาสนา 100,000 ปี


5. องค์สมเด็จพระพุทธพระโกณฑัญญะ – ผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน

สถานที่ประสูติ กรุงรัมมวดีมหานคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุนันทราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง สุชาดาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง รุจิราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระวิชิตเสนกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุได้ 10,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่งเทียมม้าอาชาไนยคู่
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 58 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นพญารัง
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระภัททเถร และพระสุภัททเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอนุรุทธเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระติสสาเถรี และพระอุปัสสนาเถรี
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน แสนโกฏิ องค์
พระวรกายสูง 18 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 200,000 (แก้ว่าน่าจะเป็น100,000) ปี
อายุพระศาสนา 100,000 ปี


6. องค์สมเด็จพระพุทธพระสุมังคละ – ผู้เป็นบุรุษประเสริฐ

สถานที่ประสูติ อุตตรนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า อุตตรมหาราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางอุตตรราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ยสาวดี
พระราชโอรส พระนามว่า พระสีวระราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 70,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 57 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นนาคพฤกษ์(กากะทิง)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระเทวเถร และพระธรรมเสนเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระปาลิตเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสีวราเถรี และพระอโสกาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นันทะ และวิสาขะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า อนุฬา และสุมนา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10,00 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี


7. องค์สมเด็จพระพุทธสุมนะ – ผู้เป็นธีรบุรุษมีพระหทัยงาม

สถานที่ประสูติ เมขละนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุทัตตมหาราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางเจ้า สิริมา
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ฏังสกี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอนุปมราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ อยู่นาน 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 60 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นนาคพฤกษ์(กากะทิง)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสรณเถร และพระภาวิตัตตเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอุเทนเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระโสณาเถรี และพระอุปโสณาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า วรุณะ และสรณะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า จารา และอุปจารา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 90 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี
อายุพระศาสนา 90,000 ปี


8. องค์สมเด็จพระพุทธเรวตะ – ผู้เพิ่มพูนความยินดี

สถานที่ประสูติ สุธัญญวดีนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าวิปุลราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางวิปุลาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สุทัสนา
พระราชโอรส พระนามว่า พระวรุณราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 6,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่งเทียบม้าอาชาไนย
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 53 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า นาคพฤกษ์
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระวรุณเถร และพรหมเทวะเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสัมภวะเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระภัททราเถรี และพระสุภัททราเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า วรุณ และสรภะมหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า ปาลา และอุปปาลา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี


9. องค์สมเด็จพระพุทธโสภิตะ – ผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ

สถานที่ประสูติ สุธรรมนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุธรรมราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง สุธรรมาเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง มจิลาราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระสีหราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า นาคพฤกษ์ (ไม้กากะทิง)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระอสมเถร และ สุเมธเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอโนมเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนกุฬาเถรี และพระสุชาตาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายรัมมะ และ นายสุเนตตะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนกุฬา และนางสุชาตา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 58 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี


10. องค์สมเด็จพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า – ผู้อุดมสูงสุดในหมู่ชน

สถานที่ประสูติ จันทวดีนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า ยศวราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางยโสธรา
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สิริมา
พระราชโอรส พระนามว่า พระอุปสารราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ เมื่อพระชนมายุ 10,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา สีวิกากาญจนมาศ (วอทอง)
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นอชุนะ (ไม้รกฟ้า)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระนิสภเถร และอโนมเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระวรุณเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสุนทราเถรี และพระสุมนาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายนันทิวัฒนะ และสิริวัฑฒะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางอุปรา และนางปทุมา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 58 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 80 ศอก
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


11.องค์สมเด็จพระพุทธปทุมะ – ผู้ทำให้โลกสว่าง

สถานที่ประสูติ จัมปานคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า อสมราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางอสมาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง อุตตราเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระรัมมราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาส อยู่ 10,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่งเทียมม้าอาชาไนย
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า มหาโสณพฤกษ์
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสาลเถร และพระอุปสาลเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระวรุณเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระราธาเถรี และพระสุราธาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายสภิยะ และนายอสมะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางรุจิ และนางนันทิมาลา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 58 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


12. องค์สมเด็จพระพุทธนารทะ – ผู้เป็นสารถีประเสริฐ

สถานที่ประสูติ ธัญญวดีมหานคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุเมธราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางอโนมาเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ว ิชิตเสนาเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระยันทุตรราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ทรงดำเนินไปด้วยพระองค์เอง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 57 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า มหาโสณพฤกษ์
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน ตรง
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระภัททสาลเถร และพระพิชิตมิตตเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระวาเสฏฐเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระอุตตราเถรี และพระผักขุนีเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุตรินท์ และวสะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางอินทอรี และนางคัณฑี มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 100,000 องค์
พระวรกายสูง 88 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี
อายุพระศาสนา 1 อสงไขย


13. องค์สมเด็จพระพุทธปทุมุตระ – ผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์

สถานที่ประสูติ หงสวดีนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า อานันทมหาราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุชาดาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สุละทัคคเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอุตตรราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 90,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นสาละ หรือต้นรัง
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระเทวลเถร และพระสุชาตเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสุมนเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระอมิตตาเถรี และพระอสมาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อมิตตะ และติสสะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางหัตถา และนางสุจิตตา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 58 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 12 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี
อายุพระศาสนา 30,000 กัลป์


14. องค์สมเด็จพระพุทธสุเมธะ – ผู้หาบุคคลเปรียบมิได้

สถานที่ประสูติ สุทัสสนนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุทัสสนมหาราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุทัตตาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สุมนาเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระปุนัพพราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 20 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้มหานิมพะ (ไม้สะเดา)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุมนเถร และพระสัพพกามเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสาครเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระรามาเถรี และพระสุรมาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุรุเวฬ และยสวา มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางยสา และนางสิริมา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 88 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี


15. องค์สมเด็จพระพุทธสุชาตะ - ผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง

สถานที่ประสูติ สุมังคลนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าอุคคตราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางปภาวดีราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสิรินันทาเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอุปเสนราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง ชื่อ หังสวาสภราชา
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 33 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้มหาเวฬุ (ไม้ไผ่ใหญ่)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 9 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุสุทัสสนเถร และพระสุเทวเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระนารทเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระนาคาเถรี และพระนาคสมาราเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุทัตต และจิตต มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางสุภัททา และนางปทุมา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 50 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลกาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี


16. องค์สมเด็จพระพุทธปิยทัสสี – ผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน

สถานที่ประสูติ สุธัญญราชธานี
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุทัตตราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางจันทราราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางวิมาลาเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระกัญจนเวฬกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 53 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้กุ่ม
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระปาลิตเถร และพระสัพพทัสสีเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระโสภิตเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสุชาดาเถรี และพระธัมมทินนาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สันตกะ และธัมมิก มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางวิสาขา และนางธัมมทินนา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี


17. องค์สมเด็จพระพุทธอัตถทัสสี – ผู้มีพระกรุณา

สถานที่ประสูติ สุจิรัตถราชอุทยานแห่งสาครราชธานี
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสาครราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุทัสสนาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางวิสาขาราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระเสลราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 10,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 53 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้จำปา
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสันตเถร และพระอุปสันตเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอภัยเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระธรรมาเถรี และพระสุธรรมาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นกุละ และนิสภะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางมจิลา และนางสุนันทา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 9 โกฏิ
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 100 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


18. องค์สมเด็จพระพุทธธรรมทัสสี – ผู้บรรเทามืด

สถานที่ประสูติ สรณราชอุทยานแห่งสรณราชธานี
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสรณราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุนันทาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางวิจิโกลี
พระราชโอรส พระนามว่า พระวัฒนราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 8,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 50 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้ไทรย้อย
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 วัน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระปทุมเถร และปุสสเทวเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสุเนตตเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี และพระสัจจนามาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุภัททะ และกฏิสหะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางสาฬสา และนางกฬิสสา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10,000 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


19. องค์สมเด็จพระพุทธสิทธัตถะ – ผู้หาบุคคลเสมอมิได้ในโลก

สถานที่ประสูติ เวภารนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าอุเทน
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุผัสสาเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุมนาราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอนุปนราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 10,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา สีวิกากาญจมาศ (วอทอง)
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 40 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นกรรณิการ์
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสัมพลเถร และพระสุมิตตเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระเรวตเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสิวลาเถรี และพระสุรามาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุปิยะ และสัมพุทธะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางรัมมา และนางสุรัมมา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 100,000 โกฏิ
พระวรกายสูง 60 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10,000 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


20. องค์สมเด็จพระพุทธติสสะ – ผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย

สถานที่ประสูติ อโนมราชอุทยานแห่งเขมราชธานี
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าชนสันธราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางปทุมาเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุภัทราเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอานนทราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 8,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 40 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้อาสนะ (ต้นประดู่)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 15 วัน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระพรหมเทพเถร และพระอุทัยเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสัมภวเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระปุสสาเถรี และพระสุทัตตาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สัมภระ และสิริ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางกีสาโคตมี และนางอุปเสนา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 100,000 องค์
พระวรกายสูง 60 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


21. องค์สมเด็จพระพุทธปุสสะ – ผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ

สถานที่ประสูติ กาสีราชธานี
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าชัยเสน
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสิริมาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางกีสาโคตมีราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอานนทราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้มลกะ (ไม้มะขามป้อม)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุรักขิตเถร และพระธัมมเสนเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระโสภิยเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระจาลาเถรี และพระอุปจาลาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายธนัญชัย และนายวิสาข มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางปทุมา และนางสิรินาคา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 400,000 องค์
พระวรกายสูง 58 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี
อายุพระศาสนา 91 กัลป์


22. องค์สมเด็จพระพุทธวิปัสสี – ผู้หาที่เปรียบมิได้

สถานที่ประสูติ พันธุมดีราชธานี
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าพันธุมหาราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางพันธุมดีราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุทัสสนาราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระสมวัตตขันธราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 8,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 50 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้แคฝอย
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระขันธเถร และพระติสสเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอโสกเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระจันทราเถรี และพระจันทมิตตาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า ปุณณสุมิตต และนาคะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางสิริมา และนางอุตตรา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 84,000 องค์
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 7 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80,000 ปี
อายุพระศาสนา 49 กัลป์


23. องค์สมเด็จพระพุทธสิขี – ผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สัตว์

สถานที่ประสูติ มิสกราชอุทยานแห่งอรุณวดีนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าอรุณราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางปภาวดีราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสัพพกามาเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอตุลราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 7,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 24 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นปุณฑริกะ (ไม้ซึก) คล้ายกับไม้ปาตลี
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระอภิภูเถร และพระสัมภวเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระเขมังกรเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี และพระประทุมเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สิริวัฒนะ และนันทะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางจิตรา และนางสุจิตรา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 70,000 องค์
พระวรกายสูง 70 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 3 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 70,000 ปี


24. องค์สมเด็จพระพุทธเวสสภู – ผู้ประทานความสุข

สถานที่ประสูติ อโนมนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุปตีตราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางยสวดีราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุจิตราเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระสุปปพุทธราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 6,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา สีวิกากาญจนมาศ (วอทอง)
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 40 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้รัง
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระโสณเถร และพระอุตตรเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอุปสันตเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระรามาเถรี และพระสุมาลาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า โสตถิกะ และรัมมะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางโคตมี และนางสิริมา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 40,000 องค์
พระวรกายสูง 60 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี
อายุพระศาสนา 70,000 ปี


25. องค์สมเด็จพระพุทธกุกกุสันธะ – ผู้นำสัตว์ออกจากกันดาร คือ กิเลส

สถานที่ประสูติ เขมวันราชอุทยานแห่งเขมนคร
ประสูติในตระกูล พราหมณ์
พระพุทธบิดา พระนามว่า อัคคิทัตตพราหมณ์
พระพุทธมารดา พระนามว่า วิสาขาพราหมณี
พระอัครมเหสี พระนามว่า โสภิณีพราหมณี
พระราชโอรส พระนามว่า อุตตรกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 4,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถเทียมม้าอาชาไนย
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 80 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้ซึกใหญ่
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระวิธูรเถร และพระสัญชีวเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระพุทธิยะเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสามาเถรี และพระจัมปนามาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อัจจุคาตะ และสุมนะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนันทา และนางสุนันทา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 40,000 องค์
พระวรกายสูง 40 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 11 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 40,000 ปี


quote :
มีต่อเรปต่อไปค่ะ ยังไม่หมด


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-12 02:31:53


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#180
12-03-2012 - 02:33:28

#180 Nebula Eva  [ 12-03-2012 - 02:33:28 ]





26. องค์สมเด็จพระพุทธโกนาคมนะ – ผู้หักเสียซึ่งข้าศึก คือ กิเลส

สถานที่ประสูติ โสภวดีราชอุทยานแห่งโสภวดีนคร
ประสูติในตระกูล พราหมณ์
พระพุทธบิดา พระนามว่า ยัญญทัตตพราหมณ์
พระพุทธมารดา พระนามว่า อุตตราพราหมณี
พระอัครมเหสี พระนามว่า รุจิคัตตาพราหมณี
พระราชโอรส พระนามว่า สัททวาหกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ได้ 3,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 20 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้อุทุมพร (ไม้มะเดื่อ)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระภิโยสเถร และพระอุตตรเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระโสทิชเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสมุทาเถรี และพระอุตตราเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุคคะ และโสมเทว มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางวรา และนางสามา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 30,000 องค์
พระวรกายสูง 30 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 30,000 ปี


27. องค์สมเด็จพระพุทธกัสสปะ – ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ

สถานที่ประสูติ อิสิปตนมิคทายวันแห่งนครพาราณสี
ประสูติในตระกูล พราหมณ์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พรหมทัตตพราหมณ์
พระพุทธมารดา พระนามว่า ธนวดีพราหมณี
พระอัครมเหสี พระนามว่า สุนันทาพราหมณี
พระราชโอรส พระนามว่า วิชิตเสนกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ได้ 2,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 15 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้นิโครธ
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระติสสเถร และพระภารทวาชเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสัพพมิตตเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระอนุฬาเถรี และพระอุรุเวลาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุมังคละ และฆฏิการะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางวิชิตเสนา และนางภัตรา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 1 โกฏิ
พระวรกายสูง 20 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 20,000 ปี


28. องค์สมเด็จพระพุทธโคตมะ – ผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช
สถานที่ประสูติ กรุงกบิลพัสดุ์
ประสูติเมื่อ วันเพ็ญ เดือน 6
ประสูติในตระกูล กษัตริย์ แห่งศากยวงศ์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุทโธทน
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสิริมหามายา
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางยโสธรา
พระราชโอรส พระนามว่า พระราหุลราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ได้ 29 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าอัศวราช
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 14 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้อัสสัตถะ (ไม้ปาเป้ง)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 ปี
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระติสสเถร และพระโกลิตเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอานนทเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี และพระอุบลวัณณาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และหัตถอาฬวก มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนันทมาตา และนางอุตตรา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 16 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 วา
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80 ปี
อายุพระศาสนา 5,000 ปี

เครดิต : http://www.watkhaophrakru.com/webboard/index.php?topic=386.0



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 13th April 2024 02:55

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ